Last updated: 30 เม.ย 2567 | 362 จำนวนผู้เข้าชม |
Cartier (คาร์เทียร์) เป็นมากกว่าผู้ผลิตเรือนเวลา ทว่าเป็นผู้สรรสร้างรูปทรงที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร เกิดการรังสรรค์รูปทรงที่มีเอกลักษณ์ เพียงเห็นก็จดจำได้ทันที Cartier เปรียบดั่งนักเล่นแร่แปรธาตุ สามารถเปลี่ยนวัตถุให้เป็นสิ่งล้ำค่าน่าปรารถนา แฝงไว้ด้วยความรู้สึกและความทรงจำที่ไม่อาจมีสิ่งใดมาทดแทน ทั้งยังช่วยยกระดับจิตวิญญาณของผู้สวมใส่
Cartier เผยให้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ควบคู่ไปกับการรังสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาราวกับนักมายากล “Cartier คือนักมายากลขนานแท้” - ซีริลล์ วิญเญอรอง (Cyrille Vigneron), กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Cartier International
“Cartier ผู้วิเศษแสนประณีต ผู้ร้อยเรียงเสี้ยวแห่งดวงจันทร์ บนเส้นด้ายแห่งดวงตะวัน” - ฌอง คอคโต (Jean Cocteau)
Cartier เปรียบดั่งนักมายากลผู้เชี่ยวชาญด้านรูปทรง ข้ามเส้นแบ่งระหว่างความจริงกับจินตนาการ รับรู้เสน่ห์แห่งกาลเวลา และเผยปริศนาแห่งเวลาผ่านประดิษฐกรรมเวลา อันเป็นงานสร้างสรรค์ที่เปิดกว้างไปสู่การรังสรรค์นานารูปแบบ นับจากการถ่ายทอดรูปทรงไปสู่ความเหนือจริงสูงสุด ตั้งแต่กลไกเชิงเทคนิค สู่ความเป็นสุดยอดด้านความล้ำค่า จากสุดยอดความกล้า สู่จินตนาการอันบรรเจิด ผลงานเหล่านี้เป็นเสมือนเส้นด้ายเชื่อมโยงกันไว้ด้วยเวทย์มนตร์ที่มองไม่เห็น ทว่าเป็นสายใยประสานระหว่างสไตล์กับจิตวิญญาณ เวทย์มนต์คือเส้นด้ายที่สำคัญที่ถักทอเรื่องราวในงาน Watches & Wonders 2024 ให้เป็นหนึ่งเดียว ทั้งยังแผ่พลังแห่งการพลิกโฉมอย่างไม่หยุดยั้ง ให้กับเรือนเวลาสุดคลาสสิกของเมซง ที่ถูกนำมาสร้างสรรค์ใหม่อยู่เสมอ หนึ่งในนั้นคือ Tortue Monopoussoir Chronograph จากคอลเลคชั่น Cartier Privé คาร์เทียร์จุดประกายให้เกิดการผสนผสานกันอย่างไม่คาดฝัน ระหว่างงานสร้างภาพเหมือนจริงกับงานนามธรรม ผ่านคอลเลคชั่น Jewellery Watches ที่พลิกโฉมมวลสัตว์แห่งคาร์เทียร์ และนำไปสู่การรับรู้ที่ไม่เหมือนเดิม เวทย์มนตร์เชื้อเชิญให้เรามาเล่นกับปริศนาแห่งเวลา ที่บางครั้งก็เป็นปรากฏการณ์ทางการมองเห็น เช่น Reflection de Cartier ที่บิดเบือนความเป็นจริงให้กลายเป็นสิ่งในจินตนาการ และบางครั้งก็เป็นการบอกเวลาที่ไปไกลเกินความคาดหมาย เช่น เรือนเวลา Santos-Dumont Rewind ที่บันดาลให้เวลาเดินถอยหลัง ผ่านกลไกที่ขับเคลื่อนให้เข็มนาฬิกาหมุนกลับด้าน หรือ Santos de Cartier Dual Time ที่เผยช่วงเวลาพร้อมกันในสถานที่ต่างไทม์โซนได้
Cartier Privé Collection
การกลับมาครั้งล่าสุดของ Cartier Privé คือการนัดพบประจำปีครั้งที่ 8 สำหรับคนรักนาฬิกา โดยในปีนี้นำ Tortue หนึ่งในเรือนเวลาที่ทรงเกียรติสูงสุดของเมซง มานำเสนอในรูปแบบร่วมสมัย หลายปีที่ผ่านมาเรือนเวลาหายากได้ทยอยกันเปิดตัว ไม่ว่าจะเป็น Crash, Tank Cintrée หรือ Tonneau ที่ต่างก็ได้รับการดีไซน์ใหม่ บนความใฝ่ฝันเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ การนำเทคนิคมารองรับสุนทรียะ สำหรับปีนี้คาร์เทียร์เลือกกลไกโมโนปูซัวร์ โครโนกราฟ คอมพลิเคชั่น มานำเสนอ
