Last updated: 8 ส.ค. 2566 | 366 จำนวนผู้เข้าชม |
Van Cleef & Arpels เผยผลงานรุ่นใหม่ที่ได้รับการออกแบบและพัฒนาเพื่อเติมเต็มเรื่องราวทางประวัติศาสตร์แห่ง “เครื่องประดับบอกเวลา” นาฬิกาเครื่องประดับจากคอลเลกชัน Perlée (แปรเล) และ Alhambra (อัลลองบรา) มอบอารมณ์สดใหม่จากการใช้รัตนชาติหลากชนิด ซึ่งล้วนผ่านการคัดสรรอย่างละเอียด ถี่ถ้วน ในขณะที่ทักษะเหนือชั้นจากแผนกห้องปฏิบัติการผลิตผลงานของเมซง ได้ปรากฏให้ประจักษ์ต่อทุกสายตาผ่านงานออกแบบเครื่องประดับซ่อนเวลา Ludo (ลูโด) และนาฬิกาเครื่องประดับชั้นสูง À Cheval (อา เชอวาล) หน้าปัดทั้งหลายล้วนสะกดสายตาด้วยลีลาสะท้อนแสงหรือลูกเล่นชวนพิศวงสุดแยบคายในการซ่อนและหากลไกบอกเวลา
The Perlee Collection
หนึ่งในสัญลักษณ์เชิงสุนทรียศิลป์ต้นแบบอันอยู่เหนือกระแสความนิยมของยุคสมัยของ Van Cleef & Arpels ได้มาปรากฏอย่างโดดเด่นอีกครั้งผ่านผลงานรังสรรค์เครื่องบอกเวลาห้ารุ่นใหม่จากคอลเลกชันของ Perlée (แปรเล) ไหวพริบในการพลิกแพลงทักษะความชำนาญของงานผลิตนาฬิกาข้อมือ ถูกนำมาใช้ถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากงานออกแบบเครื่องประดับ โดยอาศัยความอ่อนช้อยทางรูปทรงกลมกลึงกับรายละเอียดละเมียดละไมแง่มุมต่างๆ เพื่อมอบอารมณ์ร่วมสมัยในการทำหน้าที่บอกเวลาอย่างแม่นยำ
ด้วยการใช้เส้นโค้งอ่อนช้อย ลื่นไหล และต่อเนื่อง ตัวเรือนทรงกลมของนาฬิกา Perlée รองรับงานเดินขอบลูกปัดทองเรียงแถวคู่ขนานล้อมกรอบเผยร่วมกับความเป็นเลิศด้านงานฝีมือขัดผิวขึ้นเงาราวกระจกไม่ว่าจะบนเนื้อทองคำสีกุหลาบ หรือทองคำขาวฝังเพชรจิกไข่ปลา และภายใต้ครอบแก้วทรงกลมพอดีสัณฐานโครงสร้าง คือความหลากหลายของหน้าปัดบอกเวลา ไม่ว่าจะเป็นงานฝังเพชรเรียงแถวจิกไข่ปลา, หัตถศิลป์ทองคำสีกุหลาบสลักลายเส้นริ้วรัศมีตะวัน “กิโยเช่” (guilloché) หรือกระทั่งหน้าปัดฝังแผ่นแม่มุกที่ดูเรียบง่าย หากเต็มไปด้วยความงดงามตามธรรมชาติเพียงหนึ่งเดียว ท่ามกลางความแตกต่างทางรายละเอียด ผลงานแต่ละรุ่นกลับล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติในการล้อแสงทอประกายเจิดจรัสสะกดสายตา ขณะเดียวกัน ปุ่มกดตั้งเวลา ซึ่งติดตั้งไว้ด้านหลังตัวเรือน ก็จะถูกซ่อนเร้นอย่างแนบเนียนระหว่างนาฬิกาถูกสวมใส่บนข้อมือ
