Last updated: 21 ก.ค. 2565 | 977 จำนวนผู้เข้าชม |
ย้อนไปเมื่อปี 1968 Longines ได้เปิดตัว Ultra-Chron Diver นาฬิกาดำน้ำเรือนแรกที่มาพร้อมระบบกลไกความถี่สูง ในช่วงเวลานั้น Longines ได้สร้างชื่อเสียงให้ตนเองในฐานะผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำสูง แต่ในความเป็นจริงแล้ว Longines ได้สร้างสรรค์อุปกรณ์บอกเวลาที่มีความแม่นยำสูงซึ่งแกว่งด้วยความถี่สิบครั้งต่อวินาทีมาตั้งแต่ปี 1914 แล้วและต่อมาในปี 1959 Longines ก็ได้พัฒนานาฬิกาข้อมือที่ทำงานด้วยกลไกความถี่สูงเป็นเรือนแรกซึ่งได้การรับรองโครโนมิเตอร์อย่างเป็นทางการจาก TIMELAB โดยนับว่าเป็นการสร้างสถิติใหม่ในการเป็นผู้นำด้านความแม่นยำเลยก็ว่าได้
นาฬิกา Longines Ultra-Chron เรือนใหม่นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์รวมถึงองค์ประกอบของนาฬิกาดำน้ำระดับมืออาชีพของโมเดลดั้งเดิมจากปี 1968มาพร้อมขอบตัวเรือนแบบหมุนได้ทิศทางเดียวและฝาหลังตัวเรือนแบบขันเกลียงแน่น รวมถึงหน้าปัดที่อ่านค่าเวลาได้อย่างชัดเจนและการกันน้ำระดับ 30 บาร์ (300 เมตร)
ตัวเรือนสตีลทรงคุชชั่นขนาด 43 มม. อันโดดเด่นของ Longines Ultra-Chron มาพร้อมขอบตัวเรือนสำหรับการดำน้ำที่กลมกลืนไปกับกระจกหน้าปัดแซปไฟร์และองค์ประกอบที่เคลือบสารเรืองแสง หน้าปัดสีดำลายเกรนเสริมด้วยวงนาทีสีขาวและบาตงเคลือบสาร Super-LumiNova® และตัวบอกเวลา (appliques) ชุบโรเดียม
นอกจากนี้บนหน้าปัดยังสลักโลโก้ของ Ultra-Chron รุ่นดั้งเดิมไว้รวมถึงฝาหลังตัวเรือนด้วยเช่นกัน เสริมความโดดเด่นด้วยเข็มนาทีสีแดงซึ่งเคลือบด้วยสาร Super-LumiNova® เพื่อช่วยในการอ่านค่าเวลาได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกับเข็มชั่วโมง
หัวใจหลักของ Longines Ultra-Chron คือกลไกคาลิเบอร์ L836.6 ที่มีความแม่นยำระดับสูงซึ่งผลิตขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ Longines เท่านั้น นาฬิกาจะได้รับคำจำกัดความว่า “มีความแม่นยำระดับสูง” ได้เมื่อบรรจุด้วยกลไกที่มีบาลานซ์สปริงที่แกว่งด้วยความถี่ 36,000 ครั้งต่อชั่วโมง (10 ครั้งต่อวินาที) กลไกเหล่านี้ที่ Longines เป็นผู้ผลิตขึ้นในปี 1914 (ความสามารถในการจับเวลาได้ละเอียดถึง 1/10วินาที) และปี 1916 (ความสามารถในการจับเวลาได้ละเอียดถึง 1/100 วินาที) คือนวัตกรรมที่ช่วยพัฒนาการจับเวลาให้ดียิ่งขึ้น และตั้งแต่ปี 1959 เป็นต้นมา Longines ได้นำระบบกลไกความถี่สูงมาใช้เพื่อเพิ่มความแม่นยำให้กับนาฬิกาของตนเอง กลไกความถี่สูงนี้มาพร้อมคุณสมบัติในการต้านทานแรงกระแทกหรือการเคลื่อนไหว โดยได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความแม่นยำที่สูงกว่า
