Last updated: 24 ก.พ. 2566 | 513 จำนวนผู้เข้าชม |
Audemars Piguet แบรนด์เครื่องบอกเวลาชั้นสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เปิดตัวเวอร์ชันใหม่ของนาฬิการุ่น Royal Oak Offshore Selfwinding Chronograph ขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตรที่มาพร้อมตัวเรือนและสายนาฬิกาแบล็กเซรามิกเป็นครั้งแรก และหน้าปัดสีดำลวดลายเปอตีต์ ทาพิสเซอรี (Petite Tapisserie) ที่ให้ลุคแบบโมโนโครมร่วมสมัยโดดเด่น ขับเคลื่อนด้วยคาลิเบอร์ 4404 ซึ่งเป็นกลไกโครโนกราฟที่มาพร้อมฟังก์ชันฟลายแบ็ก
นาฬิกา Royal Oak Offshore Selfwinding Chronograph ขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตรรุ่นใหม่นี้ขับเคลื่อนด้วยคาลิเบอร์ 4404 ซึ่งรุ่นแรกของคอลเลกชันนี้ที่รังสรรค์ด้วยแบล็กเซรามิก และมาพร้อมกับหน้าปัดลวดลาย Petite Tapisserie
สุนทรียะอันเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์
คอลเลกชัน Royal Oak Offshore เลือกใช้วัสดุหลากหลายประเภทนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นการสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นไททาเนียม คาร์บอนหลอม สตีลหรือแม้กระทั่งทองคำ ซึ่งต้องใช้เทคนิคและการออกแบบที่แตกต่างกัน โดยพัฒนานวัตกรรมอย่างไม่หยุดนิ่งจนได้เป็นเรือนเวลาที่ทั้งสง่างามและแข็งแกร่งอันยากที่จะลอกเลียนแบบ
Royal Oak Offshore (Ref. 26238CE) เรือนนี้ก็ไม่หยุดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ด้วยการรังสรรค์ตัวเรือนและสายนาฬิกาด้วยแบล็กเซรามิก ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของคอลเลกชันนี้ ทั้งปุ่มกดที่ตำแหน่ง 2 นาฬิกาและ 4 นาฬิกา ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมกลไกโครโนกราฟ รวมไปถึงเม็ดมะยมแบบสกรูล็อกที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกาก็ใช้เซรามิกในการผลิตด้วยเช่นเดียวกัน มีเพียงสกรู 8 ตัวที่ช่วยยึดขอบตัวเรือนให้ติดกับตัวเรือนเท่านั้นที่ดูโดดเด่นและแตกต่างด้วยการเลือกใช้ไวท์โกลด์ รวมถึงเครื่องหมายบอกหลักชั่วโมงเคลือบสารเรืองแสง 8 ชิ้นที่บอกเวลาชั่วโมง ปิดท้ายด้วยฝาหลังซึ่งทำจากไทเทเนียมการแสดงเวลาอันเที่ยงตรงแม่นยำ
หน้าปัดใช้สีดำด้านแบบเดียวกันกับสีของตัวเรือน สายนาฬิกา ปุ่มกด ขอบตัวเรือน และเม็ดมะยม ประดับด้วยลวดลาย Petite Tapisserie ซึ่งเป็นลวดลายซิกเนเจอร์ที่สงวนไว้ก่อนหน้านี้สำหรับรุ่น Ref. 26238 ที่รังสรรค์ขึ้นด้วยทองคำหรือไทเทเนียมเท่านั้น แม้ว่านาฬิการุ่นก่อน ๆ จะมีการเลือกใช้โทนสีที่แตกต่างกัน แต่สำหรับรุ่นใหม่นี้ถือว่าเป็นเรือนแรกที่เลือกใช้สีดำสนิทเพียงสีเดียว ซึ่งต้องใช้นวัตกรรมการผลิตแบบเฉพาะ เนื่องจากความแตกต่างทั้งในเรื่องวัสดุและเท็กซ์เจอร์ที่นำมาใช้ เรือนเวลารุ่นใหม่นี้จึงดูมีรายละเอียดที่ลึกซึ้งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
Audemars Piguet ได้พัฒนาเทคนิคการตกแต่งแบบต่าง ๆ เพื่อนาฬิกาเรือนนี้โดยเฉพาะ สังเกตได้จากหน้าปัดย่อยโครโนกราฟแต่ละหน้าปัดมาพร้อมกับเข็มนาฬิกาและตัวเลขอารบิกสีขาวบนแผ่นดิสก์ ช่วยให้มองเห็นเวลาได้ชัดเจนและดูโดดเด่นยิ่งขึ้นอีก ในทำนองเดียวกัน ช่องบอกวันที่แบบวงกลม (ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา) และหน้าปัดย่อย 3 หน้าปัด ถูกจัดวางไว้รายรอบเข็มชั่วโมงและนาทีเรืองแสงขนาดใหญ่สองเข็ม โดยหน้าปัดย่อยถูกจัดเรียงในลักษณะแนวตั้งอันเป็นเอกลักษณ์ของคอลเลกชัน ซึ่งหน้าปัดย่อยบอกวินาทีอยู่ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา หน้าปัดย่อยบอกนาทีอยู่ที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา และหน้าปัดย่อยบอกชั่วโมงอยู่ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ซึ่งปรับปรุงจากรุ่นที่เปิดตัวในปี 2021 โดยสลับตำแหน่งของหน้าปัดย่อยที่บอกชั่วโมงและหน้าปัดที่บอกวินาที เพื่อให้อ่านเวลาจากบนลงล่างได้แม่นยำยิ่งขึ้น
