VAN CLEEF & ARPELS AND DANCE A CREATIVE PAS DE DEUX

Last updated: 26 ส.ค. 2564  |  396 จำนวนผู้เข้าชม  | 

VAN CLEEF & ARPELS  AND DANCE  A CREATIVE PAS DE DEUX

ด้วยชื่นชอบในความงดงามอันเกิดจากลีลาสอดประสานอย่างกลมกลืนนำไปสู่การเติมเต็มภารกิจสู่ความเป็นเลิศซึ่งจะทอดยาวสืบเนื่องไปเป็นหนทางตราบนิรันดร์ กว่าหลายทศวรรษที่ Van Cleef & Arpels ได้อาศัยแรงบันดาลใจอันไร้ขอบเขตสิ้นสุดของนาฏกรรมการเต้น ศิลปะแห่งระบำปลายเท้าหรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “บัลเลต์” ได้มอบบรรยากาศแห่งความวิจิตรบรรจงเยี่ยงบทกวี จากท่วงท่าอากัปสง่างามมาสู่งานออกแบบเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูงของเมซง ตลอดจนบรรดาเครื่องประดับจำลองรูปร่างสตรีที่ล้วนเต็มไปด้วยความอ่อนช้อย บอบบาง น่าทะนุถนอมในหลากลีลาท่าเต้น ตลอดระยะความเป็นมา Van Cleef & Arpels ได้ทวีความผูกพันแน่นแฟ้นกับโลกของนาฏกรรมยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องผ่านการร่วมงานสร้างสรรค์ศิลปะมากมายหลายรูปแบบซึ่งต่างก็สะท้อนให้เห็นถึงการยกย่องคุณค่าความสำคัญของการใช้ความคิดสร้างสรรค์และการแบ่งปัน

VAN CLEEF & ARPELS BALLERINAS

สายใยแห่งความผูกพันระหว่าง Van Cleef & Arpels กับศิลปะการเต้น มีจุดเริ่มต้นขึ้นเมื่อทศวรรษที่ 1920 ในกรุงปารีส ลูอิส อารเปลส์ ผู้รักการแสดงบัลเลต์เป็นชีวิตจิตใจ มักจะพาโคลด หลานชายของตนไปยังโรงอุปรากรการนิเยร์ ซึ่งอยู่ห่างจากบูติกที่จัตุรัสว็องโดมไปไม่กี่ก้าว ส่วนเข็มกลัดนางระบำหรือที่เรียกกันว่า “บัลเลรินา คลิป” (ballerina clip) ชุดแรกของเมซงนั้นก็ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1940 และกลายเป็นผลงานสัญลักษณ์ประจำ Van Cleef & Arpels ในเวลาอย่างรวดเร็ว ท่วงท่าที่ดูคล่องแคล่วและอ่อนช้อยร่วมกับความงดงามของเครื่องแต่งกายบนเข็มกลัดเหล่านี้ สะกดสายตา และจุดอารมณ์ปรารถนาให้ครอบครองขึ้นในใจของบรรดานักสะสมทั้งหลายได้ทันที วงหน้าที่เผยเนื้อทองของตัวเรือน หรือใช้เพชรเดี่ยวเจียระไนอย่างประณีต ได้รับการเติมเต็มด้วยเครื่องประดับศีรษะอันเลอค่า เช่นเดียวกันกับรองเท้าหัวแหลมและกระโปรงบานฟูฟ่องของนางระบำที่ต่างรองรับความพิถีพิถันของงานฝังเพชรกับรัตนชาติหลากสีก่อเป็นลีลาพลิ้วไหวตามอากัปการเคลื่อนกายไปตามจังหวะเพลง

 

 

TWO DANCE SCENES WITH GRAPHIC LINES

 นี่เป็นครั้งแรกที่ลีลานาฏกรรมจะมาปรากฏความงามบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเพื่อให้สอดคล้องกับชื่อคอลเลคชัน Extraordinary Dials ผลงานซึ่งโดดเด่นเป็นหนึ่งจากเอกลักษณ์ความงามเหนือชั้นบนหน้าปัดบอกเวลาภายในกรอบตัวเรือนขนาด 33 มม. ของงานออกแบบทั้งสองคือ Lady Danse และ      Lady Danse Duo ต่างถ่ายทอดช่วงเวลาอันเปี่ยมพลังอารมณ์ของศิลปินในสองรูปแบบ นั่นก็คือก่อนขึ้นเวที และระหว่างดำเนินการแสดง

