Last updated: 8 เม.ย 2564 | 994 จำนวนผู้เข้าชม |
ปีนี้ Cartier นำรูปทรงในอดีตหวนกลับมาสร้างความน่าหลงใหลอีกครั้ง ในผลงานรุ่นใหม่ Cartier Privé Tank Asymétrique ความร่วมสมัยในสไตล์อสมมาตร ที่มีให้เลือกทั้งแบบแสดงเวลาเพียงอย่างเดียว หรือเปลือยหน้าปัดในสไตล์สเกเลตันร่วมสมัย
ในฐานะที่เป็นแบรนด์ผู้นำด้านการออกแบบตัวเรือนที่โดดเด่น Cartier ได้คิดค้นและพัฒนางานออกแบบตัวเรือนที่แตกต่างและน่าสนใจให้กับ Tank Asymétrique ที่ก่อกำเนิดอย่างเป็นทางการในปี 1936 และกลายเป็นหนึ่งในนาฬิกาต้นแบบและรังสรรค์ได้อย่างหรูหรางามสง่าเป็นที่สุด และดังเช่นทุกปีที่ Cartier จะนำรูปทรงตัวเรือนอันเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ให้ฟื้นคืนกลับมาให้ชื่นชมใหม่อีกครั้ง โดยเป็นส่วนหนึ่งของผลงานในกลุ่ม Cartier Privé ที่ผลิตในจำนวนจำกัด เริ่มต้นจาก Tank Cintrée กับรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ได้แรงบันดาลใจจากรถถัง ซึ่งเผยโฉมผลงานรุ่นใหม่อีกครั้งในปี 2018 ตามมาด้วย Tonneau เมื่อปีที่แล้ว และมาถึงปีนี้ แบรนด์เครื่องประดับและเครื่องบอกเวลาชั้นสูงก็นำหนึ่งในรุ่น Tank ที่แตกต่างและแปลกตาที่สุดให้หวนกลับมาอีกครั้งในผลงาน Cartier Privé Tank Asymétrique ความร่วมสมัยที่พร้อมสะกดทุกสายตาด้วยรูปทรงตัวเรือนแบบดุลยภาพอสมมาตรที่เป็นความสมดุลอันเกิดจากการจัดใหม่ในเชิงออกแบบด้วยองค์ประกอบที่ไม่เหมือนกัน แต่กลับสมดุลได้ด้วยความรู้สึก
ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 30s และ 40s นาฬิกาส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากงานศิลปะแนวอาร์ตเดโคในการออกแบบดีไซน์ตัวเรือน เช่นเดียวกับ Tank ‘Asymétrique’ ที่ได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจากอาร์ตเดโค แต่ผ่านการพัฒนารูปทรงจนมีเอกลักษณ์เฉพาะและกลายเป็นหนึ่งในผลงานซึ่งเป็นที่ต้องการมากที่สุด ด้วยความงามเด่นของตัวเรือนแบบดุลยภาพอสมมาตรที่ประดับเพชรโดยรอบอย่างพิถีพิถัน ทุกอย่างบนพื้นหน้าปัดถูกทำมุมเอียง 30 องศาไปด้านขวาตามมุมเอียงของตัวเรือน ตัวเลข 12 และ 6 ย้ายจากกึ่งกลางตัวเรือนไปชิดมุมขวาบนและซ้ายล่าง Cartier ยังเลือกใช้ตัวเลขอารบิกในตำแหน่งเลขคู่แทนตัวเลขโรมัน สลับด้วยขีดเครื่องหมายเฉียงไปตามทิศของตัวเรือน ผลจากการบิดรูปทรงตัวเรือนยังส่งผลต่อการพัฒนาข้อต่อตัวเรือนและสาย นอกจากนี้บางรุ่นของ Tank ‘Asymétrique’ ยังเพิ่มแกนสมดุลกึ่งกลางตัวเรือนเป็นพิเศษ รายละเอียดเหล่านี้ที่อาจไม่เกี่ยวข้องกับความงามโดยตรง แต่กลายเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้นาฬิกา Tank ‘Asymétrique’ กลายเป็นผลงานที่หายากในปัจจุบันและเป็นที่ต้องการอย่างมากในกลุ่มนักสะสม ซึ่งก่อนหน้านี้ Tank ‘Asymétrique’ เคยถูกเรียกขานด้วยชื่อ Parallélogramme หรือ Losange จากรูปทรงตัวเรือนที่แตกต่าง