ผสานองค์ความรู้คู่เทคโนโลยี
นาฬิกาซึ่งรังสรรค์ด้วยเซรามิกรุ่นใหม่นี้ได้ผ่านกระบวนการผลิตอย่างพิถีพิถันเพื่อเผยให้เห็นรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ ช่างนาฬิกาของAudemars Piguet ต้องพบกับความท้าทาย 3 ประการ ประการแรกคือการบรรลุมาตรฐานการผลิตและการตกแต่ง ซึ่งAudemars Piguet ได้ตั้งมาตรฐานไว้สูง ประการที่สองคือการรังสรรค์เซรามิกให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมากเพราะเซรามิกเป็นวัสดุที่แข็งมาก และประการสุดท้ายคือการผสมผสานองค์ประกอบอันบซ้อนให้เข้ากับการขัดเงาและการขัดแบบซาตินได้กลมกลืนที่สุด
ส่วนประกอบแต่ละส่วนของตัวเรือนแบล็กเซรามิกจำเป็นต้องผ่านกระบวนการผลิตที่มีความซับซ้อนและการใช้เทคนิคการตกแต่งด้วยมือสุดประณีตหลายขั้นตอน ผงเซอร์โคเนียมออกไซด์ (ZrO2) จะถูกนำมารวมเข้ากับสารยึดเกาะในอัตราส่วนลับเฉพาะของบริษัท หลังผ่านการเผาผนึกที่อุณหภูมิประมาณ 1,000 องศาเซลเซียส จากนั้นจึงนำองค์ประกอบต่าง ๆ มาขัดเงาและขัดแบบซาตินในเบื้องต้น เส้นสาย มุมต่าง ๆ และขอบตัวเรือนจะต้องผ่านการเก็บรายละเอียดสุดท้ายด้วยมืออย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้เท็กซ์เจอร์ที่ผ่านการขัดเงาและการขัดแบบซาตินซึ่งเป็นสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Audemars Piguet
กลไกฟลายแบ็กโครโนกราฟ มอบประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
นาฬิการุ่น Royal Oak Offshore Selfwinding Chronograph รุ่นใหม่ในแบล็กเซรามิกเรือนนี้มาพร้อมคาลิเบอร์ 4404 กลไกโครโนกราฟอัตโนมัติล่าสุด พร้อมด้วย column wheel และฟังก์ชันฟลายแบ็กซึ่งแตกต่างไปจากกลไกโครโนกราฟทั่วไปตรงที่สามารถรีสตาร์ทได้โดยไม่ต้องหยุดและรีเซ็ตก่อน column wheel จะทำงานร่วมกับระบบคลัตช์แนวตั้งซึ่งออกแบบมาเพื่อให้การกดปุ่มแต่ละปุ่มทำได้อย่างนุ่มนวล เมื่อเริ่มหรือหยุดโครโนกราฟ เข็มนาฬิกาจะตอบสนองตามนั้นโดยไม่มีการหน่วงหรือกระโดดอย่างไม่คาดคิด กลไกการรีเซ็ตเป็นศูนย์ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรยังช่วยให้มั่นใจได้ว่า เข็มจับเวลาแต่ละเข็มจะกลับสู่ตำแหน่งเริ่มต้นในแนวตั้งทันที
ฝาหลังประดับแซฟไฟร์และไทเทเนียมเผยให้เห็นทำงานของ column wheel ภายในกลไก เมื่อกดปุ่มเพื่อรีเซ็ต ค้อนซึ่งกำกับด้วยคันโยกจะกระแทกลูกเบี้ยวกลางเพื่อรีเซ็ตล้อโครโนกราฟและตั้งเข็มนาฬิกาเป็นศูนย์ อีกทั้งสามารถเชยชม oscillating weight ซึ่งรังสรรค์จากพิ้งค์โกลด์ 22 กะรัตที่สลักตัวอักษรย่อ AP เป็นดีไซน์เดียวกับ Royal Oak Offshore รุ่นประวัติศาสตร์ ภายในกลไกยังมีการเก็บรายละเอียดสุดท้ายด้วยเทคนิคที่พิถีพิถันมากมาย ทั้งเทคนิคลายวงกลมวน “โกตส์ เดอ เฌอแนฟ” (Côtes de Genève) เทคนิค “เซอร์คิวลาร์ เกรนิง” (Circular Graining) เทคนิคการขัดแบบซาตินเป็นวงกลม และการขัดลบมุม
นาฬิกา Royal Oak Offshore Selfwinding Chronograph รุ่นใหม่เรือนนี้เปิดตัวออกมาในวาระครบรอบ 30 ปีของ Royal Oak Offshore โดยรุ่นแรกของคอลเลกชันเปิดตัวในปี 1993 และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของกลไก วัสดุที่ใช้ในการสร้างสรรค์ รายละเอียดการตกแต่ง และหน้าปัด
การขยายคอลเลกชันด้วยการเลือกใช้วัสดุเซรามิกในโทนสีเดียวกันทั่วทั้งตัวเรือน และการใช้ลวดลาย Petite Tapisserie บนหน้าปัดซึ่งปัจจุบันมีอยู่บนหน้าปัดของนาฬิกา Royal Oak Offshore เพียง 3 รุ่น ทำให้นาฬิกาเรือนนี้เผยบุคลิกที่ทั้งสุขุมและร่วมสมัยให้กับคอลเลกชัน
8 ต.ค. 2567
29 ก.ย. 2567
7 ต.ค. 2567