Behind The Success of BVLGARI Watches

Last updated: 24 ม.ค. 2566  |  2788 จำนวนผู้เข้าชม  | 

Behind The Success of BVLGARI Watches

แบรนด์ BVLGARI ถือกำเนิดขึ้นในปีค.ศ.1884 ผู้ให้กำเนิดแบรนด์เป็นช่างเครื่องเงินชาวกรีกที่อพยพเข้ามาอยู่ในอิตาลี ทำให้ปัจจุบัน BVLGARI เป็นหนึ่งในแบรนด์เครื่องประดับที่เก่าแก่ที่สุดของอิตาลี และในภายหลังช่างนาฬิกามากฝีมืออย่าง Gerald Genta และ Daniel Roth ยังได้มาร่วมงานกับทาง BVLGARI ทำให้นาฬิการุ่น Octo ที่เขาร่วมออกแบบและพัฒนาโด่งดังด้วยรูปทรงที่แปลกใหม่สร้างชื่อให้กับแบรนด์ BVLGARI เป็นอย่างมาก 

 

เราจะย้อนการเดินทางของเรือนเวลา BVLGARI ซึ่งได้เริ่มตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1920 ด้วยนาฬิกาประดับอัญมณี และต่อด้วยการประดิษฐ์นาฬิกาพกในปี 1930 ด้วยแรงบันดาลใจจากงานศิลปะที่เป็นยุคทองในช่วงเวลานั้น จากนั้นจึงพัฒนามาเป็นนาฬิกาที่มีรูปร่างอ่อนช้อยในช่วงปี 1940 และในปี 1960 เป็นการถือกำเนิดนาฬิกาที่ผลิตจากทองประดับด้วยเพชรในรูปร่างงูขด ตัวมีลักษณะคล้ายกำไลข้อมือ และได้กลายเป็นนาฬิกาที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย นำไปสู่การเริ่มต้นเดินสายการผลิตนาฬิกาคอลเลคชั่นที่โด่งดังของ BVLGARI

 

 




BVLGARI ได้ก่อตั้ง BVLGARI Time ขึ้นที่เมือง Neuchâtel ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในปีค.ศ. 1982 เพื่อเป็นสถานที่ออกแบบพัฒนาและผลิตนาฬิกาทั้งหมดของ BVLGARI แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานเพียงใด มรดกทางศิลปะวัฒนธรรม รวมถึงสถาปัตยกรรมโบราณในยุคกรีกโรมันยังคงเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานของ BVLGARI ให้มีความโดดเด่นชัดเจน และเปี่ยมไปด้วยความหมายทางความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความผูกพัน ความสามัคคี และลวดลายที่แสดงออกบนตัวเรือนนาฬิกา BVLGARI แต่ละรุ่นจึงเป็นดั่งตัวแทนของความสมดุล ที่ร้อยประสานให้อดีตมาบรรจบกับนวัตกรรมและการออกแบบของปัจจุบัน และนอกเหนือจากการรังสรรค์นาฬิกาแล้ว BVLGARI ยังประดิษฐ์จิวเวลรี่ซึ่งมีชื่อเสียงไปก้องโลกด้วยเช่นกัน รวมไปถึงน้ำหอมที่สร้างชื่อให้กับแบรนด์ และธุรกิจโรงแรมอีกหลายประเทศทั่วโลก

 


 


BVLGARI ได้ให้ความสำคัญกับการประดิษฐ์นาฬิกามาก จึงทำให้มีโรงงานอยู่หลายแห่งในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ว่าจะเป็นเมือง Le Sentier ที่เป็นโรงงานสำหรับประดิษฐ์นาฬิกากลไกซับซ้อนชั้นสูงสุด โดยภายในโรงงานจะประกอบไปด้วยช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญในด้านการประดิษฐ์นาฬิกาและพนักงานโดยประมาณ 600 ชีวิต ต่อมาเป็นเมือง La Chaux-de-Fonds เป็นที่ตั้งของโรงงานที่ใช้สำหรับผลิตหน้าปัดนาฬิกา และชิ้นส่วนต่างๆของกลไก รวมไปถึงใช้สถานที่ในโรงงานแห่งนี้ประกอบนาฬิกาอีกด้วย ส่วนเมือง Saignelegiernthal จะมีโรงงานที่เชี่ยวชาญด้านการหล่อหลอมทองคำ การผลิตตัวเรือน รวมไปถึงสายนาฬิกาที่ทำจากเหล็กและทองคำ ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์ BVLGARI เลยก็ว่าได้ และอีกเมืองที่เป็นที่ก่อตั้งของโรงงานที่ทำขั้นตอนสุดท้ายและตรวจสอบคุณภาพเรือนต่อเรือนคือเมือง Neuchâtel

 



ภายในแต่ละโรงงานที่ผลิตนาฬิกาที่มีกลไกซับซ้อนและผลิตยากนั้นจะใช้ช่างฝีมือทั้งหมดในการผลิตด้วยมือ และใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรกลน้อยมากในการผลิตโดย Mr. Pascal Brandt ผู้อำนวยการฝ่ายการสื่อสารของ BVLGARI นั้นเป็นคนพาเยี่ยมโรงงานทั้งหมด ตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนจบตอนสุดท้าย ผมได้มีโอกาสดูและศึกษาตั้งแต่วิธีการทำนาฬิกากลไกมาตรฐานจวบจนไปถึงกลไกที่มีความซับซ้อนที่สุด รวมไปถึงวิธีการใช้เครื่องมือต่างๆที่ใช้ในการผลิตนาฬิกา จนถึงขั้นตอนสุดท้ายสำเร็จเป็นนาฬิกาหนึ่งเรือนที่สวมใส่อยู่บนข้อมือ หลากหลายความภาคภูมิใจของ BVLGARI  ทั้งหมดทำขึ้นภายในโรงงานของเขาเองแทบทั้งสิ้น ซึ่ง BVLGARI เป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่มีความสามารถที่จะทำเช่นนี้ได้

 

 

เรื่อง : Chettha Songthaveepol

เรียบเรียง : Jutalux Srihirun

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้