บนหน้าปัดของงานออกแบบลำดับแรก นางระบำปลายเท้าเจ้าของวงหน้าเพชรเดี่ยวกำลังเตรียมพร้อมก้าวออกไปสู่เวทีการแสดง ด้วยแรงบันดาลใจจากแฟชั่นการแต่งกายระหว่างทศวรรษ 1950 ถึง 1960 ชุดเดรสที่เธอสวมรองรับงานฝังทับทิม และใช้ทองคำต่างงานเดินขอบขลิบริมกระโปรงเพื่อร่วมกันจำลองความพลิ้วไหวของน้ำหนักผ้าบางเบาระหว่างเธอเตรียมออกท่าวาดลวดลายการเต้น พร้อมกับเผยให้เห็นงานจิตรกรรมย่อส่วนบนรองเท้าที่ช่วยเติมเต็มความครบครันเรือนร่างประติมากรรมนูนต่ำของเธอโดดเด่นตัดกับฉากหลังพื้นหน้าปัด ซึ่งอาศัยเทคนิคฝังแผ่นรัตนชาติปูพื้นก่อทรวดทรงสามมิติในการดำเนินเทคนิคอันละเอียดอ่อนเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นแม่มุกมาเธอร์-ออฟ-เพิร์ล, หินเทอร์คอยซ์ และโมราสีเขียวคริโซเพรส ล้วนผ่านการตัดเจียนเป็นแผ่นบางในขนาดซึ่งผ่านการคำนวณอย่างแม่นยำให้สามารถนำมาบรรจงวางเคียงกันได้อย่างสม่ำเสมอและไล่ระดับความกลมกลืนเพื่อก่อมิติความลึก ทวีความโดดเด่นให้แก่อากัปการเคลื่อนไหวของนางระบำปลายเท้า การแสดงของเธอยังต่อเนื่องมาสู่ด้านหลังตัวเรือนนาฬิกาซึ่งใช้ศิลปะการสลักลวดลายเล่าเรื่องราวที่ปรากฏอยู่บนหน้าปัดได้อย่างคล้องจอง

 

 

LADY DANSE AND LADY DANSE DUO WATCHES

 นาฏกรรมเป็นผลงานอันเกิดจากนาฏศิลป์ - ศิลปะแขนงหนึ่ง ซึ่งอาศัยการเคลื่อนไหวและท่วงท่าอากัปที่มีความต่อเนื่อง และกลมกลืนอย่างงดงามในการเล่าเรื่องราว ถ่ายทอดความรู้สึก หรืออารมณ์ ตลอดจนจุดประกายจินตนาการดั่งเช่นที่เป็นกับ Van Cleef & Arpels มาตั้งแต่ทศวรรษ 1940 ด้วยการสร้างแรงบันดาลใจในการออกแบบผลงาน อันเต็มไปด้วยความงามสง่าและสดใสมีชีวิตชีวา ล่าสุดอาณาจักรแห่งเครื่องประดับอัญมณีได้ส่งผ่านลีลาศิลปะของท่วงท่าการเคลื่อนไหวมาสู่สรรพสีอันเจิดจรัสบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือสองรุ่นใหม่จากคอลเลคชัน Extraordinary Dials นั่นก็คือ Lady Danse (เลดี ดองส์) กับ Lady Danse Duo (เลดี ดองส์ ดูโอ) และด้วยความวิจิตรบรรจงเหนือชั้นบนหน้าปัด ซึ่งเป็นที่มาของชื่อคอลเลคชันผลงานทั้งสองเผยความตระการตาผ่านเรื่องราวของนักเต้นเดี่ยวบนเวทีและคู่เต้นกับกลุ่มนักเต้นท่ามกลางบรรยากาศร่วมสมัยตามลำดับแต่ละงานออกแบบล้วนปลุกกลิ่นอายความตื่นเต้น สนุกสนานของงานแสดงบนเวทีบรอดเวย์ระหว่างทศวรรษ 1950 และ 1960 ในขณะเดียวกัน แต่ละหน้าปัดก็ยังเหมือนเป็นเวทีย่อส่วนที่สะกดสายตาผู้พบเห็นด้วยการใช้รัตนชาติเลอค่ามาประดับความงามให้แก่ผลงาน ซึ่งมาพร้อมหมายเลขกำกับรุ่นอันถือกำเนิดจากบทบรรจบของเส้นสายรูปทรงร่วมสมัย กับไหวพริบความชำนาญในการผลิตนาฬิกาข้อมือและความเป็นเลิศทางงานฝีมือ

