Last updated: 13 ม.ค. 2563 | 1693 จำนวนผู้เข้าชม |
โดยนาฬิการุ่นใหม่นี้คือ “Seamaster Diver 300M 007 Edition” ซึ่งหากย้อนกลับไปในปี 1993 นับตั้งแต่เผยโฉมครั้งแรก นาฬิกา Diver 300M ได้สร้างตำนานของตนร่วมกับเหล่านักดำน้ำมืออาชีพและบรรดาผู้ชื่นชอบการแต่งกายมานับไม่ถ้วน เช่นเดียวกับการเป็นเพื่อนคู่ใจที่ขาดไม่ได้สำหรับสายลับเจมส์ บอนด์นั่นเอง
สำหรับเรือนล่าสุดนี้ ทั้ง Daniel Craig และ ผู้ผลิตภาพยนตร์ ได้ร่วมงานกับ OMEGA ในขั้นตอนการพัฒนาเรือนเวลาเจมส์ บอนด์อย่างใกล้ชิด ซึ่งพวกเขาได้มอบความเข้าใจเกี่ยวกับเจมส์ บอนด์อย่างลึกซึ้งให้กับทีมนักพัฒนาและออกแบบ นอกจากนี้ประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะ 007 ของ Daniel Craig ยังมีอิทธิพลต่อการออกแบบขั้นสุดท้ายด้วยเช่นกัน โดย Daniel Craig ได้ให้ความเห็นว่า
“เมื่อผมทำงานร่วมกับ OMEGA ผมลงความเห็นว่านาฬิกาน้ำหนักเบาคือหัวใจหลักสำหรับสายบู๊อย่าง 007 แถมยังเสริมไปอีกว่าควรเพิ่มกลิ่นอายและสีแบบวินเทจลงไปในบางจุด ซึ่งจะทำให้เรือนเวลามีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร นาฬิกาที่ออกมานั้นจึงดูดีเหลือร้ายทีเดียวเชียว”
NO TIME TO DIE (2020):
OMEGA Seamaster Diver 300M 007 Edition
· มาพร้อมสายนาฬิกาไทเทเนียมถักหรือสาย NATO แถบสีน้ำตาลเข้ม, เทาและเบจ ซึ่งมีการสลักเลข 007 บนห่วงสาย
· ตัวเรือนขนาด 42 มิลลิเมตร ผลิตจากไทเทเนียมเกรด 2 วัสดุเดียวกับที่ใช้ทำสายนาฬิกา มาพร้อมหัวสายแบบปรับขนาดได้ วัสดุพิเศษนี้มีความแข็งแกร่งและให้น้ำหนักเบาจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับจารชนที่ต้องลอบเร้น
· กระจกหน้าปัดแซฟไฟร์ทรงโดมแบบพิเศษยังช่วยให้นาฬิกาดูมีมิติที่บางลงกว่า Seamaster Diver 300M รุ่นมาตรฐานอีกด้วย
· สำหรับการทอนน้ำหนักโดยรวมของตัวเรือนให้เบาลง OMEGA เลือกใช้พื้นหน้าปัดและขอบตัวเรือน อลูมิเนียมในเฉดสีน้ำตาล “โทรปิคอล” ที่จะดูเข้มขึ้นเมื่อผ่านไปตามกาลเวลาเช่นเดียวกับหน้าปัดนาฬิกาสไตล์วินเทจ
· บริเวณฝาหลัง คุณจะได้พบกับชุดตัวเลขตามฉบับนาฬิกาที่ผลิตขึ้นสำหรับใช้งานในกองทัพ โดย “0552” คือเลขรหัสที่กำหนดไว้สำหรับกองทัพเรือ ส่วน “923 7697” คือเลขสำหรับนาฬิกาดำน้ำ ตัวอักษร “A” แสดงถึงนาฬิกาที่ใช้เม็ดมะยมแบบขันเกลียว ส่วนเลข “007” นั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือรหัสประจำตัวสุดไอคอนิกของสายลับเจมส์ บอนด์ และสุดท้ายคือ “62” ที่มาจากปีที่ภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ภาคแรกเข้าฉายนั่นเอง