นาฬิกาข้อมือสี่แบบจากในห้ารุ่นใหม่นี้ มีขนาดกรอบตัวเรือนเส้นผ่านศูนย์กลาง 23 มม. ส่วนแบบที่ห้าคือขนาด 30 มม. แต่ละผลงานมาพร้อมสายคาดหนังจระเข้อำนวยต่อการสลับสับเปลี่ยนอย่างสะดวกง่ายดายตามอารมณ์ของผู้สวมใส่ด้วยตัวเลือกที่สอง อันได้แก่แถบสายสร้อยข้อมือร้อยลูกปัดทองคำกลมกลึงกลมกลืนกับที่ใช้ประดับขอบล้อมกรอบตัวเรือน งานฝีมือร้อยลูกปัดขึ้นโครงสร้างให้เต็มไปด้วยความยืดหยุ่นแบบเดียวกับที่ใช้ในงานสร้อยข้อมือของคอลเลกชัน อำนวยให้นาฬิกาเครื่องประดับ Perlée เหล่านี้สามารถโอบกระชับรอบข้อมือได้อย่างแนบเนียน มอบสัมผัสสวมสบายรองรับทุกการเคลื่อนไหวของข้อมือ
สำหรับเพชรซึ่งนำมาใช้กับผลงานเครื่องประดับชุดนี้ ล้วนตรงตามมาตรฐานคุณภาพสูงสุดในการคัดสรรนั่นก็คือ D ถึง F ในแง่ของสี และ IF ถึง VVS ในแง่ความกระจ่างใส บริสุทธิ์หมดจดของน้ำเพชร เพื่อมอบประกายสุกสว่างพร่างพรายให้แก่หน้าปัดอย่างเต็มที่ ความละเอียดลออ เคร่งครัดในการพิจารณาเลือกวัสดุของนักอัญมณศาสตร์ผู้เชี่ยวชำนาญ ยังถูกนำมาใช้กับแผ่นแม่มุก ซึ่งต้องมีเนื้อสีล้อแสงทอประกายเหลือบรุ้งไล่เฉดอย่างละเมียดละไม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้รับการทวีความงดงามด้วยงานฝีมือสลักลายเส้นรัศมีตะวันกิโยเช่
อีกครั้งที่บรรดาลูกปัดทองกลมกลึงได้รับการร้อยเรียงร่วมกันจนก่อลีลาดุจเริงระบำปลายเท้าอย่างวิจิตรตระการตาบนเวทีหลากเฉดสีของมวลรัตนชาติ และรงคศิลาเลอค่าของเครื่องประดับซ่อนเวลาถึงหกรุ่นแรงบันดาลใจจากนาฬิกาพกในยุโรประหว่างศตวรรษที่ 17 นำมาสู่งานออกแบบจี้ทรงกลมหลากสีสันร้อยสายสร้อยเส้นยาวที่แกว่งไกวอย่างงดงามตามอากัปเคลื่อนไหวของผู้สวมใส่ และสามารถทำหน้าที่บอกเวลาอย่างแยบยลด้วยการดันตัวเรือนโมทิฟฝาหน้าฝังอัญมณีให้หมุนเลื่อนไปด้านข้างเพื่อแสดงหน้าปัด
สำหรับงานออกแบบเครื่องประดับซ่อนเวลาอันล้ำค่าทั้งสามรุ่น ล้วนอาศัยเฉดสีสดสว่างของรงคศิลาเลอค่ามาเร่งประกายเจิดจรัสให้แก่บรรดาลูกปัดทองอันทรงเอกลักษณ์ สีแดงสดอมชมพูของทับทิม คือตัวเลือกตอบรับกับรัศมีอบอุ่นละมุนละไมของทองคำสีกุหลาบ ในขณะที่ไพลินสีน้ำเงิน และมรกตเขียวขจี ต่างมอบมิติล้ำลึกตัดแสงสุกสว่างเจิดจ้าจากทองคำสีเหลืองได้อย่างลงตัว และเมื่อพิจารณาทบทวนเรื่องราวนับจากยุคแรกเริ่มของเมซง บนตัวเรือนเครื่องประดับหลายต่อหลายชิ้น รัตนชาติทั้งสามนี้ต่างสร้างความโดดเด่นเป็นหนึ่งให้ตัวเองด้วยคุณลักษณ์ทางเฉดสีอันสดชัดจรัสตากับคุณภาพน้ำพลอยกระจ่างใส ซึ่งถือเป็นบทสะท้อนถึงรสนิยมชมชอบที่ Van Cleef & Arpels มีต่อบรรดาอัญมณีเลอค่า อีกทั้งยังตอกย้ำความสำคัญของกระบวนการคัดเลือกรงคศิลาประดับสีอย่างพิถีพิถัน และเคร่งครัดของเหล่าผู้เชี่ยวชาญประจำเมซง