ความเที่ยงตรงแม่นยำของ Longines Ultra-Chron ได้รับการการันตีโดย TIMELAB ซึ่งเป็นสถาบันอิสระที่ตั้งอยู่ในกรุงเจนีวา โดยเป็นการระบุระดับความแม่นยำที่มีกระบวนการทดสอบของนาฬิกาและการประกอบเป็นตัวเรือนทั้งหมดเป็นเวลา15 วันโดยในระหว่างนั้นจะมีการทดสอบในระดับอุณหภูมิแปรผัน 3 ระดับคือ 8 องศาเซลเซียส, 23 องศาเซลเซียสและ 38 องศาเซลเซียส ที่รับรองว่านาฬิกาเรือนนั้นมีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานความแม่นยำที่เคร่งครัดที่สุด (มาตรฐาน ISO3159: 2009)
สายรัดข้อมือนาฬิกา Longines Ultra-Chron มีให้เลือกสรรด้วยกันสองแบบคือสายรัดข้อมือหนังหรือสายสตีล มาพร้อมกล่องสุดพิเศษที่บรรจุสายนาโตสีดำผลิตจากวัสดุรีไซเคิล
แน่นอนว่า Longines Ultra-Chron เรือนใหม่นี้จะครองใจสาวกนาฬิกาผู้มีความหลงใหลในนาฬิการะดับไอคอนจากหนึ่งในยุคที่มีการผลิตนาฬิกาอันเปี่ยมด้วยนวัตกรรมมากที่สุดยุคหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทั้งยังเป็นที่ถูกใจนักสะสมนาฬิกาที่พึงพอใจกับการสวมใสเรือนเวลาที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์บนข้อมือ
ประวัติศาสตร์การผลิตนาฬิกาที่มีความแม่นยำระดับสูงโดย Longines
นับเป็นเวลากว่า 100 ปีที่ Longines ได้สั่งสมประสบการณ์การผลิตนาฬิกาที่มีความแม่นยำระดับสูง ซึ่งส่งผลให้ Longines ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำที่มีความเชี่ยวชาญในการจับเวลาและในฐานะนาฬิกาสปอร์ต กลไกที่เดินด้วยความเร็วนี้สามารถแกว่งด้วยความถี่สูงถึง 1/10 หรือ 1/100 ต่อวินาที นอกจากนี้ยังได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความแม่นยำในระดับสูงสุด และตลอดหลายปีที่ผ่านมา Longines ได้รังสรรค์นาฬิกาจับเวลาคุณภาพสูงออกมามากมายทั้งนาฬิกาโครโนกราฟและนาฬิกาที่ได้รับการรับรองระดับโครโนมิเตอร์
1914: นาฬิกาจับเวลาที่มาพร้อมกลไกความถี่สูงระดับ 5 Hz และเข็มวินาทีแบบแยกเข็ม[CAL. 19.73N]
ในปี 1914 Longines ได้ใช้กลไกความถี่สูงระดับ1/10 ต่อวินาที บรรจุอยู่ในนาฬิกาจับเวลาแบบพกสำหรับการจับเวลาในการแข่งขันกีฬามากมาย ขับเคลื่อนด้วยกลไกคาลิเบอร์ 19.73Nพร้อมด้วยการแกว่งด้วยความถี่ 36,000ครั้งต่อชั่วโมง นาฬิกาโครโนกราฟนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จในวงการกีฬา การทหาร และการแพทย์ โมเดลในภาพนี้มาพร้อมเข็มวินาทีแบบ split-secondซึ่ง Longines ได้เปิดตัวขึ้นครั้งแรกในปี 1922 และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านค่าเวลา1/10 ต่อวินาที เข็มโครโนกราฟจึงหมุนรอบหน้าปัดใน30 วินาที ส่วนวงกลมหน้าปัดย่อย15 นาทีนั้นตั้งอยู่ตำแหน่งด้านบนใกล้กับ12 นาฬิกา