Tortue ถือกำเนิดในปี 1912 โดยมีที่มาจากวิสัยทัศน์เชิงสร้างสรรค์เปี่ยมพลัง ในการสร้างบทสนทนาระหว่างความโค้งกับเส้นสายที่ขึงตึง เรือนเวลา Tortue โฉมใหม่ซึ่งบอกเวลาเป็นหลักชั่วโมงและนาที ยังคงยึดมั่นในดีไซน์เดิมแต่มีการปรับรายละเอียดอย่างแนบเนียนด้วยขอบข้างตัวเรือนที่โค้งและยาวไปจรดกับสาย และรูปทรงที่เพรียวบางกว่าเดิมเมื่อมองจากด้านข้าง ทั้งน้ำหนักยังเบากว่าเดิม ประดิษฐกรรมเวลาเรือนนี้ยังได้ย้อนรำลึกผลงานแรกในตระกูล Tortue ด้วยเข็มนาฬิการูปทรงแอปเปิ้ล และแถบบอกนาทีแบบรางรถไฟ ที่เรียงตัวตามรูปทรงสุดไอคอนิคของตัวเรือน ซึ่งทำให้การอ่านเวลาบนหน้าปัดยิ่งง่ายกว่าเดิม เวอร์ชั่นใหม่บอกเวลาเป็นชั่วโมง/นาที ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 200 เรือน พร้อมหมายเลขกำกับ ส่วนเวอร์ชั่นตัวเรือนแพลทินัม ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือน
กลไกโมโนปูซัวร์ โครโนกราฟ ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในเรือนเวลา Tortue เมื่อปี 1928 ก่อนจะได้รับการตีความใหม่อย่างโดดเด่นในปี 1998 ในฐานะส่วนหนึ่งของคอลเลคชั่น Privée Cartier Paris โดยมาพร้อมรายละเอียดที่ภูมิฐานสง่างามดังที่เราเห็นในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเข็มนาฬิกาสตีลสีน้ำเงินรูปทรงแอปเปิ้ล เข็มวินาทีที่เจาะเป็นช่องกลม หรือลายสามเหลี่ยมบนมุมหน้าปัดทั้งสี่มุม
เมื่อดูหน้าปัดจะเห็นว่าตำแหน่งของแถบบอกนาทีแบบรางรถไฟ ได้ขยับออกไปเป็นกรอบนอกของตัวเลขโรมัน เพื่อเปิดพื้นที่บนหน้าปัดทั้งหมดให้กับวงจับเวลาทั้งสอง ส่วนฟังก์ชั่น Start, Stop, Reset นั้นควบคุมด้วยปุ่มกดบนเม็ดมะยม และทำงานด้วยการกดเพียงครั้งเดียว จักรกลนาฬิกาบางเฉียบเพียง 4.3 มม. ขึ้นแท่นจักรกลโครโนกราฟที่บางที่สุดของ Cartier
ความท้าทายของผู้ประดิษฐ์นาฬิกา ความซับซ้อนที่มองเห็นได้ผ่านฝาหลัง ความมหัศจรรย์ของชุดเฟืองจักรที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะคอลัมน์วีล ชิ้นส่วนสำคัญที่ควบคุมการทำงานของเลเวอร์ทุกตัว และสร้างความท้าทายในแง่การผลิตและการปรับแต่ง การผสานความเชี่ยวชาญเข้ากับฝีมือช่างชั้นสูง คือเอกลักษณ์สำคัญของจักรกลคาลิเบอร์ 1928 MC ที่ตกแต่งผิวสัมผัสอย่างงดงามเหนือระดับความโค้งมนของตรา Côte de Genève ช่วยขับเน้นรูปทรงของสะพานให้โดดเด่น ทั้งเลเวอร์ ลานสปริง และเฟืองสะพานล้วนมาในดีไซน์ลาดเอียง แต่งผิวโลหะแบบปัดด้าน ส่วนตัวจักรและบาร์เรลก็ตกแต่งขอบอย่างประณีต การเล่นกับความแตกต่างระหว่างวงจับเวลาสีฟ้า หน้าปัดโอพาลีนสีเงิน ตัวเลขโรมันผิวสัมผัสโรเดียม ทำให้ได้ผลลัพธ์เป็นเรือนเวลาที่ถ่ายทอดความกลมกลืนเชิงสีสันระหว่างแพลทินัมกับทับทิมคาโบชงซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Cartier ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 200 เรือน พร้อมหมายเลขกำกับ