ยังมีรงคศิลาหายากในแวดวงอัญมณศิลป์อีกสามชนิด ที่เข้ามารับบทดาวจรัสแสงบนเวทีงานออกแบบเครื่องประดับซ่อนเวลาในคอลเลกชันของ Perlée ครั้งนี้ โดยอาศัยงานเจียระไนหลังเบี้ยอวดความงดงามตามธรรมชาติในเนื้อหินเจ้าของขนาดเอาฬาร คาลซิโดนี (Chalcedony) สีฟ้าอมเทาไล่เฉดถึงสีฟ้าจางขาวจนกลายเป็นอีกสมญาเรียกหินโมราเนื้อโปร่งแสงกลุ่มนี้ว่า “หยกพยับหมอก” สะกดสายตาด้วยลายเส้นแถบริ้วซึ่งเรียงขนานกันอย่างสม่ำเสมอ ครองบัลลังก์อย่างโดดเด่นอยู่บนตัวเรือนทองคำขาววาววาม ในขณะที่หินเขี้ยวแก้วกุหลาบ (rose quartz) มอบสีชมพูสดละมุนตา ได้ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในคอลเลกชันนี้โดยสถิตอยู่บนตัวเรือนทองคำสีกุหลาบอย่างกลมกลืน ส่วนผลงานอีกลำดับคือความขัดแย้งทางเฉดสีระหว่างตัวเรือนทองคำสีเหลืองสุกสกาวตัดกับหินอัคนีน้ำเงินหรือโซดาไลต์ (sodalite) อันเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ลึกลับชวนให้ใช้สายตาจับจ้อง และสำรวจค้นไปตามเส้นริ้วขดก้นหอยที่กระหวัดรัดร้อยกันอย่างซับซ้อนอยู่ในเนื้อพลอยสีน้ำเงินสดอมม่วงเข้ม รงคศิลาแต่ละชนิดดังกล่าว ล้วนผ่านการคัดเลือกคุณภาพอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะประเด็นความกลมกลืนของจังหวะไล่ระดับความต่างทางเฉดโทนในเนื้อหิน และพื้นผิวซึ่งได้รับการขัดเงาอย่างเกลี้ยงเกลา หมดจด และเรียบเนียน อำนวยต่อการสะท้อนแสงตกกระทบก่อประกายกระจ่างจ้าพร้อมกับเผยให้เห็นริ้วลายอันอ่อนช้อยงดงามตามธรรมชาติที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
The Alhambra Collection
“ถ้าอยากมีโชค เราก็ต้องเชื่อในโชค” ตามคำกล่าวติดปากของฌาคส์ อารเปลส์ อันส่งผลให้“อัลลองบรา” หรือคอลเลกชัน Alhambra ก้าวขึ้นไปสู่ฐานะเครื่องประดับนำโชคของ Van Cleef & Arpels และได้รับการรังสรรค์ขยายผลหลายต่อหลายครั้งอย่างต่อเนื่องเพื่อถ่ายทอดความงามสง่าอันทรงแบบฉบับของรูปทรงใบโคลเวอร์สี่แฉกโดยใช้วัสดุ และลูกเล่นทางการแต่งเติมรายละเอียดอย่างหลากหลาย สำหรับผลงานในครั้งนี้ นาฬิกาเครื่องประดับ Sweet Alhambra (สวีท อัลลองบรา) สองรุ่นใหม่ อาศัยลูกเล่นร้อยโมทิฟรูปทรงใบโคลเวอร์สี่แฉกตัวเรือนทองสลับกับโมทิฟรูปทรงและขนาดเดียวกันรองรับงานฝังรงคศิลาประดับ โดยมีโมทิฟขนาดสัณฐานที่ใหญ่กว่าชิ้นอื่นเป็นตัวเรือนนาฬิกา