1916: นาฬิกาจับเวลาที่มาพร้อมกลไกความถี่สูงระดับ 5 Hz ที่จับเวลาละเอียดสูงถึง 1/100 ต่อวินาที [CAL. 19.73N]
ในปี 1916 Longines มีความสามารถในการผลิตกลไกที่จับเวลาได้ละเอียดสูงถึง 1/100 ต่อวินาทีกลไกได้รับการพัฒนาจากคาลิเบอร์ 19.73Nโดยนักวิศวกรจากแซงต์-อิมิเยร์ได้พัฒนาปรับปรุงความเร็วให้อยู่ที่ 360,000 ครั้งต่อชั่วโมง ดังนั้นจึงสามารถจับเวลาได้ละเอียดสูงถึง 1/100 ต่อวินาที เข็มโครโนกราฟจะหมุนรอบหน้าปัดในเวลาเพียง 3 วินาที มาตรวัดเส้นรอบวงของหน้าปัดถูกแบ่งออกเป็นสเต็ปเล็กๆ ของ 1/100 ต่อวินาที วงกลมหน้าปัดย่อยนาทีถูกวางที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และสามารถวัดได้สูงถึงสามนาที
1938: นาฬิกาจับเวลาสำหรับการแข่งกีฬาสกี (5 Hz) พร้อมเข็มแบบ split-second [CAL. 24 LINES]
เมื่อการแข่งขันกีฬาเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น Longines จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการในการแข่งขันกีฬาหลากหลายโอกาส ในปี 1938 Longines ได้พัฒนากลไกที่มีความแม่นยำสูงขึ้นคือคาลิเบอร์ 24 lines นาฬิกาโครโนกราฟนี้ทำงานด้วยพื้นฐานของโครโนมิเตอร์การเดินเรือ (cal. 24.99)นาฬิกาจับเวลาสำหรับการแข่งขันกีฬาสกีดังในรูป (จากปี 1939) แกว่งด้วยความถี่ 36,000 ครั้งต่อชั่วโมงเพื่อจับเวลาอย่างละเอียดถึง 1/10 ต่อวินาที เข็มโครโนกราฟจะหมุนหนึ่งรอบใน 30 วินาที ซึ่งช่วยให้สามารถอ่านค่าเศษวินาทีได้ มาพร้อมเข็มแบบ split-second และการบันทึกค่า 30 นาที โดยนาฬิกาจับเวลาระดับมืออาชีพนี้ที่มาพร้อมปุ่ม pusher สามปุ่มได้รับการครอบตัวเรือนด้วยสตีล Staybrite กลไกได้รับการทดสอบในสามตำแหน่งและได้รับการชื่นชมจาก Observatory of Neuchâtelในฐานะนาฬิกาที่มีความแม่นยำสูง หลังจากนั้น Longines ก็ได้ผลิตคาลิเบอร์ลักษณะนี้ออกมาอีกมากมาย
เพื่อเป็นการพัฒนาคาลิเบอร์ 24-line ของปี 1938 Longines จึงได้เปิดตัวนาฬิกาโครโนกราฟที่มีขนาดเดียวกันออกมาในปี 1957 ซึ่งมาพร้อมวงกลมหน้าปัดย่อย 30 นาที และระบบการหยุดเวลา อุปกรณ์การจับเวลาระดับมืออาชีพนี้ยังมีเข็มนาทีและเข็มชั่วโมง แต่ยังคงสามารถจับเวลาที่ละเอียดสูงถึง 1/10 ต่อวินาทีได้ ซึ่งต้องยกความดีให้กับกลไกที่มีความถี่สูง (แกว่งด้วยความถี่ 36,000 ครั้งต่อชั่วโมง) พร้อมด้วยฟังก์ชั่นflybackและเข็มแบบ split-second โมเดลดังรูปจากปี 1966 มีกลไกโครโนกราฟพิเศษพร้อมด้วยสเกลที่เรียกว่า nonius-scale โดยมีช่อง“ฟัน” 9 ตัวที่บ่งชี้การสิ้นสุดของเข็มนาฬิกา เมื่อเข็มนาฬิกาหยุดลง หนึ่งใน “ฟัน” นี้จะหยุดตรงกับหนึ่งในเส้นวินาทีรอบหน้าปัด ตัวเลขที่อยู่บนฐานของ “ฟัน” คือการบ่งบอก 1/10 ต่อวินาที
1959:นาฬิกาข้อมือความถี่สูงเรือนแรกระดับ Observatory Chronometer [CAL. 360]