 

 

ในขณะเดียวกันนาฬิกาข้อมือ Lady Danse Duo คือบรรยากาศตระการตาของกลุ่มนักเต้นซึ่งกำลังวาดลวดลายอยู่หน้าสถาปัตยกรรมอันชวนให้นึกถึงกลิ่นอายแห่งมหานครนิวยอร์ก หมู่ตึกหินไข่นกการเวกกับทองคำขาวฝังเพชร ก่อโครงสร้างรูปทรงนูนต่ำตัดกับฉากหลังที่ปูพื้นด้วยแผ่นแม่มุกขาวเครื่องแต่งกายของนักเต้นทั้งสามอาศัยความวิจิตรบรรจงของงานจิตรกรรมย่อมส่วนจำลองท่วงท่าที่พร้อมเพรียง ส่วนอีกด้านของเวทีบนหน้าปัดตัวเรือนนางระบำปลายเท้าในชุดกระโปรงตูตูสีแดงสดกำลังก้าวตามจังหวะการนำของคู่เต้นไปบนเวทีสามมิติปูพื้นด้วยแผ่นพลอยน้ำสมุทรลาพิซ ลาซูลิ อีกหนึ่งความประณีต ซึ่งไม่อาจมองข้ามของผลงานชิ้นนี้อยู่ที่งานประกอบแถบรัตนชาติสีน้ำเงินเข้มต่างขนาดไล่ระดับเพื่อเน้นให้เห็นถึงมิติภาพความลึกเชิงรายละเอียดบนผืนหน้าปัด ในขณะเดียวกันด้านหลังตัวเรือนก็รองรับงานสลักลายเป็นภาพคู่เต้นซึ่งดูคล้ายกำลังหยุดพักร่วมกันก่อการแสดงจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง 

 

 

ภารกิจสู่ความเป็นเลิศของ Van Cleef & Arpels เริ่มต้นขึ้นจากความละเอียดอ่อนในการทำงานของบรรดานักอัญมณศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญที่ทุ่มเทให้กับการคัดเลือกและจับคู่คุณภาพแง่มุมต่างๆ ของมวลรัตนชาติสายตาเฉียบคมซึ่งผ่านการฝึกปรือมาอย่างดี อำนวยให้พวกเขาสามารถเลือกรัตนชาติเลอค่าสำหรับใช้ในงานประดับตกแต่ง ให้ตรงตามมาตรฐานเคร่งครัดของเมซงได้อย่างแม่นยำ

ในส่วนของหินไข่นกการเวก (turquoise), พลอยน้ำสมุทร (lapis lazuli) และโมราสีเขียว (chrysoprase) พวกเขาให้ความใส่ใจในระดับความเข้มสดชัดและสม่ำเสมอของเนื้อสี ในขณะที่แม่มุกขาว (mother-of-pearl) ต้องมีพื้นผิวสม่ำเสมอ และเหลือบประกายไล่เฉดอย่างงดงามสะดุดตา ขั้นตอนการคัดเลือกนี้ ทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้นกว่าที่ควรเป็นตามปรกติ สืบเนื่องจากปัจจัยที่ว่าวัสดุบางประเภทอย่างหินไข่นกการเวกและพลอยน้ำสมุทรต่างก็เป็นของซึ่งหาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นรงคศิลาล้ำค่าทั้งหมดนี้ก็ต้องถูกนำมาเทียบเคียงเฉดสีและระดับความโปร่งแสงทึบแสงเพื่อให้กลมกลืนสม่ำเสมอราวกับสกัดมาจากเนื้อวัตถุเดียวกัน

