Last updated: 17 ก.ค. 2567 | 712 จำนวนผู้เข้าชม |
นาฬิกา Captain Cook High-Tech Ceramic Skeleton และ True Square Skeleton เวอร์ชันใหม่ที่มาในเฉดสีน้ำเงินเข้มยามค่ำคืนแนวเออร์บัน จะปลุกเสียงดนตรีอันเป็นอมตะในหัวใจของคนรักนาฬิกาทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุที่มีชื่อเสียงระดับโลกนำความชำนาญที่ปฏิเสธไม่ได้ในการรังสรรค์ไฮเทคเซรามิกสีสันงดงามมาใช้กับนาฬิการุ่นโปรดของ Rado ทั้งสองรุ่น ความสง่างามที่ล้ำลึกและตัวตนของเรือนเวลาในตำนานสองเรือน เพิ่มเติมด้วยความสดใหม่และสารพัดประโยชน์ในตัวเรือนสีน้ำเงินกรมท่าที่งดงามจับตา ควบคู่ไปกับผิวสัมผัสจากไฮเทคเซรามิกที่นุ่มนวลอย่างเป็นเอกลักษณ์และลืมไม่ลง
นาฬิการุ่น True Square Skeleton เป็นหนึ่งในเรือนเวลารุ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Rado ตัวเรือนขนาดใหญ่และโดดเด่นพร้อมมุมโค้งมนอันนุ่มนวลสร้างความพึงพอใจให้กับผู้สวมใส่นาฬิกาตั้งแต่แรก และการเพิ่มกลไกการเดินแบบเปลือยที่มองเห็นภายในได้เข้าไปพร้อมรายละเอียดที่ตัดกันและการขัดแต่งผิวอย่างพิถีพิถันได้ทำให้นาฬิกาดูดีมีระดับไปอีกขั้น รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีสีน้ำเงินเข้ม มาพร้อมสายยางสีน้ำเงินที่เข้ากับตัวเรือนเป็นครั้งแรก และตัวล็อกที่ออกแบบใหม่โดยใช้ฝาปิดไฮเทคเซรามิก ซึ่งก็เป็นสีน้ำเงินเช่นกัน ชิ้นส่วนด้านในได้การปกป้องด้วยคริสตัลแซฟไฟร์แบบแบนพร้อมเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนทั้งสองด้าน มาพร้อมคาลิเบอร์ R808 ที่ยอดเยี่ยมและแฮร์สปริง Nivachron. ซึ่งผ่านการคัดสรรให้ทนทานต่อแรงกระแทก อุณหภูมิที่ผันผวน และต้านทานสนามแม่เหล็ก ซึ่งจะทำให้ผู้สวมใส่มั่นใจว่าจะสัมผัสกับความแม่นยำอย่างเต็มพิกัด กลไกผ่านการทดสอบความแม่นยำทั้งหมดห้าตำแหน่งและยังสำรองพลังงานได้นานถึง 80 ชั่วโมง ฝาหลังไทเทเนียมประดับด้วยคริสตัลแซฟไฟร์เพิ่มเติม เพื่อให้มองเห็นกลไกแบบเปลือยที่ประณีต รวมถึงรูปทรงเรขาคณิตที่งดงามและภายในที่น่าหลงใหลได้อย่างเต็มที่ คนรักนาฬิกาสามารถดื่มด่ำกับความงดงามของบาลานซ์ เข็มนาฬิกา สะพานจักรสำหรับล้อนาที กระปุกลานและอัญมณีของกลไกได้อย่างเปิดเผย