ในช่วงปี 1950 Longines เชื่อว่าในยุคนั้นจำเป็นต้องเพิ่มการพัฒนาในเชิงวิทยาศาสตร์เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในโลกนาฬิกาที่มีการแข่งขันสูงเอาไว้ จากภาพวาดต้นแบบของเดือนสิงหาคม ปี 1958 Longines ได้เปิดตัวนาฬิกาข้อมือความถี่สูงเรือนแรกออกมาในปี 1959 ด้วยกลไกคาลิเบอร์ 360 แกว่งด้วยความถี่ 36,000 ครั้งต่อชั่วโมง ผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถันด้วยมือและได้รับการปรับปรุงแก้ไขเพื่อการแข่งขัน Observatory Chronometer Competitionsเป้าหมายในการเป็นผู้นำด้านกลไกถูกแสดงออกมาให้เห็นด้วยนาฬิกาสองร้อยเรือนจากปี 1959-1963 นาฬิกาหน้าปัดสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรือนนี้ได้รับการพัฒนาในด้านความแม่นยำ และได้รับรางวัลที่หนึ่งและที่สองในการประกวดความแม่นยำที่ Observatory of Neuchâtel ในปี 1961 และในปีถัดมาได้รับรางวัลที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม ค่าคาดเคลื่อนอยู่ที่ประมาณ 1/10 ต่อวินาทีหรือน้อยกว่า
1966: Ultra-Chronนาฬิกาข้อมือที่แกว่งด้วยความถี่สูง[CAL. 431]
ในช่วงปี 1960s วิศวกรของ Longines ได้พัฒนากลไกที่เข้าคู่กับความแม่นยำของนาฬิกาอิเล็กทรอนิกเรือนใหม่ ด้วยประสบการณ์ของพวกเขาในการผลิตนาฬิกาจับเวลาและการทำงานใน Observatory Chronometersจึงทำให้พวกเขารู้ว่านาฬิกาความถี่สูงนั้นมีความเที่ยงตรงมากขึ้นในตำแหน่งแนวตั้งและแนวนอน และกำลังเครื่องตกน้อยลงเมื่อข้ามวัน จึงทำให้นาฬิกามีความแม่นยำมากกว่า ทว่าข้อเสียคือกำลังลานสำรองที่น้อยกว่าและปัญหาการหล่อลื่น Longines ค้นพบการแก้ไขปัญหาในคาลิเบอร์ 431 (ด้วยการหล่อลื่นแบบแห้งที่ได้รับการจดสิทธิบัตร) และสามารถการันตีความแม่นยำสูงเพียงหนึ่งนาทีต่อเดือนหรือสองวินาทีต่อวัน เนื่องจากมีความแม่นยำมากกว่ากลไกระดับโครโนมิเตอร์ที่ได้รับการรับรองโดย COSC โมเดลนี้จึงได้รับการตั้งชื่อว่า Ultra-Chron Longines ได้จดทะเบียนชื่อนี้ในเดือนตุลาคม ปี 1966 และนาฬิกา Ultra-Chron เรือนแรกๆ ถูกวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาในเดือนธันวาคม ปี 1966
1968: Ultra-Chron Diverนาฬิกาความถี่สูงเรือนแรกที่ทำงานใต้น้ำ [CAL. 431]
ในปี 1967 Longines เปิดตัวนาฬิกา Ultra-Chron เวอร์ชั่นสปอร์ต ซึ่งเป็นนาฬิกาดำน้ำที่มาพร้อมเข็มนาทีสีแดงสดและคุณสมบัติการกันน้ำถึง 200 เมตร ในช่วงต้นของปี 1968 นาฬิกาเรือนนี้คือนาฬิกาดำน้ำเรือนแรกที่เดินด้วยความถี่สูงและอาจเรียกได้ว่ามีความแม่นยำสูงสุด โดยทำงานด้วยกลไกพิเศษคาลิเบอร์ 431 เช่นเดียวกับนาฬิกา Ultra-Chron เรือนอื่นๆ Longines การันตีความแม่นยำระดับสูงถึงหนึ่งนาทีต่อเดือน ซึ่งเฉลี่ยได้เป็นสองวินาทีต่อวัน ตัวเรือนทรง tonneauนี้มาพร้อมการบอกวันที่ และขอบตัวเรือนแบบหมุนได้ ซึ่งช่วยให้นักดำน้ำสามารถกำหนดเวลาในการอยู่ใต้น้ำได้ เพื่อยืนยันในความแม่นยำ แม้ภายใต้น้ำที่ขุ่นมัว อินเด็กซ์บนหน้าปัด สัญลักษณ์สามเหลี่ยมบนขอบตัวเรือน หรือแม้แต่ปลายเข็มวินาที (ของซีรีส์แรก) จึงถึงแต้มด้วย tritium
