Last updated: 25 มี.ค. 2562 | 730 จำนวนผู้เข้าชม |
บุลการีคือกรุงโรม อันงดงามด้วยแสงแดด หินอ่อน และตึกโบราณ อมตะนครแห่งนี้ยังเต็มเปี่ยมด้วยแฟชั่นที่ไม่มีวันล้าสมัย ทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นจากถนนสายแฟชั่น Via dei Condotti ในกรุงโรม ที่ซึ่งบูติกบุลการีแห่งแรกได้ถือกำเนิดขึ้นในปีค.ศ.1905 และ ล่าสุดในปีค.ศ. 2019 ความสง่างามของกรุงโรมก็ได้เดินทางมาถึงกรุงเทพมหานครเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ณ อภิมหาโครงการเมืองริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา “ไอคอนสยาม” องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมอันเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์มากมายได้สะท้อนให้เห็นถึงภาพแฟล็กชิป สโตร์บุลการีในกรุงโรม นอกจากนี้คอนเซ็ปต์ของการออกแบบยังได้หยิบเอาจุดกำเนิดของวัฒนธรรม เมดิเตอร์เรเนียนและโรมันมาเป็นแรงบันดาลใจ ในขณะเดียวกันก็ยังผสมผสานเข้ากับศูนย์การค้า ในยุคสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว เรียกได้ว่าเป็นการนำโครงสร้างยุคโบราณและสมัยใหม่มาบรรจบกันได้อย่าง ชาญฉลาด รวมถึงมีการผสมผสานประเพณีดั้งเดิมและนวัตกรรมได้อย่างงดงาม และถือเป็นการให้เกียรติ แด่เมืองแห่งสีสันอย่างกรุงเทพมหานคร และเมืองแห่งความอบอุ่นผ่อนคลายอย่าง กรุงโรม
ความสง่างามสไตล์โรมันอันยากจะปฏิเสธ
สิ่งแรกที่บุลการีได้อุทิศให้กับรากเหง้าโรมันของแบรนด์ คือฟาซาด (Façade) ด้านหน้า ที่สร้างสรรค์ร่วมกับสตูดิโอ MVRDV คอนเซ็ปต์การออกแบบฟาซาดคือการหยิบยกโครงสร้างอันโดดเด่นของทางเข้าด้านหน้า บูติกบุลการีแห่งแรกมาสร้างสรรค์ใหม่ ฟาซาดสองชั้นแห่งนี้ได้จำลองแสงอาทิตย์หลากเฉดยามสาดส่องในช่วงกลางวันของกรุงโรมด้วยการใช้ทองเหลืองทรงคลื่นและกระจกหลากสีสันที่มีรูปทรงเรขาคณิตแต่อสมมาตร และเป็นอีกครั้งที่บุลการีได้นำนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์มาเป็นหัวใจหลักในการออกแบบทั้งหมด เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างงานหัตถศิลป์และเทคโนโลยี ณ บูติกบุลการี ไอคอนสยาม
สถาปัตกรรมอันน่าหลงใหล
แรงบันดาลใจจากกรุงโรมสะท้อนให้เห็นอยู่ทั่วทุกมุมร้าน พื้นทางเข้าด้านหน้าทำจากหินอัคนีสีแดงตกแต่งลวดลายดาวแปดแฉกอันเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ นอกจากรูปทรงเรขาคณิตแล้ว วัสดุตกแต่งอื่นๆ อันแสนหรูหรายังถือเป็นการอุทิศแด่กรุงโรมอีกด้วย
เมื่อก้าวเข้ามาภายในร้านจะพบกับทางเดินไปสู่กรุงโรมที่อาบไล้ไปด้วยแสงแดด ทางเดินหลักใจกลางร้าน ที่ให้บรรยากาศราวกับกำลังเดินเล่นกลางแจ้งที่ Piazza ในกรุงโรม จากนั้นจึงจะพบกับบริเวณผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีความเป็นส่วนตัว รวมถึงเลาจน์รับรองพิเศษ และเมื่อมาถึงบริเวณกลางร้าน ลูกค้าจะพบกับเคาน์เตอร์ทรงรีที่ทำจากทองแดงชุบกัลป์วาไนซ์ทั้งสองด้าน โดยรูปทรงรีนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปนิกชื่อดังชาวอิตาเลียนอย่าง คาร์โล สการ์ปา (Carlo Scarpa) เปรียบเสมือนการเชื้อเชิญให้เยี่ยมชมไปรอบๆ ร้าน และพบกับคอลเลคชั่นหลักต่างๆ ของบุลการี เหนือสิ่งอื่นใดคือสองโคมไฟระย้าที่ทำจากแก้วมูราโน่โดยแบรนด์ Vistosi (จากคอลเลคชั่น Ecos ที่ออกแบบโดยสตูดิโอในเวนิสชื่อ Renato Toso, Noti Massari e Associati) ที่ช่วยส่องแสงให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ และบรรยากาศโดยรอบเปล่งประกาย