ส่วนเพชร ซึ่งใช้ฝังลงบนหน้าปัดและกรอบหน้าปัดต่างได้รับการคัดเลือกให้กลมกลืนเข้าด้วยกันโดยยึดตามมาตรฐานคุณภาพอันเคร่งครัดอย่างที่สุด นั่นก็คือ D, E และ F ในแง่ของสี และ IF กับ VVS ในแง่ของความกระจ่างใสและเมื่อมาอยู่บนเรือนทองคำขาวเงาสะท้อนซึ่งกันและกันพลันก่อประกายสุกสกาววาววับให้กับผลงานทั้งสองได้อย่างน่าอัศจรรย์

 

SPOTLIGHT ON THREE-DIMENSIONAL MARQUETRY

สำหรับการนำมาใช้กับหน้าปัดนาฬิกาเป็นครั้งแรกนี้งานฝังแผ่นวัสดุเดินลวดลายสามมิติของเมซง ต้องอาศัยทักษะหัตถศิลป์ชั้นสูงของช่างฝีมือผู้ชำนาญ ในการสร้างฉากเพื่อถ่ายทอดอารมณ์ในเรื่องราวได้อย่างสมจริง องค์ประกอบส่วนต่างๆ อย่างหินไข่นกการเวก, พลอยน้ำสมุทร, โมราสีเขียว และแม่มุก จะถูกตัดเจียนด้วยมือทีละชิ้นๆ ก่อนนำไปเจียระไนและขัดผิวให้หมดจดเกลี้ยงเกลาจนขึ้นเงาทอประกายอย่างงดงาม ช่างเจียระไนต้องใช้เทคนิคพิเศษเฉพาะกับแต่ละวัสดุเพื่อให้ได้แผ่นโมทิฟที่มีความหนาและน้ำหนักรูปทรงตามกำหนด จากนั้นจึงนำมาประกอบขึ้นชิ้นงานเข้าด้วยกันทั้งแบบประกบชิดขอบข้าง และแบบเว้นระยะห่างหรือช่องไฟเพียงเล็กน้อยเพื่อก่อมิติความลึกขึ้นภายในตัวเรือน นี่เป็นความซับซ้อนเชิงเทคนิคที่ต้องใช้ความชำนาญเป็นอย่างสูง เพราะแผ่นวัสดุปูพื้นหน้าปัดนี้ ยังต้องรองรับงานประติมากรรมตัวเรือนทองคำงานฝังอัญมณีและจิตรกรรมย่อส่วนเพื่อมอบบรรยากาศการเคลื่อนไหวของพลังชีวิตอยู่ท่ามกลางโรงละครสามมิติ 

EXTRAORDINARY DIALS COLLECTION, A TRIBUTE EXCEPTIONAL CRAFTS

สำหรับคอลเลคชัน Extraordinary Dials ศิลปะการผลิตนาฬิกาข้อมือ ทวีความโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยฝีมือของช่างลงยา, ช่างแกะสลัก, ช่างเจียระไน, จิตรกรภาพย่อส่วน และช่างฝังอัญมณี แต่ละหน้าปัด ล้วนเต็มไปด้วยความวิจิตรบรรจงทางงานหัตถศิลป์เฉกเช่นภาพจิตรกรรมเสมือนจริง ซึ่งต้องใช้เวลาหลายสิบชั่วโมงกว่าจะแล้วเสร็จ และเพื่อถ่ายทอดแต่ละแรงบันดาลใจได้อย่างละเมียดละไม ศิลปะงานฝีมือต่างแขนง ต้องถูกระดมมาใช้ผสมผสานร่วมกันจนกลายเป็นเวทีแสดงความเป็นเลิศเชิงทักษะ และความคิดสร้างสรรค์ของเมซง  อย่างชัดเจน จากขั้นตอนงานสลักทอง และแผ่นแม่มุก ไปจนถึงงานลงยาแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลงรักล่องชาด หรือ champlevé (ชองเปลเว), ลงยาร่องลาย หรือ vallonné (วาญงเน) และลงยาไล่เฉด หรือ grisaille (กรีซายล์) และจากการฝังอัญมณีขึ้นตัวเรือนไปจนถึงงานฝังแผ่นแม่มุก และแผ่นรงคศิลาปูพื้นเดินลาย Van Cleef & Arpels ได้รื้อฟื้น และพลิกแพลงทักษะตามธรรมเนียมดั้งเดิมให้กลับมาโลดแล่นอย่างรุ่งโรจน์ขึ้นอีกครั้ง ความชำนาญแต่ละสาขา ต่างถูกเลือกมาเพื่อรจนาเรื่องราวอันทรงเอกลักษณ์ดุจกวีนิพนธ์อยู่บนหน้าปัดตัวเรือน