การจับเวลาให้การแข่งขันกีฬาด้วยอุปกรณ์ที่มีความแม่นยำระดับสูงโดย Longines
ด้วยอุปกรณ์บอกเวลาที่มีความแม่นยำระดับสูง Longines จึงได้รับเชิญให้เป็นผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการให้กับการแข่งขันกีฬาที่สำคัญที่สุดทั่วโลกจนถึงปัจจุบันนี้ เกียรติภูมิอันน่าภาคภูมิใจนี้ได้ขับเคลื่อนให้ Longines พัฒนานาฬิกาที่มีความแม่นยำและเที่ยงตรง รวมทั้งอุปกรณ์บอกเวลาที่ดียิ่งขึ้น
กีฬาขี่ม้า
ในอดีตที่ยาวนานในปี 1878 Longines ได้พัฒนากลไกโครโนกราฟออกมาเป็นครั้งแรก ซึ่งไม่นานได้ถูกนำไปบรรจุในตัวเรือนที่สลักสัญลักษณ์นักขี่ม้าและม้าของเขา จะเห็นนาฬิกาจับเวลาเหล่านี้ในการแข่งขันขี่ม้าของชาวอเมริกันในช่วงปี 1880 ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นอุปกรณ์การจับเวลาที่เป็นที่นิยมในหมู่นักขี่ม้ารวมถึงผู้ที่มาร่วมชมการแข่งขัน ในปี 1912 ก้าวสำคัญครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Longines ได้เข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์อย่างเป็นทางการให้กับการแข่ง show jumping ในลิสบอน โปรตุเกส และตลอดหลายปี Longines ก็ได้เป็นผู้จำเวลาให้กับการแข่งขันกีฬาขี่ม้ามามากกว่าพันครั้ง สำหรับการแข่งขันที่ผู้เข้าแข่งขันต้องอยู่ใกล้ชิดกัน Longines ได้ผลิตนาฬิกาจับเวลาโดยมีเข็มแบบ split-hand และกลไกที่แม่นยำสูงถึง 1/10 ต่อวินาทีหรือ 1/100 ต่อวินาที ด้วยความเชี่ยวชาญในการผลิตนาฬิกาที่สืบทอดมา ความผูกพันของ Longines ที่มีต่อกีฬาขี่ม้าในปัจจุบันจึงรวมถึง show jumping, dressageและ flat racing
การแข่งกีฬาสกีบนเทือกเขาแอลป์
การไถสกีจากบนเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะถือเป็นหนึ่งในกีฬายอดนิยมในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งของ Longines ในปี 1924 Longines ได้รับโอกาสในการจับเวลาให้กับ “International Week of Winter Sports”ในเมือง Chamonix ประเทศฝรั่งเศส หลายปีหลังจากนั้น นาฬิกาจับเวลาจาก Longines ได้จับเวลาให้กับงาน World Ski Championships ซึ่งจัดขึ้นในเมืองเดียวกันนั้น ในปี 1939 Longines ได้เปิดตัวนาฬิกาจับเวลาสำหรับการเล่นสกี ด้วยกลไกความถี่สูงและเข็ม split-second ที่วัดได้ 1/10 ครั้งต่อวินาที สำหรับ Military Ski Championships