นาฬิกา Captain Cook High-Tech Ceramic Skeleton คู่ใจ ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมว่าเป็นรุ่นสำหรับสายผจญภัยและมีความสวยงามอย่างสมบุกสมบัน โดดเด่นด้วยการใช้สีใหม่ที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย สีกรมท่าเข้มมีพื้นผิวแบบด้านซึ่งเข้ากันดีเป็นพิเศษรุ่น Captain Cook ที่มีความสปอร์ตกว่า และซี่ของกรอบหน้าปัดก็ผ่านการขัดเงาให้แวววาว ซึ่งเข้ากันกับคริสตัลแซฟไฟร์ทรงสี่เหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์อย่างสวยงาม กระจกผ่านการเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนทั้งสองด้านเพื่อให้อ่านเวลาได้ดีที่สุด และก็มีการประดับคริสตัลแซฟไฟร์ชิ้นที่สองตรงฝาหลัง เพื่อให้สามารถดื่มด่ำกับกลไกภายในและคาลิเบอร์แบบเปลือยของเรือนเวลาได้อย่างเต็มที่ นับเป็นครั้งแรกที่ฝาหลังของตัวเรือนได้รับการตกแต่งด้วย PVD สีกรมท่าเข้มที่เข้ากัน ซึ่งเป็นนาฬิกาที่เห็นได้ชัด ว่ามีการใส่ใจทุกรายละเอียดมาเป็นอย่างดี กลไกการเดิน R808 คือความมหัศจรรย์ด้านการผลิตนาฬิกาและการขัดแต่งผิว มาพร้อมกับแฮร์สปริง Nivachron. ที่ทันสมัยที่สุด ซึ่งมีความทนทานต่อแรงกระแทก ความร้อนที่แปรปรวนและสนามแม่เหล็กได้สูง ผ่านการทดสอบครบทั้งหมดห้าตำแหน่งเพื่อให้มีความแม่นยำสูงสุด ประดับด้วยอัญมณี 25 เม็ดและเข็ม 3 เข็ม สามารถสำรองพลังงานได้อย่างน่าประทับใจถึง 80 ชั่วโมง ดังนั้น แม้แต่นักสำรวจที่คลั่งไคล้การสำรวจมากที่สุดก็ยังได้พักผ่อนตามที่ต้องการ Captain Cook Skeleton รุ่นใหม่มาพร้อมกับสายยางสไตล์สปอร์ตที่พร้อมสำหรับการผจญภัยและยังมีสีน้ำเงินที่เข้ากัน เพื่อให้สวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน ควบคู่ไปกับตัวเรือนไฮเทคเซรามิกที่มีระดับ กลไกการเดินแบบเปลือยที่น่าทึ่ง และรายละเอียดตรงกรอบหน้าปัดขัดเงา สายยางมีน้ำหนักเบาและไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย เนื่องจากวัสดุจะปรับเข้ากับอุณหภูมิผิวหนังของผู้สวมใส่ได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้เกิดความสบายสูงสุด สองรุ่นมาในเฉดสีน้องใหม่น่าค้นหา เหมาะสำหรับค่ำคืนอันแสนหวานที่เคล้าคลอไปกับดนตรีบลูส์ที่น่าจดจำ ณ สถานที่ชื่อดังกับเพื่อนรักของคุณ
Rado ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุและงานออกแบบ
หนึ่งในวิสัยทัศน์อันแข็งแรงของผู้ก่อตั้งแบรนด์ Rado คือ “ถ้าเราจินตนาการสิ่งใดขึ้นมาได้ แปลว่าเราก็สร้างสรรค์สิ่งนั้นได้ แล้วถ้าเราสามารถทำได้ เราก็จะลงมือทำ!” ซึ่งหลักคิดนี้เองที่ทำให้เราได้เห็น Rado พัฒนาสิ่งต่างๆ อย่างไม่หยุดยั้งมาตลอด จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุตัวจริงแห่งโลกนาฬิกา โดยมี Rado High-Tech Ceramic เป็นหลักฐานยืนยันความเชี่ยวชาญดังกล่าว วัสดุที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากแร่ธาตุในธรรมชาติ นำมาผนวกกับนวัตกรรมที่มนุษย์คิดค้นขึ้น จนคนรักนาฬิกาทั่วโลกพูดถึงไฮเทคเซรามิกของ Rado ตรงกันว่า “ให้ความรู้สึกพิเศษ ที่ไม่เหมือนสิ่งใดเลย”