ในปัจจุบัน ‘Asymétrique’ เป็นหนึ่งในสมาชิกของคอลเลคชั่น Tank และได้รับการผลิตในแบบจำนวนจำกัด โดยเริ่มต้นจากปี 1996 ที่ผลิตจำกัดเพียง 300 เรือนในตัวเรือนทองคำ 18k และ 100 เรือนในตัวเรือนแพลทินัม ทั้งสองแบบมีรูปลักษณ์คล้ายกับนาฬิการุ่นดั้งเดิมที่เปิดตัวในปี 1936 และในปี 1999 นาฬิการุ่นนี้ได้นำมาผลิตอีกครั้งในจำนวนผลิตที่น้อยมาก เพื่อเป็นที่ระลึกในการส่งมอบมาเก๊าคืนให้กับจีน
ในปี 2006 คอลเลคชั่น Privée Cartier Paris (CPCP) ผลิตในจำนวนจำกัด 150 เรือนในตัวเรือนทอง 18k และตามมาด้วยจำนวนจำกัดมากในตัวเรือนแพลทินัมที่โดดเด่นด้วยหน้าปัดกิโยเช่สไตล์บาร็อคและเข็มเบรเกต์ โดยมีตัวเรือนขนาดใหญ่ขึ้นและมาพร้อมข้อต่อตัวเรือน 3 แกนที่ทำให้ดูเข้ากับรสนิยมสมัยใหม่ในยุคนั้นยิ่งขึ้น
สำหรับ Cartier Privé Tank Asymétrique รุ่นใหม่ในปี 2020 ที่ดูเหมือนเงาสะท้อนของอดีต แต่กลับมีความแตกต่างในรายละเอียด จากการผสานของดีไซน์ตัวเรือนขนาดใหญ่กว่าของรุ่นปี 2006 เข้ากับงานออกแบบพื้นหน้าปัดของรุ่นดั้งเดิม โดยเปิดตัวรุ่นใหม่ใน 3 เวอร์ชั่นคือ ตัวเรือนแพลทินัม ทองคำ 18k และทองคำชมพู 18k แต่ละรุ่นผลิตจำกัดเพียงแบบละ 100 เรือน ทั้งสามรุ่นงดงามในตัวเรือนโลหะล้ำค่าและพื้นหน้าปัดที่รังสรรค์ขึ้นอย่างงามสง่า ประกอบกับสายในแบบฉบับของ Cartier Privé ในโทนสีที่หรูหรางดงาม
พื้นหน้าปัด Cartier Privé Tank Asymétrique แสดงเวลาในแบบ 3 เข็มคลาสสิก ได้รับการตกแต่งในแบบปัดด้าน ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของหลักชั่วโมงด้วยตัวเลขอารบิก 6 ตำแหน่งหลัก สลับขีดเครื่องหมาย 6 ตำแหน่ง โดยวางเลข 12 และ 6 นาฬิกาไว้บนมุมบนขวาและล่างซ้ายรับกับรูปทรงอสมมาตรของตัวเรือน ทั้งยังเพิ่มจุดเหนือตัวเลข 12 และ 6 เพื่อให้อ่านค่าง่ายขึ้น ตัวเรือน Extra-large ขนาด 47.15 x 26.2 มิลลิเมตร คล้ายกับรุ่นในปี 2006 และเพื่อให้สายอยู่ในตำแหน่งกลางข้อมืออย่างสมส่วน ข้อต่อตัวเรือนจึงต้องทำมุมเอียงตามไปด้วย อีกทั้งสายยังต้องได้รับการออกแบบเป็นพิเศษให้กับกับข้อต่อตัวเรือน 3 แกน นอกจากนี้ยังประดับแซฟไฟร์สีน้ำเงินหรือทับทิมเจียระไนทรงหลังเบี้ยเหนือเม็ดมะยมด้วย