· ฝาหลังของนาฬิการุ่นใหม่ถูกออกแบบให้ผนึกด้วยระบบ NAIAD LOCK ซึ่งช่วยยึดโยงตัวอักษรให้อยู่ตรงตามตำแหน่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขับเคลื่อนด้วยกลไกชั้นนำ – OMEGA Co-Axial Master Chronometer Calibre 8806 ที่ได้รับการรับรองด้วยมาตรฐานขั้นสูงสุดของอุตสาหกรรมเวลาทั้งด้านความเที่ยงตรง, สมรรถนะและคุณสมบัติการต้านทานสนามแม่เหล็ก
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบโลกแห่งการผจญภัย เรือนเวลา Seamaster Diver 300M 007 Edition จะมาพร้อมกับกระเป๋าผ้าสีน้ำตาลสุดพิเศษที่ผลิตโดย British Millerain และจะเปิดวางจำหน่ายในบูติกของ OMEGA ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020 เป็นต้นไป
สายไทเทเนียม 210.90.42.20.01.001 สนนราคา 320,000 บาท
สาย NATO 210.92.42.20.01.001 สนนราคา 282,000 บาท
นอกจากนี้ ยังมีเรือนเวลา Seamaster ในอดีตอีกหลายรุ่นที่จารชนเจมส์ บอนด์เคยฝากชีวิตไว้ ไม่ว่าจะเป็น
GOLDENEYE (1995):
OMEGA Seamaster Quartz Professional Diver 300M
นับเป็นปฐมบทเรื่องราวระหว่างเจมส์ บอนด์ กับ OMEGA ขณะที่จารชน 007 ติดอยู่ในรถไฟหุ้มเกราะของเหล่าร้ายที่จวนจะระเบิดในไม่กี่วินาที สายลับอังกฤษรายนี้ได้ใช้เลเซอร์ที่ติดตั้งบริเวณขอบตัวเรือนนาฬิกาในการยิงตัดแผ่นเหล็กจนเปิดช่องให้เขาหลบหนีออกไปได้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด
TOMORROW NEVER DIES (1997):
OMEGA Seamaster Professional Diver 300M
การผจญภัยครั้งที่ 2 ของ Pierce Brosnan ในฐานะเจมส์ บอนด์ เขาได้สวมใส่เรือนเวลาโครโนมิเตอร์รุ่นกลไกอัตโนมัติของ OMEGA Seamaster Diver 300M อันเลื่องชื่อ ซึ่งในภาพยนตร์ เรือนเวลาดังกล่าวยังได้รับการติดตั้งเครื่องจุดระเบิดระยะไกลแบบถอดได้อีกด้วย
THE WORLD IS NOT ENOUGH (1999):
OMEGA Seamaster Professional Diver 300M
เมื่อเจมส์ บอนด์โดนหิมะถล่ม สิ่งที่ช่วยให้เขารอดชีวิตก็คือสกีแจ็คเก็ตที่สามารถพองออกเป็นบอลชูชีพ ในขณะที่แสงไฟ LED จากนาฬิกา OMEGA ก็ช่วยประคองสติของจารชนท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุม ต่อมา ขณะที่บอนด์ติดอยู่บริเวณก้นบ่อตรวจสภาพระเบิดนิวเคลียร์ในบังเกอร์ จารชนรายนี้ได้เผยอีกอาวุธลับอย่าง ตะขอสลิงขนาดจิ๋วที่ทำงานด้วยการกดตรงฮีเลียมวาล์ว
DIE ANOTHER DAY (2002):
OMEGA Seamaster Professional Diver 300M
บอนด์ใช้งานเรือนเวลา Seamaster ที่ได้รับการเสริมเขี้ยวเล็บพิเศษให้ใช้งานได้ถึง 2 แบบ:
· เข็มจุดชนวนระเบิดที่ถูกใส่มาแทนที่ฮีเลียมวาล์วซึ่งทำงานด้วยการหมุนขอบตัวเรือน
· เลเซอร์ที่ยิงออกมาจากเม็ดมะยมที่ทำงานด้วยการกดลงบนหน้าปัด