ด้วยความกลมกลืนระหว่างประกายอบอุ่นละมุนตาจากทองคำสีกุหลาบกับเฉดแดงอมส้มละมุนละไมของหินคาร์เนเลียน (carnelian) อันควรค่าแก่สมญา “โมราสีเพลิง” ซึ่งครองความนิยมในการใช้ตกแต่งบนเครื่องประดับอัญมณีทั้งหลายมานับแต่โบราณกาล และเช่นเดียวกันกับในผลงานคอลเลกชันต่างๆ Van Cleef & Arpels จะคัดเลือกโมราสีเพลิงโดยพิจารณาถึงน้ำหนักความลึกของเนื้อสีที่ต้องมีความสม่ำเสมอเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งชิ้น อีกทั้งยังต้องผ่านการขัดผิวอย่างพิถีพิถันให้เผยประกายสว่างโชติช่วงดังเปลวไฟยามต้องแสง และหลังผ่านเกณฑ์การเลือกแล้ว บรรดาช่างเจียระไนจะบรรจงเทียบสีจับคู่ และจัดวางรงคศิลาหายากแต่ละชิ้นนี้ให้กลมกลืนเข้าด้วยกันทั้งหมดในชิ้นงาน ขณะเดียวกัน แผ่นโมทิฟทองคำสีกุหลาบที่ใช้ร้อยสลับ ล้วนรองรับความประณีต ละเอียดลออในการสลักลายริ้วรัศมีตะวันกิโยเช่ เพื่อให้เหลี่ยมมุมที่เรียงสลับกับริ้วร่องสะท้อนแสงตกกระทบก่อประกายสุกสว่างเป็นจังหวะต่อเนื่องไม่จบสิ้น
ในฐานะแบบฉบับทางการออกแบบแห่ง Van Cleef & Arpels คอลเลกชัน Alhambra คือบทสะท้อนทุกมวลความชำนาญเหนือชั้นในการสรรค์สร้างเครื่องประดับชั้นสูงของเมซง จากขั้นตอนการเจียระไนไปจนถึงขึ้นโครงสร้างตัวเรือน และจากกระบวนการฝังอัญมณีขึ้นตัวเรือนไปสู่งานฝีมือขัดผิว ผลงานแต่ละชิ้นล้วนอาศัยการร่วมงานของช่างฝีมือหัตถศิลป์หลากแขนงเพื่อสืบสานมาตรฐานต่างๆ ของเมซง โมราสีเพลิง หรือคาร์เนเลียนแต่ละชิ้นต่างผ่านการตัดเจียนอย่างประณีต ระมัดระวัง และดำเนินการขัดผิวอย่างละเอียดลออก่อนถูกนำมาจับคู่เทียบสีอย่างพิเคราะห์ ส่วนโมทิฟทองคำสลักลายรัศมีตะวันกวิโญเช ก็อาศัยงานฝีมือทรงค่าในการฝังลูกปัดอัญมณีเม็ดเดี่ยวลงตรงกึ่งกลางอย่างโดดเด่น
สัณฐานกลมกลึงของลูกปัดทองบนปลายเขี้ยวหนามเตยรายล้อมรอบแผ่นโมทิฟทั้งหมดเหล่านี้จะได้รับการตกแต่งในทุกแง่มุมรายละเอียดโดยช่างทำตัวเรือนเครื่องประดับ ก่อนดัดพับลงมาเพื่อยึดบรรดาแผ่นโมทิฟประดับทั้งหลายให้เข้าที่ แล้วจึงดำเนินการขัดผิวทั้งชิ้นงานเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อทวีความงดงามของแต่ละชิ้นส่วนที่จะนำไปร้อยประกอบเป็นเครื่องประดับแล้วเสร็จ จากการคัดเลือกไปจนถึงการจัด และปรับรูปทรงสู่กระบวนการตรวจสอบควบคุมคุณภาพ ผลงานอันทรงแบบฉบับแต่ละชิ้นนั้น ต้องอาศัยขั้นตอนไม่น้อยกว่าสิบห้าลำดับในการผลิต
The Ludo Secret Collection
ด้วยฐานะสองผลงานใหม่ในคอลเลกชันนาฬิกาเครื่องประดับชั้นสูง Ludo Secret (ลูโด ซีเคร็ท) คือบทยกย่องความงามสง่าอันอยู่เหนือกระแสความนิยมทางยุคสมัยของหนึ่งในสัญลักษณ์ทางการออกแบบแห่ง Van Cleef & Arpels อันได้แก่สร้อยข้อมือ Ludo ซึ่งเส้นแรกได้รับการสรรค์สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1934 โดยตั้งชื่อตามชื่อเล่นของลูอิส อารเปลส์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งเมซง รูปทรงคล้ายเข็มขัดผู้ชาย ทำให้ Ludo กลายเป็นเครื่องประดับแฟชันที่ถูกใจของเหล่าสุภาพสตรีหัวขบถคนกล้าแห่งวงสังคมชั้นสูงในระหว่างทศวรรษ 1930 และครองความนิยมอย่างแพร่หลายนับแต่เปิดตัว