จากโถงทางเดินหลัก ลูกค้าสามารถเข้าสู่ห้องต่างๆ ที่มีความเป็นส่วนตัวและเป็นกันเอง โดยจะได้นั่งและเพลิดเพลินไปกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบุลการีที่เปรียบเสมือนการเดินทางผ่านประวัติศาสตร์ของแบรนด์ บริเวณห้องรับรองพิเศษ สะท้อนให้เห็นถึงเสน่ห์ของเลาจน์ที่แต่เดิมสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แด่เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ (Il Salottino Taylor) ซึ่งเป็นห้องพักผ่อนส่วนตัวที่นักแสดงฮอลลีวูดผู้นี้เคยใช้เวลาอยู่นาน นับชั่วโมงเพื่อหลีกหนีปาปารัซซี ผ่านทางประตูลับของ Palazzo Maruscelli-Lepri บนถนน Condotti ในกรุงโรม ภาพบรรยากาศในช่วงปี 1960 ได้รับการรังสรรค์ขึ้นใหม่ด้วยการใช้เก้าอี้วินเทจที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Osvaldo Borsani โต๊ะหินโอนิกซ์ และพรมสุดหรู
งานหัตถศิลป์และวัสดุเลอค่าจากอิตาลี
หลังจากการค้นหาวัสดุมากมายนับร้อย บุลการีได้คัดสรรวัสดุจากอิตาลีสำหรับการตกแต่งร้านอย่างประณีต วัสดุต่างๆ ที่ว่านี้ได้แก่ หินอ่อนชั้นเลิศ ไม้วอลนัทล้ำค่า เหล็กและทองเหลืองอย่างดี ผ้าไหมและหนังสุดหรู โดยทั้งหมดมาจากความคิดที่ต้องการตกแต่งร้านให้มีสีสันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และมีความหรูหราอย่างแท้จริง
ในส่วนพื้นของร้าน ลวดลายดาวแปดแฉกสีแดงพอร์ฟีรี คือสิ่งแรกที่เชื่อมโยงกับแฟล็กชิปสโตร์ของบุลการี ในกรุงโรม ที่เชื้อเชิญให้ลูกค้าเข้าเยี่ยมชมบูติกบุลการีทั่วโลก ลวดลายดาวแปดแฉกนี้ถูกนำมารังสรรค์บนพื้นทั้งหมดด้วยหิน Travertino Navona ที่ไม่เพียงแต่จะเป็นวัสดุล้ำค่าที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดีที่สุดแล้ว ยังต้องอาศัยทักษะและความเชี่ยวชาญของงานหัตถศิลป์โดยช่างฝีมือชาวอิตาเลียนอีกด้วย หลังจากคัดสรรอย่างประณีตแล้ว ไม้วอลนัทที่ใช้รังสรรค์พื้นจะถูกนำไปตากแดดในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน และนำมาประกอบ
เข้าด้วยกันเพื่อสร้างสรรค์เฉดการไล่สี ส่วนหินอ่อนขนาดใหญ่ที่คัดสรรมาจากถ้ำอันโด่งดังในอิตาลีอย่าง Seravezza ได้นำมาตัดโดยใช้เทคนิคพิเศษ เพื่อให้มั่นใจว่าลวดลายของหินอ่อนจะมีแสงสะท้อนและเข้ากันได้ดีในแต่ละแผ่น
ความผสมผสานอันลงตัวระหว่างยุคโบราณและยุคใหม่ รวมถึงประเพณีดั้งเดิมและนวัตกรรม ที่สะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณของบุลการี ได้รับการถ่ายทอดผ่านบริเวณทั่วทั้งร้านด้วยการตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ และเพื่อให้การจัดแสดงจิวเวลรี่ของบุลการีเป็นไปได้อย่างสวยงามที่สุด บุลการีจึงได้เลือกใช้การออกแบบสไตล์อิตาลีในยุคที่ได้รับความนิยมสูงสุด ความงดงามของรูปทรง ส่วนผสมอันยอดเยี่ยมระหว่างวัสดุและสีสัน งานหัตถศิลป์ของอิตาลี แรงบันดาลใจเดียวกันนี้ที่เชื่อมโยงดีไซเนอร์ชาวอิตาเลียนเข้ากับช่างอัญมณีชาวอิตาเลียนได้ผ่านการศึกษามาอย่างถี่ถ้วนและทำให้เกิดขึ้นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสร้างความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกันระหว่างคอนเซ็ปต์ของร้านและเอกลักษณ์ของแบรนด์ เป็นการรังสรรค์บูติกบุลการีเฉกเช่นที่บุลการีได้รังสรรค์จิวเวลรี่ ได้อย่างงดงาม