CASINO ROYALE (2006):
OMEGA Seamaster Diver 300M
นี่คือนาฬิกาที่ถูกใส่ในฉากพบกันครั้งแรกอันโด่งดังระหว่างเจมส์ บอนด์ กับ เวสเปอร์ ลินด์บนรถไฟ เครื่องบอกเวลารุ่นนี้ได้รับการปรับปรุงให้มีความวิจิตรกว่ารุ่นก่อนๆ ด้วยหน้าปัดสีน้ำเงินชวนมองจนสะกดสายตาของเวสเปอร์ที่ให้คำจำกัดความสั้นแต่กระชับถึงเรือนเวลารุ่นนี้ไว้ว่า “งามจับใจ”
OMEGA Seamaster Planet Ocean 600M
Seamaster Planet Ocean 600 M Co-Axial Chronometer เรือนนี้คือ OMEGA เรือนแรกที่ Daniel Craig ใส่ในภาพยนตร์ Casino Royale: มาพร้อมกับสายยาง, หน้าปัดดำ และตัวเรือนขนาด 45.5 มิลลิเมตร
QUANTUM OF SOLACE (2008):
OMEGA Seamaster Planet Ocean 600M
เรือนเวลานำสมัยรุ่นนี้อยู่บนข้อมือของบอนด์บนรถ Aston Martin DBS ระหว่างการไล่ล่าสุดระห่ำไปตามแนวชายฝั่งทะเลสาบการ์ดาในฉากเปิด หน้าปัดและขอบตัวเรือนสีดำให้ทั้งความคลาสสิกและมีระดับ โดย Planet Ocean รุ่นนี้ได้รับการปรับโฉมให้บางกว่านาฬิกาบอนด์แบบเดิมลงเล็กน้อย
SKYFALL (2012):
OMEGA Seamaster Planet Ocean 600M
ท่ามกลางฉากต่อสู้ที่อัดแน่นของภาค Skyfall นาฬิกา Seamaster รุ่นนี้ได้เป็นส่วนหนึ่งในหลายฉากที่เป็นที่จดจำมากที่สุดซึ่งรวมไปถึงฉากการขับมอเตอร์ไซด์ไล่ล่าสุดระทึกบนถนนเมืองอิสตันบูล
OMEGA Seamaster Aqua Terra
เรือนเวลารุ่นนี้ได้รับการติดตั้งด้วยกลไกประสิทธิภาพสูงรุ่นเดียวกับใน Planet Ocean มาพร้อมหน้าปัดแบบสไตร์ปสีน้ำเงิน
SPECTRE (2015):
OMEGA Seamaster Aqua Terra
เรือนเวลาที่งดงามแบบคลาสสิกและทนทานนั้นฉายให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ระหว่าง OMEGA กับ โลกแห่งท้องทะเลที่มีมาอย่างยาวนาน จึงนับได้ว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดกับจารชนบอนด์ที่มีพื้นเป็นนายทหารในราชนาวี ด้วยหน้าปัดแบบซันบรัชสีน้ำเงินเคลือบแลคเกอร์ เรือนเวลาโครโนมิเตอร์ขนาด 41.5 มิลลิเมตร นี้ ทำงานด้วยกลไก OMEGA Master Co-Axial calibre 8500
OMEGA Seamaster 300
OMEGA เรือนนี้นอกจากจะเป็นเรือนเวลา 007 รุ่นแรกที่มาพร้อมกับสาย NATO แล้ว นาฬิกายังมาพร้อมดีไซน์และทรงนาฬิกาดำน้ำแบบคลาสสิก โดยมีรายละเอียดอื่นๆ ที่น่าสนใจอีก อาทิ เข็มวินาทีกลางทรงโลลิป๊อป, ขอบตัวเรือน GMT ที่สามารถหมุนได้ทั้งสองทิศทาง ซึ่งในภาพยนตร์ นาฬิกาแอบบรรจุระเบิดไว้ภายในซึ่งช่วยให้บอนด์รอดจากสถานการณ์อันยากลำบากได้
สัมผัสนวัตกรรมชั้นเลิศและประสบการณ์เหนือระดับไปกับ OMEGA ได้ที่บูติคสาขาเซ็นทรัลเอ็มบาสซี โทร. 02-160-5959, สาขาสยามพารากอน โทร.02-129-4878 และ สาขาดิ เอ็มโพเรียม โทร.02-664-9550