 

POETRY OF TIME

ด้วยศรัทธา และมุ่งมั่นในการถ่ายทอดมุมมองอันงดงามที่มีต่อชีวิต Van Cleef & Arpels หล่อหลอมมิติอันโดดเด่นเป็นหนึ่งขึ้นในศิลปะแห่งการผลิตนาฬิกา นั่นคือความวิจิตรบรรจงดุจบทกวีเพื่อจุดประกายความฝัน และถ่ายทอดอารมณ์ หรือความรู้สึก บทบรรจบระหว่างประดิษฐกรรมกับจินตนาการ นำมาซึ่งผลงานสร้างสรรค์ที่เมซงอาศัยการบอกเวลาเป็นประตูเชื้อเชิญให้เดินล่วงเข้าสู่ห้วงแห่งอารมณ์ จนพานพบกับความสุข เพื่อแสดงถึงความวิจิตรบรรจงของแต่ละการเคลื่อนผ่านของกาลเวลา เมซงใช้เรื่องราวความเป็นมาตามประวัติศาสตร์ของตน ร่วมกับบรรดาแหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจอันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัว มารจนาขึ้นเป็นเรื่องราวแห่งความรัก และผลงานนำโชคผ่านผลงานชิ้นใหม่ ซึ่งทุกชิ้นได้ก้าวสู่ตำแหน่งของการเป็นตัวแทนมรดกทางการออกแบบของ Van Cleef & Arpels ได้อย่างต่อเนื่อง เหล่านางฟ้า และนางระบำปลายเท้า ต่างเคลื่อนกายร่ายลีลาไปตามจังหวะโมงยาม ในขณะที่ท่วงทำนองของธรรมชาติโคจรไปพร้อมกับวิถีแห่งดาราจักร แต่ละผลงานของแต่ละคอลเลคชั่น ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากการทำหน้าที่บอกเวลาผ่านลีลางามสง่าตราตรึงใจ

 

AT THE CROSSROADS OF ARTS

ความผูกพันอันหล่อหลอม Van Cleef & Arpels กับโลกแห่งนาฏกรรมให้รวมกันเป็นภาคีมีความแน่นแฟ้น มั่นคงยิ่งขึ้นระหว่างทศวรรษ 1950 เมื่อโคลด อารเปลส์ หลานชายของลูอิส อารเปลส์ ได้ทำความรู้จักกับจอร์จ บาลานชีน นักออกแบบท่าเต้นชื่อดังแห่งยุคหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งคณะระบำปลายเท้า New York City Ballet

ความชื่นชอบที่ทั้งสองบุรุษมีต่อรัตนชาติเหมือนกันนั้นได้จุดประกายความคิดในการสร้างสรรค์ระบำปลายเท้าอันมีเนื้อหาแบบฉบับเฉพาะตัวอย่างที่จอร์จ บาลานชีนจดอธิบายไว้ในบันทึกส่วนตัวของตนว่า “ความคิดในการสร้างงานบัลเลต์เรื่องใหม่โดยใช้เครื่องแต่งกายประดับอัญมณีนั้น เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อนตอนที่นาธานมิลสไตน์เพื่อนของผมได้แนะนำให้รู้จักกับโคลด อารเปลส์ ซึ่งเป็นพ่อค้าอัญมณีจากปารีส ต่อมาผมได้เห็นคอลเลคชันรัตนชาติอันงดงามตระการตาของเขาในบูติกสาขานิวยอร์ก แน่นอน ผมเองก็เป็นคนชอบเพชรพลอยมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว [...] ผมชอบสีของอัญมณีต่างๆ, ความงดงามของมวลรัตนชาติ และเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจมากที่ได้เห็นว่าแผนกเครื่องแต่งกายของเราภายใต้การดูแลของการินสก้า สามารถสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพใกล้เคียงกับรัตนชาติของจริง ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องหนักเกินกว่าที่ทีมนักเต้นจะสวมใส่ได้!”*