Rado เริ่มการค้นหาและศึกษาวัสดุใหม่ๆ มาตั้งแต่ช่วงต้นของการก่อตั้งแบรนด์เมื่อศตวรรษก่อน โดนนำศาสตร์ทางวิศวกรรม เคมี และฟิสิกส์มาบรรจบกัน จนผลิตโลหะผสมที่มีความแข็งแรงทนทานสูงได้ รวมถึงคิดค้นวิธีนำโลหะผสมมาใช้สร้างสรรค์นาฬิกา อาทิ การใช้ทังสเตนคาร์ไบด์ “Hardmetal” กับกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ในรุ่น DiaStar1 เมื่อปีค.ศ. 1962 นาฬิกาเรือนแรกที่ป้องกันรอยขีดข่วนได้จริง แถมแบรนด์ยังใช้นวัตกรรมในงานออกแบบจน DiaStar มีรูปทรงที่โดดเด่นกว่าเรือนอื่นๆ ในช่วงเวลานั้น
ต่อมา Rado ก็ยังคิดค้นวิธีการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่นการเติมสารยึดเกาะโพลิเมอร์เพื่อให้ทีมงานสามารถฉีดขึ้นรูปนาฬิกาได้หลายรูปแบบมากขึ้น มีการนำไทเทเนียมไนไตรด์มาทำพื้นผิวนาฬิกาที่มีความทนทานสูง รวมถึงการพัฒนาคริสตัลแซฟไฟร์จนได้นาฬิกาที่โดดเด่นอย่างซีรีส์ Captain Cook อันงดงาม
จากนั้นในยุค 90 จึงมีการเปิดตัว “ไฮเทคเซรามิก” ซึ่งช่วงแรกเป็นไฮเทคเซรามิกสีเข้มแบบเรียบง่าย ก่อนจะพัฒนาสร้างเฉดสีต่างๆ อาทิ สีทอง สีโรสโกลด์ รวมถึงเฉดสีพาสเทล จนปัจจุบันมีมากกว่า 20 สี ตอบโจทย์ความชอบที่หลากหลายของคนรักนาฬิกา โดยที่ความสวยงามนี้ยังคงคุณสมบัติเฉพาะตัวของไฮเทคเซรามิกไว้ครบครัน ทั้งน้ำหนักเบา ให้สัมผัสนุ่มนวล และทนต่อรอยขีดข่วน
ล่าสุดกับนาฬิกาไฮเทคเซรามิกสีกรมท่า 2 รุ่นคือ Rado True Square Automatic Skeleton ตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่กับมุมที่โค้งมน หน้าปัดด้านหน้าดีไซน์ให้มีบริดจ์สีน้ำเข้มเข้มพาดผ่านฟันเฟืองกลไกคาลิเบอร์ R808 อันงดงามด้านใน อีกหนึ่งรุ่นคือ Captain Cook High-Tech Ceramic Skeleton นาฬิกาผิวด้านดีไซน์สปอร์ต ที่พร้อมให้ใส่ไปผจญภัยในทุกสถานการณ์ บริเวณหน้าปัดเป็นแบบเปลือยให้เห็นกลไกการเดินคาลิเบอร์ R808 แบบเต็มตาเช่นกัน ส่วนสายนาฬิกาทำจากยางสีกรมท่าเฉดเดียวกับตัวเรือน นอกจากความงดงามภายนอกแล้ว ทั้ง 2 รุ่นนี้ยังติดตั้งแฮร์สปริง Nivachron™ มาช่วยป้องกันสนามแม่เหล็กเพื่อให้บอกเวลาได้อย่างแม่นยำในทุกสภาพแวดล้อมด้วย เรียกได้ว่าเป็นนาฬิกาเรือนใหม่จาก 2 คอลเล็กชั่นในตำนานของแบรนด์ที่ครบเครื่องมาตั้งแต่รายละเอียดเล็กๆ ภายใน จนถึงวัสดุภายนอกอย่างไฮเทคเซรามิกและคริสตัลแซฟไฟร์ สองวัสดุที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแรงทนทานที่สุดในอุตสาหกรรมนาฬิกา
ทำไมต้องไฮเทคเซรามิก – ก็เพราะไม่เหมือนกับวัสดุอื่นๆ….