Cartier Privé Tank Asymétrique บรรจุกลไกไขลาน คาลิเบอร์ 1917MC ขนาด 16.0 x 12.95 มิลลิเมตร หนาเพียง 2.9 มิลลิเมตร ซึ่งส่งผลให้ตัวเรือนโดยรวมบางเพียง 6.38 มิลลิเมตร กลไกชุดนี้ทำงานด้วยความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง สำรองพลังงานได้นาน 38 ชั่วโมง
แต่ถ้าชอบชมการทำงานของกลไก Cartier ก็ยังรังสรรค์ความพิเศษในรุ่น Cartier Privé Tank Asymétrique Skeleton ที่เผยให้เห็นการทำงานของกลไกไขลาน คาลิเบอร์ 9623 MC ที่พัฒนาและผลิตขึ้นภายในโรงงาน ในขนาด 32.0 x 21.1 มิลลิเมตร หนา 4.2 มิลลิเมตร ประดับทับทิม 22 เม็ด ทำงานด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมงและสำรองพลังงานได้นานถึง 48 ชั่วโมง ซึ่งกลไกไขลานที่ทำงานด้วยความถี่สูงขนาดนี้หาได้ค่อนข้างยาก และยังเป็นครั้งแรกที่ผลงานรูปทรงอสมมาตรอย่าง Cartier Privé Tank Asymétrique ได้รับการรังสรรค์ในแบบสเกเลตัน เปลือยให้เห็นกลไกอย่างเต็มตาทั้งด้านหน้าและบนฝาหลังถึง 3 รุ่นที่แตกต่างกันด้วยวัสดุตัวเรือนและสีสันของสาย โดยมีให้เลือกทั้งตัวเรือนแพลทินัมประดับด้วยเพชรน้ำงามบนขอบตัวเรือนและข้อต่อ รวมไปถึงบานพับล็อกสาย รวมเพชรน้ำงามเจียระไนเหลี่ยมเกสร 250 เม็ดน้ำหนัก 2.08 กะรัต และยังประดับบนเม็ดมะยมอีก 1 เม็ด น้ำหนัก 0.12 กะรัต รุ่นนี้มาพร้อมสายหนังสีน้ำเงินรับกับชุดเข็มบลูสตีลลีล ตัวเลข 6 และ 12 ทำมุมเฉียบกับขีดเครื่องหมายที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างกลไกสุดหรู หรือถ้าไม่ชอบวิบวับก็มีรุ่นตัวเรือนแพลทินัมที่ไม่ประดับเพชรเป็นทางเลือก รวมถึงตัวเรือนทองคำชมพู 18k ที่ประดับเม็ดมะยมด้วยแซฟไฟร์เจียระไนทรงหลังเบี้ยจับคู่กับสายหนังสีเทาและน้ำตาลงามสง่า
พื้นหน้าปัดที่น่าอัศจรรย์ทำมุมเอียง 30 องศา เผยให้เห็นตลับลานอยู่ด้านบนขวาของตัวเรือน ใต้ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และชุดจักรกลอกที่หมุนสลับไปมาราวกับหัวใจของนาฬิกา ทำงานอย่างเที่ยงตรงในตำแหน่งมุมล่างซ้ายใต้ตัวเลข 6 นาฬิกา การจัดวางโครงสร้างกลไกในแนวดิ่งให้รับกับรูปทรงตัวเรือนเป็นอีกหนึ่งความท้าทายและทำได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะการใช้รูปฟอร์มของตัวเลขและขีดเครื่องหมายมาเป็นส่วนของสะพานจักรที่ยึดชุดกลไก หลักชั่วโมงทั้งตัวเลขและดัชนีได้รับการแกะสลักและเคลือบด้วยแลกเกอร์สีน้ำเงิน รับกับเข็มบลูสตีล ไม่ใช่แค่เพียงความสวยงาม แต่ทำให้การอ่านค่าง่ายขึ้นอีกด้วย
ย้ำกันอีกครั้งว่าทั้ง Cartier Privé Tank Asymétrique และ Cartier Privé Tank Asymétrique Skeleton ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 100 เรือนในแต่ละวัสดุตัวเรือนเท่านั้น
6 ธ.ค. 2567
6 ธ.ค. 2567
6 ธ.ค. 2567
5 ธ.ค. 2567