Mido

Last updated: 21 ก.ย. 2564  |  2753 จำนวนผู้เข้าชม  | 

Mido

หากพูดถึงแบรนด์นาฬิกาที่เหล่านักสะสมต้องมีเก็บไว้ในครอบครอง จะต้องมีชื่อของแบรนด์ “มิโด” (Mido) อยู่ในอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะนาฬิกาดำน้ำ“โอเชียน สตาร์ สกิน ไดเวอร์” (Ocean Star Skin Diver) ที่มีต้นกำเนิดในปี 1961 และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในรุ่น “โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น ไทเมอร์ 1961” (Ocean Star Decompression Timer 1961) ซึ่งหลังจากที่ทางแบรนด์ได้นำกลับมาผลิตใหม่อีกครั้งในปี 2020 ก็ได้การตอบรับจากเหล่านักสะสมนาฬิกาอย่างท่วมท้น ล่าสุด “มิโด” (Mido) แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ ในเครือเดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) ได้ประกาศการกลับมาของเรือนเวลาย้อนยุคสุดหายากอีกครั้ง ซึ่งถูกผลิตออกมาเป็นรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นเพียง 1,961 เรือนเท่านั้น

 



“มิโด” (Mido) แบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์ ยาวนานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ จอร์จ แชแรน (Georges Schaeren) เริ่มก่อตั้งบริษัท Mido G.Schaeren & Co. AG ขึ้นที่เมืองโซโลธูร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1918 ภายใต้ปรัชญาของการสร้างสรรค์ แบรนด์ให้อยู่เหนือกาลเวลาด้ วยแนวคิดการออกแบบที่ร่วมสมัย ผ่านการคัดเลือกวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่มีความหรูหรา ทนทาน และยังคงไว้ซึ่งฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบถ้วน 

 



สำหรับ “โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น ไทเมอร์ 1961” (Ocean Star Decompression Timer 1961) เป็นนาฬิกาดำน้ำที่ทางแบรนด์ได้ นำเอาเอกลักษณ์แห่งสีสันอันสดใสของหน้าปัดรุ่นเดิม มาสร้างสรรค์ใหม่ลงบนหน้าปัดสีขาวเงิน และมีกรอบหน้าปัดเป็นสีเขียวเทอร์ควอยซ์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงชิ้นงานสไตล์วินเทจ บนตัวเรือนสเตนเลสขัดเงาขนาด 40.5 มิลลิเมตร ด้วยกระจกแซฟไฟร์ คริสตัล (Sapphire Crystal) และตัวกรอบแบบหมุนได้ อีกทั้งยังใช้โลโก้แบรนด์ในดี ไซน์ดั้งเดิมที่มีปรากฏอยู่บริเวณหน้าปัดของนาฬิกา ตัวล็อคเม็ดมะยม สายรัด และยังสลักไว้ที่บริเวณด้านหลังของตัวเรือนควบคู่กับลวดลายปลาดาว เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญด้านการทำนาฬิกากันน้ำของช่างชาวสวิสอีกด้วย

 


โดยสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในความหลากหลายเรือนเวลารุ่นนี้ยังถูกดีไซน์มาพร้อมกับฟังก์ชั่นที่สามารถเปลี่ยนสายได้ ถึง 3 แบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสายถักสเตนเลสสตีล สายหนังเคลือบในโทนสีน้ำตาลสุดสีคลาสสิก และสายผ้าสีเขียวเทอร์ควอยซ์ สไตล์สปอร์ตที่เย็บจากด้ายเฉดสี เดียวกันกับกรอบหน้าปัด ซึ่งมาพร้อมกับระบบเดือยที่ทำให้สามารถเปลี่ยนสายได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว 