Van Cleef & Arpels ยกระดับความโดดเด่นให้แก่ผลงานอันทรงแบบฉบับคอลเลกชันนี้ด้วยการปรับขนาดใหม่ให้กับนาฬิกาข้อมือทั้งสองรุ่น รวมถึงการใช้ลูกเล่นสีตัดระหว่างอัญมณีกับโลหะล้ำค่า การฝังเพชร หรือไพลินสีชมพูลงบนตัวเรือนทองคำสีกุหลาบดำเนินไปตามขนบครรลองความเป็นเลิศทางการสรรค์สร้างเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง สำหรับการนำรัตนชาติต่างสีทั้งหมดนี้มาร้อยเรียง ไล่ลำดับจัดตำแหน่งให้อยู่ร่วมกันในลีลาต่อเนื่อง นักอัญมณศิลป์ของเมซงต้องใช้ทักษะความชำนาญเหนือชั้นของพวกเขาไปกับการจับคู่เทียบสี และน้ำเพชร โดยพิจารณาถึงระดับประกายไฟสุกสว่าง ส่วนไพลินสีชมพูก็ต้องคำนึงถึงระดับความเข้มสีเพื่อให้เกิดการไล่ลำดับเฉดโทนที่กลมกลืน พร้อมกันนั้น เอกลักษณ์เฉพาะตัวของผลงานต้นแบบอันได้แก่โครงสร้างใยตาข่ายร้อยแผ่นโลหะทรงอิฐเหลี่ยมให้เรียงประกบกันอย่างต่อเนื่องเสมือนเส้นเข็มขัดนั้น ยังคงสืบทอดมาสู่สายคาดนาฬิกาข้อมือรุ่นนี้ เพื่อมอบความยืดหยุ่นราวกับผืนผ้าผ่านการถักทออย่างวิจิตรบรรจงโดยอาศัยงานฝีมือประกอบแผ่นโลหะล้ำค่าแต่ละชิ้นส่วนอย่างระมัดระวัง เพื่อให้รองรับสัดส่วนสรีระ มอบความสบายยามสวมใส่ได้อย่างเต็มที่
เมซงยังได้สร้างสรรค์ผลงานอันทรงเอกลักษณ์ชิ้นใหม่ โดยอาศัยแรงบันดาลใจจากเครื่องประดับซ่อนเวลาลูโดสายคาดลายหกเหลี่ยมหรือ Ludo Hexagone Macaron secret watch (ลูโด เอ็กซากอน มาการง ซีเคร็ท วอทช์) เมื่อปี 1941 สำหรับผลงานรังสรรค์ใหม่รุ่นนี้ หน้าปัดบอกเวลาได้รับการปิดบังซ่อนไว้ภายใต้โมทิฟแผ่นโค้งฝังมรกตขึ้นตัวเรือนซ่อนหนามเตยเพื่อเร่งประกายเขียวสดล้ำลึก และด้วยลักษณะเฉพาะตัวของพลอยเนื้ออ่อนเลอค่า การเจียระไนให้ได้รูปทรง และสัดส่วนเพื่อตอบรับกับความซับซ้อนในเชิงโครงสร้าง จึงต้องอาศัยความพิถีพิถัน ละเอียดอ่อนเป็นอย่างสูง รวมถึงขั้นตอนการสอดเม็ดพลอยลงร่องรางของโมทิฟสัณฐานโค้งต่ำ ซึ่งถูกออกแบบมาให้กลมกลืนกับงานฝังเพชรเรียวแถวเป็นวงซ้อนประกบส่วนหัว และท้ายล้อมกรอบตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าบนแถบสายคาด อันถอดแบบมาจากสร้อยข้อมือโครงตาข่ายร้อยแผ่นทองคำสีเหลืองทรงหกเหลี่ยมฝังมรกตรูปดาวตรงกึ่งกลาง