Animal Jewellery Watches
สัตว์สัญลักษณ์แห่งอาณาจักรสัตว์ของคาร์เทียร์ เปี่ยมด้วยเสน่ห์และความดุดัน ปรากฏกายในประดิษฐกรรมในเรือนเวลาของเมซงมาตั้งแต่ปี 1914 ซึ่งเป็นปีที่ลวดลายเสมือนขนเสือแพนเตอร์มาปรากฏเป็นครั้งแรกบนตัวเรือนนาฬิกา
ในปีนี้การผสมผสานอันน่าหลงใหลได้ถือกำเนิดขึ้นจากการพบกันระหว่างม้าลายและจระเข้ เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการรังสรรค์เรือนเวลาประดับอัญมณีเต็มตัวเรือน โดดเด่นด้วยลายเรขศิลป์และลวดลายจากธรรมชาติ การรังสรรค์แถบลายแต่ละแถบใช้วิธีลงแลคเกอร์ด้วยมือ ซิลลูเอ็ทของสัตว์ลูกผสมในจินตนาการ ตวัดรอบหน้าปัดรูปเพชร (ทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน) โอบล้อมไว้อย่างแนบชิด ขณะที่ความประณีตของงานแกะสลักรอบเม็ดพลอยแต่ละเม็ด สะท้อนให้เห็นความเชี่ยวชาญของเมซง
“ผลงานใหม่เหล่านี้เข้ามาเพิ่มความหลากหลายให้เรือนเวลาลายสรรพสัตว์ของ Cartier และไม่ว่าจะเป็นสไตล์เหมือนจริงหรือนามธรรม สมจริงหรือเหนือจินตนาการ ก็ล้วนถ่ายทอดความงามของธรรมชาติออกมาให้เห็น ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ธีมนี้ได้ผ่านการรังสรรค์ขึ้นใหม่ นับเป็นการสำรวจสุนทรียะที่ทรงคุณค่า และเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกตลอดจนพลังในเชิงสัญลักษณ์” ปิแอร์ ไรเนโร ผู้อำนวยการฝ่ายภาพลักษณ์ สไตล์ และมรดก Cartier
คอลเลคชั่น Reflection De Cartier
ก้าวผ่านสู่อีกด้านของกระจก ที่ซึ่งกาลเวลาเริงเล่นกับรูปลักษณ์ หลังจาก Clash [Un]limited และ Coussin มาถึง Reflection de Cartier การเดินทางที่เต็มไปมนตร์ขลัง ภาพลวงตา และความน่าหลงใหล ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง สมดังคำกล่าวของคอลเลคชั่นที่ว่า “ถ่ายทอดปริศนาแห่งกาลเวลาผ่านงานสร้างสรรค์ที่หาญกล้า” ผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านรูปทรงของ Cartier ได้ผลลัพธ์เป็นเรือนเวลาที่ผนวกความเชี่ยวชาญของช่างนาฬิกาและช่างจิวเวลรี่ของเมซง
โดยมีจุดเริ่มต้นจากสายนาฬิกาทรงกำไล ที่มีขนาดใหญ่กว่าครั้งใดๆ และโดดเด่นด้วยลวดลายทองฉลุ สลับกับทองคำขัดเงาผิวกระจก ด้วยเส้นสายที่เหยียดยาวและขอบที่คมชัด แรงตึงในเส้นสายบรรจบลงที่หน้าปัดนาฬิกา ประสานกับภาพสะท้อนของหน้าปัดราวกับกาลเวลากำลังเดินถอยหลัง กระจกหน้าปัดแบบลาดเอียงสร้างความพราวตาดุจอัญมณี เน้นย้ำอัตลักษณ์ของเรือนนาฬิกา ที่ทรงไว้ซึ่งความประณีตและภูมิฐานอย่างสมดุล โครงสร้างนี้ได้ก่อกำเนิดเรือนเวลาไวท์โกลด์ ที่ตกแต่งด้วยวัสดุหลากหลาย เมื่อจับคู่กับการฝังอัญมณีแบบต่างๆ เช่น การฝังแบบสโนว์เซ็ตติ้งคู่กับ inverted setting จึงได้ผลลัพธ์ที่แพรวพราวดึงดูดใจทั้งยามมองและยามสัมผัส
คอลเลคชั่น Santos De Cartier และ Santos-Dumont