ด้านฟังก์ชั่นการใช้งานแน่นอนว่า “มิโด” (Mido) ยังคงประสิทธิภาพสูงพิเศษด้านความแม่นยำ และเที่ยงตรง ด้วยกลไก Calibre 80 อีกทั้งยังสามารถสำรองพลั งงานยาวนานกว่า 80 ชั่วโมง และเพื่อความสะดวกในการคำนวณระยะเวลาขณะดำน้ำ เรือนเวลานี้ยังสามารถระบุ เวลาก่อนขึ้นสู่ผิวน้ำ (Decompression) ได้ลึกถึง 6 เมตร อีกทั้งยังมีเครื่องหมายเวลาหลากหลายสีสันเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวก และง่ายต่อการอ่านค่าโดยสีเหลืองใช้สำหรับดำน้ำที่ความลึกระหว่าง 25-29 เมตร สีเขียวใช้สำหรับความลึกที่ 30-34 เมตร สีชมพูใช้สำหรับความลึก 35-39 และสีน้ำเงินใช้สำหรับความลึก 40-44 เมตร เพียงแค่หมุนเข็มนาทีไว้ที่ ตำแหน่ง 12 นาฬิกาก่อนดำน้ำ ก็สามารถอ่านข้อมูลได้ในขณะที่ อยู่ใต้น้ำและยังมีกรอบหน้าปัดแบบหมุนได้เพื่อช่วยคำนวณเวลาขณะดำน้ำ หรือเวลาก่อนขึ้นสู่ผิวน้ำ ส่วนการแสดงความลึกของรุ่นนี้จะอยู่บนเลขที่ 12 ของนาฬิกาในหน่วยเมตรและฟุต อีกทั้งยังเคลือบด้วยสารเรืองแสงแบบซูเปอร์ ลูมิโนวา (Super-LumiNova) บริเวณตัวเลข เข็มชั่วโมง และเข็มนาที ซึ่งช่วยในการมองเห็นใต้น้ำที่ มืดสนิทได้ยาวนานยิ่งขึ้น ด้วยดีไซน์ที่มีความวินเทจและฟังก์ชั่นที่เที่ยงตรงแม่นยำ“โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น ไทเมอร์ 1961” (Ocean Star Decompression Timer 1961) จึงเป็นนาฬิกาดำน้ำที่ถูกออกแบบมาเพื่อเหล่านักสะสม 


และนอกจากนี้ “มิโด” (Mido) ยังได้แนะนำเคล็บลับการดูแลเก็บรักษาเรือนเวลาหรูสำหรับนักสะสมให้ดูใหม่อยู่เสมอ โดยเริ่มจากการดูแลรักษาสายนาฬิกา หากเป็นสายหนังก็ไม่ควรโดนน้ำเป็นอันขาดเว้นแต่จะถูกเคลือบมาเป็นอย่างดี เพราะอาจทำให้ขึ้นราและชำรุดได้ง่ายแต่หากเป็นสายโลหะควรนำมาเช็ดอย่างสม่ำเสมอและใช้แปรงขนนุ่มปัดฝุ่นตามซอกของนาฬิกา ส่วนสายผ้าสามารถซักมือเได้แต่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ซักที่เป็นสูตรอ่อนโยนเท่านั้น และที่สำคัญคือควรเก็บนาฬิกาทุกเรือนไว้ในกล่องที่ใส่เฉพาะ เพื่อป้องกันการกระแทกและรอยขีดข่วนห่างไกลจากแสงแดด ความร้อน และความชื้น เพราะหากไม่ดูแลถนอมไว้ให้ดีก็ จะยิ่งดูเก่า และเสื่อมสภาพเร็วได้ 

สำหรับ“โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น ไทเมอร์ 1961” (Ocean Star Decompression Timer 1961) นั้นถูกผลิตขึ้นมาเพียง 1,961 เรือน โดยสำหรับเหล่านักสะสมสามารถสั่งจองล่วงหน้าได้ที่ Mido Official Store ใน Shopee ทาง https://shopee.co.th/ midoofficialstore ในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ และจะวางจำหน่ายหน้าร้านอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ที่เคาน์เตอร์ “มิโด” (Mido) เซ็นทรัล, โรบินสัน, เดอะมอลล์ และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้