ในCrans-Montana (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์) ที่จัดขึ้นในปี 1945 Longines ได้นำเสนอการใช้photocell light barrierที่จุดเส้นชัย ต่อมาในปี 1948 Longines ได้รับเลือกให้เป็นผู้จับเวลาของการแข่งขัน Kandahardownhill race ในเมือง Sankt Anton ประเทศออสเตรีย อีกทั้งผู้จัดงาน Ski World Championships of 1950 ใน Aspen สหรัฐอเมริกายังได้เลือก Longines ให้เป็นผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการอีกด้วย ปัจจุบันนี้ Longines คือพาร์ทเนอร์และผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการของ FIS Alpine Ski World Cup Tour และ FIS AlpineWorld Ski Championshipsอีกทั้งยังเดินหน้าเป็นผู้จับเวลาให้กับการแข่งขันสกีที่โด่งดังที่สุดใน FIS Alpine Ski World Cup รวมถึงงานอื่นๆ อย่างการแข่งสกีภูเขาในKitzbühel (ประเทศออสเตรีย) หรือในLauberhorn-Wengen (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
การแข่งขันแรลลี่ระดับโลก
ในเดือนมกราคม 1949 รถยนต์จากทั่วยุโรปได้เข้าร่วมในการแข่งขันแรลลี่ครั้งแรกของ Rallye Monte-Carloที่จัดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง Longines ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้จับเวลาซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงด้านการจับเวลามานานกว่า 30 ปี ในปี 1955 Longines ได้เปิดตัวอุปกรณ์การพิมพ์พิเศษที่เรียกว่าPrintoginesขับเคลื่อนด้วยนาฬิกาที่กำลังลานสำรองนาน 8 วัน ซึ่งทำให้ผู้เข้าแข่งขันสามารถตอกบัตรของตนเองที่จัดเช็คพอยต์ที่ห่างกันถึง 5,000 กิโลเมตร ความแม่นยำและแข็งแรงทนทานของอุปกรณ์ชนิดนี้สามารถบันทึกเวลาที่ชนะในการแข่งขันจากเส้นทางที่ผ่านเช็คพอยต์ทั้งหมด นับว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์อย่างมากจนทำให้ Longines ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จับเวลาให้กับการแข่งแรลลี่ชื่อดังมากมายในยุคนั้น ซึ่งรวมถึง Coupe des Alpes, the RAC Rally of Great Britain, TAP Rally ในโปรตุเกส และ Thousand Lakes ในฟินแลนด์ รวมถึง Rallye Acropolis ในกรีซและ Rallye de Côte d’Ivoire ในแอฟริกา
การแข่งขันจักรยาน
ในปี 1951 Longines ได้รับเชิญให้เป็นผู้จับเวลาของการแข่งขันจักรยานระดับโลกอย่าง Tour de France การแข่งปั่นจักรยานทั่วประเทศฝรั่งเศสคือโอกาสอันยอดเยี่ยมในการทดลองระบบใหม่ที่ผสมผสานกล้องที่เส้นชัยพร้อมด้วยอุปกรณ์การบันทึกเวลาของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนบนฟิล์ม ระบบการจับเวลาแบบนี้ช่วยแก้ปัญหาการถ่ายภาพเมื่อกลุ่มผู้เข้าแข่งขันมาอยู่ใกล้กันที่บริเวณเส้นชัยในเวลาไล่เลี่ยกัน