Jewels ของบาลานชีน ได้จัดแสดงรอบปฐมทัศน์ขึ้นในเดือนเมษายน 1967 แต่ละองก์ของการแสดงสามภาคอันปราศจากเรื่องราว หรือการเล่าเรื่องนี้ถูกออกแบบขึ้นเพื่อยกย่องความงดงามอันโดดเด่นเป็นหนึ่งของรัตนชาติแต่ละชนิดและเช่นเดียวกัน แต่ละส่วนล้วนเป็นผลงานการประพันธ์เพลงจากต่างคีตกวี นั่นก็คือ กาเบรียล ฟลอเร เป็นผู้เรียบเรียงเสียงประสานดนตรีประกอบในส่วนของ Emeralds, อิกอร์ สตรา

 


VAN CLEEF & ARPELS: PARTNER OF L.A. DANCE PROJECT, FOUNDED BY BENJAMIN MILLEPIED

แทบไม่ต่างอะไรเลยจากครั้งที่โคลด อารเปลส์ได้พบกับจอร์จ บาลานชีน การร่วมงานครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2012 กับบังฌาแม็ง มิลปิเอด์ อดีตดารานักเต้นจากคณะระบำปลายเท้า New York City Ballet และเป็นผู้ก่อตั้งคณะเต้น L.A. Dance Project นอกจากนั้น เขายังเคยร่วมแสดงใน Rubies บทหนึ่งของ Jewels โดยบาลานชีน ด้วยการสนับสนุนจาก Van Cleef & Arpels บังฌาแม็ง มิลปิเอด์ ได้รังสรรค์ Gems ขึ้นเป็นบัลเลต์ไตรภาค อันประกอบไปด้วย Reflections (2013), Hearts & Arrows (2014) และ On the Other Side (2016) นอกจากนั้น เมซงยังมีส่วนช่วยเหลือในงานเวทีสำหรับ Marfa Dance Episodes การแสดงสด ซึ่งถ่ายทำเป็นภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์เพื่อทำการแพร่ภาพออกอากาศจาก Chinati Foundation ในเท็กซัสเมื่อปี 2017 L. A. Dance Project ซึ่งบังฌาแม็ง มิลปิเอด์ นักเต้นและนักออกแบบท่าเต้นผู้โด่งดังได้ก่อตั้งขึ้นนี้ หาได้เป็นแค่คณะนักเต้นทว่ายังเป็นกลุ่มศิลปินที่มุ่งมั่นในการกำหนดคำจำกัดความใหม่เพื่อรังสรรค์ผลงานอันแปลกใหม่หรือมีการนำเสนอรูปแบบใหม่ด้วยการร่วมงานกับศิลปินต่างสาขา อาจกล่าวได้ว่า L.A. Dance Project เป็นการเสาะหาและระดมบุคคลผู้มีภูมิหลังทางศิลปะต่างแขนงเพื่อนำมาซึ่งความหลากหลายในการสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะภาพประกอบเสียง, ภาพวาดจิตรกรรม หรือกระทั่งประติมากรรม นี่คือรูปแบบการทำงานอย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนบนครรลองของความมุ่งมั่นที่จะขยายขอบเขตนาฏกรรมออกไปให้พ้นกรอบซ้ำเดิมทั้งในรูปแบบการแสดงบนเวทีของโรงมหรสพและการเต้นในบรรยากาศแวดล้อมที่หาได้ตรงตามขนบธรรมเนียมแต่อย่างใด ได้เปิดตัวคอลเลคชัน Romeo & Juliet ซึ่งเป็นงานออกแบบเครื่องประดับที่กลมกลืนกับโครงการออกแบบท่าเต้นโดยบังฌาแม็ง มิลปิเอด์ บัลเลต์ Romeo and Juliet ที่เขารังสรรค์ขึ้น เป็นผลงานการแสดงยุคใหม่จากการหยิบยกบทประพันธ์โศกนาฏกรรมของ วิลเลียม เชกสเปียร์ มาใช้ร่วมกับงานเพลงซึ่งโปรโกเฟียฟ นาฏกรรมประยุกต์ร่วมสมัยชิ้นนี้ มีกำหนดเปิดการแสดงในปี 2021 ที่ Seine Musicale นอกเขตกรุงปารีส