เครื่องประดับซ่อนเวลา Ludo Secret ก็ถือเป็นเวทีแสดงให้เห็นหนึ่งในไหวพริบทางการพลิกแพลงทักษะ ความชำนาญอันเลื่องชื่อของเมซง นั่นก็คืองานฝังอัญมณีขึ้นตัวเรือนซ่อนหนามเตยหรือ the Mystery Set เทคนิคซึ่งต้องใช้ความประณีต แม่นยำเป็นอย่างสูงร่วมกับความเชี่ยวชาญเหนือชั้นจากการสั่งสมประสบการณ์ยาวนานเพื่อให้รางทองคำรองรับการฝังอัญมณีน้ำงามล้ำค่าที่ผ่านการเจียระไนอย่างระมัดระวัง และทำการเทียบสีอย่างละเอียดลออก่อนขึ้นตัวเรือน เมื่อเข้าตำแหน่ง รัตนชาติทั้งหลายจะประกบขอบข้างชิดกันอย่างพอดีจนกลบตัวเรือนโลหะด้านล่างได้หมดจด แนบเนียน ปรากฏให้เห็นก็แต่เพียงประกายวิบวับระยับแสงก่อมิติลดหลั่นเสมือนเป็นพรมกำมะหยี่ละมุนตา ความชำนาญชั้นสูงในเชิงเทคนิค อันจำเป็นสำหรับการฝังอัญมณีซ่อนหนามเตยเช่นนี้ ก็คงมีเพียงช่างเจียระไน กับสุดยอดช่างทำตัวเรือนเครื่องประดับเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในปัจจุบัน ที่ล่วงรู้ความลับในการสรรค์สร้าง
The À Cheval Collection
ท่ามกลางความหรูหราตระการตา บรรดารัตนชาติเลอค่าคือผู้ปกครองสูงสุดของผลงานสร้างสรรค์รูปแบบใหม่จากคอลเลกชัน À Cheval (อา เชอวาล) อันได้แก่นาฬิกาข้อมือสองรุ่น ซึ่งล้วนแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ทางสุนทรียศิลป์ในงานออกแบบผ่านการใช้สีสันใหม่ สำหรับผลงานชิ้นแรก ไพลินสีน้ำเงินจรัสประกายล้ำลึกอย่างโดดเด่นอยู่บนหน้าปัดฝังเพชรจิกไข่ปลา และต่อเนื่องไปตามความยาวตลอดสายคาดรัดข้อมือด้วยลูกเล่นไล่เฉดหลั่นระดับน้ำหนักโทน ในขณะที่ผลงานอันดับสองมอบความอบอุ่นจากไพลินสีชมพูทอประกายไล่เฉดโทนจากอ่อนโยน กระจ่างใสไปจนถึงสดเข้ม ล้ำลึก
หัวใจสำคัญในงานออกแบบเครื่องประดับชั้นสูง อันเป็นที่มาของชื่อคอลเลกชันว่า À Cheval นั้นก็คือโครงสร้างของชิ้นส่วนต่างๆ ซึ่งนำมาประกอบเข้าด้วยกันจนเหมือนเป็นขั้นบันไดฝังเพชรเรียงซ้อนไล่กันขึ้นไป (ในภาษาฝรั่งเศส À Cheval มาจากคำกิริยาที่ว่า “เซอ เชอโวแชร์” se chevaucher แปลว่า “เหลื่อมซ้อนกัน”) เพื่อขึ้นรูปตัวเรือนซ่อนตัวโครงสร้างแพลทินัมไว้ภายใต้ประกายไฟของอัญมณี ที่แต่ละเม็ดจะได้รับการฝังตามตำแหน่งเรียงแถวลดหลั่นเป็นลายนูนได้สันเหลี่ยมงามสง่า และต่อเนื่องเป็นระเบียบ เทคนิคแยบคายในการฝังอัญมณีขึ้นตัวเรือนลงในร่องรางสลับแถวสูง-ต่ำลักษณะนี้จะช่วยทวีความโดดเด่นของสัณฐานน้ำหนักทรง อำนวยต่อการรับ และสะท้อนแสงเร่งประกายไฟในน้ำเพชร และน้ำพลอยให้เจิดจรัสระยับตา