พิชิตห้วงเวหา เล่นกับแนวคิดเรื่องเวลา และท้าทายแรงโน้มถ่วงของโลก มรดกความหาญกล้าของยอดนักบิน อัลแบร์โต้ ซานโตส-ดูมงต์ ฉายชัดอยู่ในคอลเลคชั่นใหม่ ที่ถ่ายทอดทั้งจิตวิญญาณ สไตล์ และมนต์ขลังของนักบุกเบิกผู้มีจิตวิญญาณเสรีออกมาได้อย่างชัดเจน ด้วยความซื่อตรงต่อแบบฉบับที่ไม่เหมือนใครและความชาญฉลาดของนักบินผู้นี้ คาร์เทียร์จึงได้สืบทอดการผจญภัยผ่านเรือนเวลาระดับไอคอน ที่นำมาจินตนาการใหม่ถึง 2 เวอร์ชั่นด้วยกัน เรือนแรก Santos-Dumont Rewind ความสง่างามที่มาพลิกขนบการบอกเวลา และเรือนที่ 2 Santos de Cartier Dual ที่แสดงเวลาพร้อมกันถึง 2 โซนเวลา
ด้วยความหาญกล้าที่จะพลิกโฉมเวลา ประดิษฐกรรมเรือนเวลา Santos de Cartier Dual Time รุ่นล่าสุด จึงสามารถพิชิตระยะทางได้ เช่นเดียวกับที่ยอดนักบิน อัลแบร์โต้ ซานโดส-ดูมงต์ เคยทำสำเร็จมาแล้ว กลไกจักรกลแบบขึ้นลานอัตโนมัติ รวม 2 ไทม์โซนไว้ในเรือนเดียว ช่วยให้ผู้สวมใส่รู้เวลา ณ ตำแหน่งที่อยู่ในปัจจุบัน และตำแหน่งต้นทางที่จากมาได้พร้อมกัน
แนวเส้นที่สอบเข้าหากัน สอดคล้องกับสรีระ ประสานพลังของเส้นสายตัวเรือนกับสายนาฬิกา ช่วยให้เรือนเวลาในเวอร์ชั่นสตีลเผยความสง่างามผ่านรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเข็มรูปดาบผิวสัมผัสโรเดียมเคลือบวัสดุเรืองแสง เม็ดมะยมเจ็ดเหลี่ยม หรือหน้าต่างสีเทาแสดงโซนเวลาที่ 2 ซึ่งสามารถปรับได้ตามต้องการ
Santos de Cartier เป็นที่สุดในด้านการใช้งาน สายนาฬิกาทุกเวอร์ชั่นมาพร้อมสายสตีลและสายหนังที่ถอดเปลี่ยนง่ายด้วยระบบ QuickSwitch ซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตร กลไกล่องหนและไร้รอยต่อ ผสานกลมกลืนอย่างลงตัวกับสถาปัตยกรรมตัวเรือน สายแบบโลหะสามารถปรับความยาวได้ใกล้เคียงขนาดข้อมือมากที่สุด ด้วยระบบปรับขนาด SmartLink ที่ไม่ต้องใช้เครื่องมือ และได้รับการจดสิทธิบัตรอันเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ การเปลี่ยนวิถีแห่งเวลาคือเป้าหมายสูงสุดทั้งในเชิงเทคนิคและสุนทรียะของ Santos-Dumont Rewind ประดิษฐกรรมเวลาที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นใหม่ทั้งเรือน
หน้าปัดคาร์เนเลียนดูเด่นสะดุดตาแต่แรกเห็น และเมื่อพิจารณาลึกลงไปก็ยิ่งเห็นความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์ของเรือนเวลาแพลทินัมรุ่นลิมิเต็ด นั่นคือตัวเลขโรมันที่เรียงทวนเข็มนาฬิกา พลิกขนบการบอกเวลาไปอย่างสิ้นเชิง การประดิษฐ์เรือนเวลารุ่นลิมิเต็ดด้วยความสร้างสรรค์ไม่ซ้ำใคร เปรียบเสมือนการเดินตามรอยอันเปี่ยมมนตร์ขลังและไม่ซ้ำแบบใครของยอดนักบิน อัลแบร์โต ซานโตส-ดูมงต์ ผู้ทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้เสมอ เข็มนาฬิการูปทรงแอปเปิ้ลพร้อมกลไกไขลานกลับด้าน คาลิเบอร์ 320 MC ขับเคลื่อนให้เข็มเดินถอยหลังแทนที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างนาฬิกาทั่วไป นาฬิกาไร้กาลเวลารุ่นนี้ถ่ายทอดความสง่างามของรุ่นออริจินัลปี 1904 และจิตวิญญาณนักบุกเบิกของซานโตส-ดูมงต์ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ดังจะเห็นได้จากการสลักลายเซ็นของซานโตส-ดูมงต์ ทั้งแบบปกติและแบบกลับด้าน ไว้ด้านหลังหน้าปัด ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 200 เรือน พร้อมหมายเลขกำกับ
29 ก.ย. 2567
29 ก.ย. 2567
29 ก.ย. 2567