THE FEDORA – VAN CLEEF & ARPELS PRIZE FOR BALLET

 Van Cleef & Arpels ให้การสนับสนุน และส่งเสริมนวัตกรรมทางการสร้างสรรค์ผ่านงานออกแบบท่าเต้นด้วยการร่วมมือกับหน่วยงานสาธารณกุศลไม่แสวงหากำไร Fedora philanthropic community โดยเริ่มต้นจากปี 2015 ซึ่งดำเนินงานมอบรางวัลประจำปี “FEDORA – VAN CLEEF & ARPELS Prize for Ballet” ในแต่ละปีให้แก่ผลงานสร้างสรรค์ที่มีความเป็นเลิศเชิงประดิษฐ์กรรม หรือใช้ความคิดริเริ่มที่สดใหม่ รายชื่อของผู้ชนะรางวัลตลอดหลายปีมานี้ ประกอบไปด้วยอเล็กเซีย ราตมานสกี้จาก The Sleeping Beauty และยาน ดีย์เวนดักจาก Sound of Music (2015), คริสเตียน ริซโซจาก le syndrome ian (2016), ชารอน อียาล และเก เบฮาร์จาก Love Chapter 2 (2017), วิลเลียม ฟอร์ไซธ์จาก A Quiet Evening of Dance(2018), Invisible Cities ผลงานสร้างสรรค์โดยซิดิ ลาร์บิ เชอร์กากุยสำหรับคณะการแสดง Rambert dance (2019) และ LIGHT: Bach Dances (ชื่อที่ใช้ระหว่างทำงาน) โดยคณะโฮเฟช เชชเตอร์ (2020)

“การร่วมงานอันเปรียบเสมือนการเผชิญหน้าระหว่างศิลปะต่างแขนงเหล่านี้ ถือเป็นแหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเรามาตลอด ทุกการร่วมงานระหว่างกัน นำมาซึ่งกระแสหล่อเลี้ยงพลังทางความคิดสร้างสรรค์ พร้อมกันนั้นก็ยังทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างศิลปะต่างรูปแบบอันหลากหลาย”



DANCE REFLECTIONS BY VAN CLEEF & ARPELS 

โครงการ Dance Reflections by Van Cleef & Arpels ถือเป็นการจารึกบทใหม่ลงในหน้าประวัติศาสตร์ความผูกพันระหว่างเมซงกับโลกแห่งนาฏกรรม จากการเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2020 โปรแกรมการดำเนินงานของโครงการนี้ ได้รับการออกแบบร่วมกับบรรดาศิลปินต่างแขนงระดับสากลเพื่อเป็นตัวแทนพันธกิจมุ่งมั่นของ   Van Cleef & Arpels ในการให้ความสนับสนุน และส่งเสริมมรดกศิลปะทางการออกแบบท่าเต้น, มีส่วนร่วมในการพัฒนาผลงานร่วมสมัยและสร้างความนิยมต่อศิลปะแขนงนี้ในหมู่ผู้รับชอบให้เป็นวงกว้างอย่างที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

โครงการนี้ประกอบไปด้วยการดำเนินงานอันโดดเด่นเป็นหนึ่งถึงสองส่วน: ส่วนแรกนั้นก็คือ ให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มศิลปิน และสถาบันต่างๆ ซึ่งทำงานสร้างสรรค์ และร่วมกันสานต่อมรดกศิลป์ทางการละค รวมถึงงานแสดงร่วมสมัย นอกจากนั้น Dance Reflections by Van Cleef & Arpels ยังเป็นผู้จัดแสดงผลงานการออกแบบท่าเต้นอันโด่งดังจากการระดมความหลากหลายในรูปแบบงานสร้างสรรค์ ในขณะเดียวกันก็ยังดำเนินกิจกรรมเสริมสร้างและยกระดับความตระหนักรู้ในประเด็นของวัฒนธรรมและศิลปะการเต้นให้เกิดขึ้นแก่กลุ่มบุคคลทุกเชื้อชาติ สาขาอาชีพและแม้กระทั่งมือสมัครเล่น 



 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้