นับแต่ก่อตั้ง ความโดดเด่นอีกประการอันสร้างชื่อให้แก่ Van Cleef & Arpels นั้นก็คือทักษะความชำนาญเหนือชั้นในการคัดสรรอัญมณีเพื่อให้สอดคล้อง และลงตัวกับรายละเอียดต่างๆ ของงานออกแบบ ปณิธานสู่ความเป็นเลิศประเด็นนี้ ปรากฏให้ประจักษ์จากมาตรฐานการพิจารณาอย่างเคร่งครัด: สีเพชรต้องอยู่ในเกรด D ถึง F และความบริสุทธิ์ หมดจด อันนำมาซึ่งความกระจ่างใสของไฟในน้ำเพชร ต้องได้คุณภาพจาก IF ถึง VVS ทั้งสองปัจจัยนี้ถือเป็นบทเติมเต็มในการเร่งความเข้มแสง เพิ่มประกายสว่างเจิดจ้าอย่างหาได้ยากยิ่งให้แก่บรรดาผลงานสร้างสรรค์ ภายใต้สายตาเฉียบคม และด้วยรสนิยมเอกลักษณ์ของเมซง เหล่านักอัญมณศิลป์ได้นำมาตรฐานเดียวกันนี้มาใช้กับบรรดารัตนชาติหลากสีที่พวกเขาทำการคัดเลือกอย่างพิถีพิถันเพื่อนำมาก่อลีลาไล่ลำดับเฉดโทน และขนาดสัณฐานให้มีความสม่ำเสมอ หรือลดหลั่นกันอย่างต่อเนื่อง และอ่อนช้อยดังจะเห็นได้จากสร้อยข้อมือแต่ละเส้น ความใส่ใจในรายละเอียดระดับนี้ อำนวยให้พวกเขาสามารถประกอบชิ้นงานซึ่งเต็มไปด้วยคุณสมบัติในการทอประกายจรัสแสงเจิดจ้าได้อย่างกลมกลืน
Lady Féerie or Rose
นับตั้งแต่ทศวรรษ 1940 Van Cleef & Arpels ได้ยกย่องความงดงามของเหล่าเทพธิดานางฟ้าผ่านผลงานสร้างสรรค์อันเต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนฝัน สำหรับในครั้งนี้ เมซงขอแนะนำรูปโฉมใหม่แห่งสีสันให้แก่นาฬิกา “นางฟ้าบอกเวลา” หรือ Lady Féerie watch ด้วยลีลาสลับเฉดสีชมพู เพื่อเป็นบทเติมเต็มความครบครันของคอลเลกชันนาฬิกานางฟ้าบอกเวลา หรือคอลเลกชัน Féerie โครงสร้างกลไกต้นแบบตามธรรมเนียมนาฬิกาข้อมือ Poetic Complications ได้กลายเป็นพื้นที่รองรับงานระดมไหวพริบความชำนาญแขนงต่างๆ ทางด้านการผลิตนาฬิกาข้อมือมาหลอมรวมเข้ากับหัตถศิลป์งานฝีมือหลากสาขาให้มาอยู่บนกรอบตัวเรือนขนาด 33 มม. ด้วยจากการจัดสัดส่วนอย่างอ่อนช้อย ละเมียดละไม ความวิจิตรตระการตาชวนฝันบนหน้าปัดมีประติมากรรมนางฟ้าทำหน้าที่บอกเวลาแต่ละโมงยามผ่านการเคลื่อนตัวของไม้ คฑากายสิทธิ์ในมือของตนท่ามกลางประกายแสงระเรื่อดุจผืนฟ้ายามอัสดง
ไม่ต่างอะไรจากเทพธิดาอารักษ์ ประติมากรรมนางฟ้าปรากฏกายในท่านั่งอยู่บนปุยเมฆทำจากแผ่นแม่มุกขาวทอประกายเหลืองรุ้งวามวาวประดับอาภรณ์ทองคำฝังเพชร, ไพลินสีชมพู และงานลงสีจิตรกรรมย่อส่วน ในขณะที่ปีกบอบบางสกาวแสงละมุนดุจละอองนิรมิต เผยความวิจิตรซับซ้อนจากงานลงยาลายฉลุหรือ plique-à-jour (ปลิกาฌูร) สีชมพูโปร่งแสงร่วมกับงานลงยาทึบแสงสีชมพู ด้วยการใช้งานออกแบบเดียวกันกับผลงานรุ่นต้นแบบของเมซง เทคนิคต่างๆ เหล่านี้ก่อลูกเล่นระหว่างแสงกับความโปร่งใสของปีกที่บอบบาง ซึ่งทวีความคมชัดทางรายละเอียดจากงานฝังเพชรย้ำลายของงานลงยา