“Fiorever” คอลเลคชั่นจิวเวลรี่ที่มีเพชรเป็นหัวใจหลัก
การผสมผสานคำอย่างงดงามระหว่าง Fiore ที่หมายถึงดอกไม้ในภาษาอิตาเลียน และคำว่า Forever ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเกิดเป็นคำว่า “Fiorever” หรือ ฟิออร์เรเวอร์ คือการนำดอกไม้มาเป็นสัญลักษณ์ของจิวเวลรี่คอลเลคชั่นใหม่โดยบุลการี นับเป็นการยกระดับของความงดงามจากธรรมชาติที่เราเห็นทุกวันจนชินตาอย่าง ดอกไม้ ที่เป็นลวดลายคลาสสิกของจิลเวลรี่ ซึ่งบุลการีได้ตีความดอกไม้นี้ขึ้นมาใหม่โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านงานหัตถศิลป์ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์ที่มีมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1920 ล่าสุดนี้ บุลการีได้ชุบชีวิตดอกไม้ 4 แฉกที่ชาวโรมันเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของการใช้ชีวิต ด้วยการแต่งแต้มเพชรน้ำงามขึ้นมาอย่างหรูหรา
เอกลักษณ์เด่นของคอลเลคชั่นนี้คือดอกไม้ 4 แฉกที่ได้แรงบันดาลใจมาจากมรดกตกทอดจากอดีตของกรุงโรม สิ่งนี้คือความสวยงามในอดีตที่ยังคงคุณค่าเช่นเดียวกับลวดลายอันแสนสง่างามที่ประดับประดาบนซากปรักหักพังในอาณาจักรกรุงโรม ไม่ว่าจะเป็น ภาพวาดรูปสวนของ Villa di Livia, ประติมากรรมใน Palazzo Massimo หรือเพดานโมเสกใน Santa Costanza Mausoleum และอื่นๆ อีกมาก จิวเวลรี่ระดับไอคอนชิ้นใหม่นี้แต่งแต้มด้วยเพชรเลอค่าอันโดดเด่น และเป็นการเฉลิมฉลองความงดงามไร้กาลเวลาของกรุงโรม อีกทั้งยังเติมความมีชีวิตชีวาของผู้หญิงในแบบฉบับ Fiorever ให้สมบูรณ์แบบอีกด้วย
จิวเวลรี่ประดับเพชรชิ้นเอกใหม่จากบุลการี “Fiorever”
พลังงานอันเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณอิสระเสรีของ Fiorever ได้เปล่งประกายผ่านทางดอกไม้ 4 แฉก และส่องแสงระยิบระยับด้วยเพชรน้ำงามที่มีคุณภาพดีที่สุด (สีเพชรอยู่ในกลุ่ม D-F และความสะอาดของเพชรอยู่ที่ระดับ IF-VVS) เพชรเม็ดกลางเป็นเพชรเดี่ยวที่มีให้เลือกตั้งแต่ 0.10 กะรัต ถึง 0.50 กะรัต โดยที่รอบๆ ตกแต่งเป็นทรงกลีบดอกไม้ที่หมุนเป็นเกลียวขึ้นมา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในการออกแบบของบุลการีโดยการเล่นระดับ ด้วยคุณภาพระดับสูงสุดและความงดงาม จึงทำให้ดูราวกับว่าดอกไม้นี้ได้มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ และดึงดูดให้คุณปรารถนาที่จะเข้าไปสัมผัส เฉกเช่นดอกไม้ในชีวิตจริง หากแต่จะมีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากดอกไม้ที่มีวันร่วงโรย นั่นคือดอก Fiorever จากบุลการีรังสรรค์ขึ้นจากอัญมณีล้ำค่าที่จะคงอยู่ตลอดไป และเจริญเติบโตงอกงามออกดอกเป็นจิวเวลรี่ 24 ชิ้นในคอลเลคชั่น เมื่อนำมารวมกันจึงเกิดเป็นช่อดอกไม้แห่งความฝันที่สร้างสรรค์ขึ้นจากดอกไม้ล้ำค่าที่สุดในโลก โดยที่แต่ละชิ้นจะมีคุณค่าไปตลอดกาล
Fiorever จิวเวลรี่คอลเลคชั่นใหม่จากบุลการีได้รับแรงบันดาลใจจากคอลเลคชั่นจิวเวลรี่ชั้นสูงที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 2017 ที่จะมากลายเป็นคอลเลคชั่นจิวเวลรี่เพชรใหม่แสนสง่างามของแบรนด์
20 ก.ย. 2567
26 ก.ย. 2567
19 ก.ย. 2567
7 ต.ค. 2567