Jean Pitallier อดีตประธานแห่ง French Cycling Federation จับเวลาการแข่งด้วยตัวเองในทุกการแข่งของ Tour de France ตั้งแต่ปี 1973 ถึง 1980 ด้วยนาฬิกาจับเวลา split-second ความถี่สูงของ Longines (ref. 7411)จำนวนสองเรือน Longines ได้รับหน้าที่เป็นผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการจนถึงปี 1982 แต่การผูกพันกับโลกการแข่งขันจักรยานของ Longines ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น จากปี 1954 ถึง 1988 Longines ได้เป็นผู้จับเวลาให้กับการแข่งจักรยานระดับโลกถึง 28 ครั้งรวมถึงการแข่งชื่อดังอย่าง Giro d’Italiaหรือ Vueltaในสเปน
การแข่งขันรถแข่ง Formula 1
ในปี 1949 Longines ได้เปิดตัวระบบการจับเวลาสำหรับการแข่งรถที่สามารถบันทึกความเร็ว 1/10 ครั้งต่อวินาทีผ่านทางชุดภาพถ่าย ซึ่งนับได้ว่าเป็นการบอกเวลาที่แม่นยำจนกระทั่ง International Automobile Federationได้รับรองวิธีนี้ในปี 1950 ในปีเดียวกันนั้นในฤดูการแข่งครั้งแรกของ Formula 1 Longines ได้รับเกียรติให้เป็นผู้จับเวลาของ Grand Prix de Monaco และ Indianapolis 500 ในสหรัฐอเมริกา รวมถึง Formula 1 ในBarcelona สเปน, Buenos Aires อาร์เจนติน่า, Spa เบลเยี่ยม , Zandvoort เนเธอร์แลนด์ และ Bern สวิตเซอร์แลนด์ ตามมาด้วยการแข่งขันอีกมากมายในปีต่อๆ มา ภายในปี 1954 Longines ได้พัฒนา Chronotypoginesที่ใช้ระบบเซนเซอร์แบบอัตโนมัติที่จุดสตาร์ทและจุดเส้นชัย ไม่นาน International Automobile Federation ก็ได้นำระบบนี้ไปใช้ ในปี 1980 Longines เปิดตัว (พร้อมกับ Olivetti) วิธีใหม่ในการจับเวลารถแข่งแต่ละคันแยกออกจากกันโดยใช้คลื่นความถี่วิทยุ ซึ่งนำไปสู่บทบาทของ Longines ในฐานะผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการให้กับการแข่ง Formula 1 นับตั้งแต่ปี 1982 ถึง 1992
Longines แบรนด์นาฬิการะดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก่อตั้งขึ้นที่เมืองแซงต์อิมิเยร์เมื่อปีค.ศ. 1832 เชี่ยวชาญในการผลิตนาฬิกาที่มีดีไซน์สง่างาม และการทำงานทรงประสิทธิภาพที่สืบทอดมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่อดีต Longines ได้รับเลือกให้เป็นผู้จับเวลาการแข่งขันกีฬาระดับโลกมากมาย รวมถึงเป็นพันธมิตรกับสมาพันธ์กีฬานานาชาติทำให้ชื่อของ Longines เป็นส่วนหนึ่งของโลกกีฬามาโดยตลอด นอกจากนี้ Longines เจ้าของโลโกรูปนาฬิกาทรายติดปีกยังเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทสวอทช์กรุ๊ปซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาชั้นนำระดับโลกและยังวางจำหน่ายในประเทศต่างๆทั่วโลกกว่า 150 ประเทศ
8 ต.ค. 2567
7 ต.ค. 2567
29 ก.ย. 2567