และภายใต้ดวงหน้าเพชรเดี่ยว สัดส่วนโค้งเว้าอ่อนช้อยของลำตัวอิสตรี ก็ทำหน้าที่บอกเวลานาทีด้วยไม้คฑากายสิทธิ์ ในขณะที่พระอาทิตย์คล้อยดวงลับขอบฟ้าเผยให้เห็นเลขชั่วโมงผ่านช่องหน้าต่างบนแผ่นแม่มุกท่ามกลางรัศมีเรืองรอง และเมื่อพลิกไปด้านหลัง ซึ่งถูกสรรค์สร้างให้เห็นการทำงานของระบบกลไกต่างๆ อย่างชัดเจน ในส่วนของจานเหวี่ยงคืองานแกะสลักจำลองทัศนียภาพผืนฟ้ายามราตรีประดับจันทร์เต็มดวงท่ามกลางละอองดาวระยับแสงอยู่ภายใต้ฝาครอบหลังทำจากแก้วไพลิน ประดับงานลงยาเป็นทิวเมฆทอประกายวิบวับละมุนตา
ทักษะในการผลิตนาฬิกา, งานเครื่องประดับอัญมณี และหัตถศิลป์ล้ำค่าอันล้วนหาได้ยากยิ่งแขนงต่างๆ ถูกระดมมาก่อกำเนิดขึ้นเป็นผลงานสุดวิจิตรบรรจงดุจเนรมิต ความงดงามหรูหราของนาฬิกานางฟ้าบอกเวลารุ่นทองคำสีกุหลาบ Lady Féerie Or Rose (เลดี เฟรี ออโรส) มอบความแม่นยำ และเที่ยงตรงในการทำหน้าที่ด้วยระบบขึ้นลานในตัวโดยอัตโนมัติร่วมกับกลไกตัวเลขบอกชั่วโมง (jumping hours) และเข็มนาทีตีกลับ (retrograde minutes) ซึ่งต้องอาศัยความประณีต พิถีพิถันระดับสูงทางงานออกแบบ และประกอบชิ้นส่วนเพื่อให้ระบบขับเคลื่อนของฟันเฟือง และกลไกอันซับซ้อนทั้งหลายสามารถถูกนำไปติดตั้งอยู่ภายในตัวเรือนนาฬิการุ่น Lady ขนาด 33 มม. ได้อย่างครบถ้วน นอกจากนั้น ลูกเล่นอย่างมีชั้นเชิงจากการใช้แผ่นแก้วไพลินทรงกลมเป็นฝาประกบหลัง ยังอำนวยต่อการลำเลียงวิถีแสงสะท้อนกลับให้เพิ่มระดับความสว่างเผยให้เห็นรายละเอียดการทำงานสามมิติของระบบกลไกทั้งหลายในโครงสร้างทรงกลมของนาฬิการุ่นนี้ได้อย่างชัดเจน
หน้าปัดนาฬิกาแสดงให้เห็นสารพันเทคนิคชั้นสูง ซึ่งถูกพลิกแพลง และดำเนินกระบวนการพัฒนาขึ้นจากแผนกห้องปฏิบัติการผลิตนาฬิกาข้อมือของ Van Cleef & Arpels ในกรุงเจนีวา บนพื้นฉากหลังทำจากแผ่นแม่มุกสลักลาย คืองานลงรายละเอียดโดยใช้สีสันไม่น้อยกว่าสี่เฉดจากขาวเหลือบมุกไปจนถึงม่วงลูกพลัมเข้มล้ำลึกตัดกับสีแชมเปญอ่อนโยน และชมพูฟูเชียเจิดจ้า ก่อผลลัพธ์เป็นจิตรกรรมภาพผืนฟ้ายามสนธยาทอประกายแสงระเรื่อเรืองรอง ช่างหัตถศิลป์ของเมซงต้องใช้ฝีมืออันเอกอุของพวกเขาในการลงสีปรับเฉดไม่น้อยกว่าสิบขั้นตอนเพื่อให้ได้ลีลาไล่ระดับเฉดโทนอย่างอ่อนโยนเช่นนี้ ในขณะเดียวกัน สำหรับงานลงยาลายฉลุ (plique-à-jour) บนส่วนของปีกนางฟ้านั้น ก็ต้องอาศัยงานผสมสีพิเศษเป็นการเฉพาะโดยช่างฝีมือลงยาของ Van Cleef & Arpels เพื่อให้ได้เฉดชมพูเอกลักษณ์ที่กลมกลืนกับสรรพสีบนหน้าปัดอย่างงดงาม
6 ธ.ค. 2567
6 ธ.ค. 2567
5 ธ.ค. 2567
6 ธ.ค. 2567