และนี่ก็คือหัวใจสำคัญของไฮเทคเซรามิกของ Rado นั่นเป็นเหตุผลที่เรากล่าวคำว่า "Feel it" ต้นกำเนิดของวัสดุยืนพื้นในสมัยโบราณได้ทำให้เกิดความทนทานโดยแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่แน่นอนว่าเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ของ "ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุ" เป็นของจริง ไฮเทคเซรามิกเป็นสารที่มีน้ำหนักเบาและสวยงาม อีกทั้งยังทนทานต่อรอยขีดข่วนได้อย่างดีเยี่ยม
คุณสมบัติจากวัสดุที่ยอดเยี่ยมเพียงอย่างเดียวก็อาจเพียง พอที่จะสร้างความน่าหลงใหลได้แล้ว แต่ที่น่าประหลาดใจคือไม่ได้หมดเพียงเท่านี้ เซรามิกไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติในเรื่องความทนทานและป้อนกันมิให้สิ่งต่างๆ แทบจะทุกอย่างเล็ดลอดเข้าไปได้เท่านั้น แต่ยังมีความนุ่มชนิดหาตัวจับยาก ซึ่งทำให้เกิดความสบายผิวอย่างสุดยอด เมื่อนาฬิกาสวมอยู่บนข้อมือ — ไม่ว่าจะบอบบาง ใหญ่โต อ่อนโยน หรือหนักแน่น นาฬิกาจะให้ความรู้สึกเหมือนถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออยู่ที่นั่นตลอดไป แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้เซรามิกในสายนาฬิกาด้วย ซึ่งจะทำให้คุณได้พบที่สุดของเนื้อสัมผัสที่ไม่รู้ลืม
ข้อมูลเกี่ยวกับไฮเทคเซรามิก
Rado เปิดตัวไฮเทคเซรามิกเป็นครั้งแรกในปี 1986 เนื้อสัมผัส ความทนทาน ความทนทานต่อการขีดข่วน และน้ำหนักที่เบาอย่างน่าประหลาดใจ เอาชนะใจผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าไฮเทคเซรามิกจะมีความเกี่ยวข้องกับเซรามิกทั่วไปที่เราทุกคนรู้จักอยู่บ้าง แต่ไฮเทคเซรามิกก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่ถือกำเนิดจากหลักวิทยาศาสตร์ขั้นสูงอย่างแท้จริง ผงอะลูมิเนียมออกไซด์ เซอร์โคเนียมออกไซด์ และซิลิกอนไนไตรด์ที่บริสุทธิ์มาก ผ่านการคาลิเบรทอย่างละเอียดและมีขนาดเกรนที่สม่ำเสมออย่างสมบูรณ์แบบ จะได้รับการขึ้นรูปภายใต้สภาวะที่มีความเข้มงวดสูง เพื่อให้มีรูปทรงที่ต้องการ จากนั้นจึงผ่านการอบที่อุณหภูมิสูงเพื่อสร้างวัตถุหรือตัวเรือนนาฬิกาที่มีขนาดและคุณสมบัติตามที่ต้องการ วิธีการใหม่ที่ Rado พัฒนาขึ้นมา มีการใช้สารตัวกลางช่วยพาพลาสติกผสมกับผงแร่ เพื่อให้สามารถฉีดเข้าไปในแม่พิมพ์ที่มีความแม่นยำ ภายใต้แรงดันประมาณ 1,000 บาร์ หลังจากชิ้นส่วนต่างๆ เย็นลงแล้ว ก็จะนำออกจากแม่พิมพ์และจะมีการละลายสารช่วยพาในขั้นตอนทำละลายทางเคมีมาตรฐานก่อนที่จะเผาผนึกที่อุณหภูมิ 1450 องศาเซลเซียส การเผาผนึกที่ผ่านการควบคุมอย่างแม่นยำนี้จะทำให้ได้ไฮเทคเซรามิกที่แข็งและมีความหนาแน่นอย่างน่าทึ่ง ซึ่งต่างจากเซรามิกธรรมดาๆ ขั้นตอนนี้อยู่ในระดับเดียวกันกับวิทยาศาสตร์การผลิตจรวดอย่างแท้จริง เนื่องจากขนาดของชิ้นส่วนที่ขึ้นรูปชิ้นแรกจะหดตัวระหว่างการเผาผนึก อนุภาคจะแน่นขึ้นเมื่อรูพรุนหายไป และต้องมีการคำนวณที่แม่นยำเพื่อคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงขนาดที่สำคัญประมาณ 23% ผลลัพธ์คือตัวเรือนที่มีความแข็งอยู่ในระดับ 1,250 ในสเกล Vickers ซึ่งพร้อมสำหรับการตัดเพชรและการเก็บงานในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อให้เป็นนาฬิกา Rado ที่น่าประทับใจ
29 ก.ย. 2567
29 ก.ย. 2567
29 ก.ย. 2567