CAROLE FORESTIER-KASAPI

ขุมพลังของนาฬิกา TAG Heuer Carrera Chronograph ที่รังสรรค์เพื่อร่วมฉลองการครบรอบ 60 ปีคอลเลกชัน Carrera เมื่อปีก่อน และบรรจุในผลงานรุ่นใหม่ของปีนี้ คือผลงานพัฒนาจากฝีมือของ Carole Kasapi ช่างนาฬิกาชาวฝรั่งเศสที่ถือกำเนิดในกรุงปารีส เธอเติบโตมาในครอบครัวของช่างทำนาฬิกา และดีกรีช่างนาฬิกาสองใบจาก CIFOM (centre interrégional de formation des montagnes neuchâteloises) ใน La Chaux-de-Fonds ทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนากลไกนาฬิกาโดยเฉพาะกลไกซับซ้อนของนาฬิการะดับสูง ด้วยประสบการณ์มากมายทั้งจาก Renaud et Papi (APRP SA) และ Richemont Group ที่รังสรรค์กลไกสำคัญให้กับ Cartier หลายชุด ตั้งแต่ปี 2005 ก่อนที่เธอจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ TAG Heuer ในปี 2020 ในตำแหน่งผู้อำนวยการด้านกลไก โดยให้การสนับสนุนการออกแบบและพัฒนากลไก ซึ่งมีโปรเจกต์สำคัญก็คือการพัฒนาชุดกลไก Heuer 02 เครื่องอินเฮาส์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นนั่นเอง เธอผู้มีฝีมือระดับช่างนาฬิกายอดเยี่ยมที่ได้รับรางวัลจาก GPHG หรือ Grand Prix de l’Horlogerie de Genève ในปี 2012 และอีกหลายรางวัล เช่น Prix Gaïa และ Prix Abraham-Louis Breguet ได้มาร่วมแบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนากลไกนาฬิกาให้กับ TAG Heuer กับเราระหว่างงาน Watches & Wonders Geneva 2024 ที่ผ่านมา

อะไรคือความท้าทายสำหรับคุณเมื่อต้องพัฒนาคาลิเบอร์ 02 สู่ชุดกลไกคาลิเบอร์ TH20-00 ให้กับคอลเลกชัน Carrera Chronograph ใหม่?
การพัฒนาคาลิเบอร์ TH20-00 จากคาลิเบอร์ 02 ที่มีอยู่สำหรับคอลเลกชัน Carrera Chronograph ใหม่ เป็นการนำเสนอความท้าทายในหลายแง่มุม ประการแรก เราต้องการที่จะแน่ใจว่ากลไกยังคงเข้ากันได้กับดีไซน์และรายละเอียดเฉพาะของนาฬิกาคอลเลกชันใหม่ ขณะเดียวกันก็จะต้องเพิ่มประสิทธิภาพและฟังก์ชันการทำงานไปด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิศวกรรมมีความพิถีพิถันในการปรับปรุงสถาปัตยกรรมกลไก ชิ้นส่วนกลไก และการขัดแต่งกลไก เพื่อให้ตรงตามมาตรฐานระดับสูงที่ TAG Heuer คาดหวังไว้ นอกจากนี้ เรายังมุ่งมั่นที่จะเพิ่มประสิทธิภาพความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือ รวมถึงการสำรองพลังงานเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานนาฬิกา Chronograph อันเหนือกว่าให้กับลูกค้าของเรา

เกิดอะไรขึ้นบ้างสำหรับกลไกคาลิเบอร์ TH20-00 ซึ่งได้รับการพัฒนาการไขลานจากแบบทิศทางเดียวเป็นสองทิศทาง?
การขึ้นลานแบบสองทิศทางหรือ bi-directional winding ในคาลิเบอร์ TH20-00 แสดงถึงความก้าวหน้าทางเทคนิคที่สำคัญ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของกลไก ความสามารถในการขึ้นลานได้สองทิศทางนี้ ทำให้เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบการขึ้นลานของกลไกที่ดีขึ้น ช่วยให้สามารถควบคุมพลังงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นจากการหมุนเหวี่ยงของโรเตอร์ทั้งทิศทางตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกา ผลลัพธ์นี้ทำให้การขึ้นลานมีความราบรื่น ลดการสึกหรอของชิ้นส่วนกลไก และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของกลไก

แนวคิดในการสร้างสรรค์คอลเลกชันเรือนเวลา Monaco Split-Seconds Chronograph ในแง่ของเทคนิคเป็นอย่างไร?
แนวคิดในการสร้างสรรค์คอลเลกชันนาฬิกา Monaco Split-Seconds Chronograph มีความโดดเด่นจากระบบจับเวลาแยกเข็ม หรือ Rattrapante อันมีความสลับซับซ้อนสูง โดยผสมผสานความซับซ้อนทางเทคนิคและวิศวกรรมที่มีความเที่ยงตรงแม่นยำ ฟังก์ชันการจับเวลาแยกเข็มวินาทีช่วยให้สามารถจับเวลาสองเหตุการณ์แยกกันได้ในช่วงเวลาเดียวกันได้ ทำให้สามารถทราบผลการจับเวลาของเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำ ความซับซ้อนทางเทคนิคนี้จำเป็นต้องอาศัยการทำงานที่สอดประสานกันที่มีความละเอียดอ่อนของเข็มนาฬิกาและกลไกโครโนกราฟ เพื่อให้มั่นใจถึงการทำงานและการประสานงานของระบบจับเวลาสองระบบที่เกิดขึ้นพร้อมกันที่มีประสิทธิภาพความเที่ยงตรง

ความท้าทายในการสร้างสรรค์คาลิเบอร์ TH81-00 สำหรับนาฬิกา Monaco Split-Seconds Chronograph เป็นอย่างไร?
การสร้างสรรค์คาลิเบอร์ TH81-00 สำหรับนาฬิกา Monaco Split-Seconds Chronograph ก่อให้เกิดความท้าทายหลายสิ่งด้วยกัน โดยหลักๆ แล้วเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความซับซ้อนของระบบ Rattapante ที่มีรายละเอียดมากมาย การได้มาซึ่งการประสานงานอันเที่ยงตรงและการทำงานที่สอดประสานกันของระบบจับเวลาแยกเข็มวินาทีจำเป็นต้องมีแนวทางวิศวกรรมอันเข้มงวดและการทดสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อให้แน่ใจว่าทำให้เกิดการทำงานที่ราบรื่นและการจับเวลาที่แม่นยำ นอกจากนี้การเสริมประสิทธิภาพในเรื่องของพลังสำรองลานและการรักษาการทำงานบนความถี่สูงที่มีเสถียรภาพถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาในครั้งนี้

อะไรคือเรื่องที่ TAG Heuer ให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษในแง่ของการพัฒนาทางเทคนิคในปัจจุบัน?
สิ่งที่ถือเป็นเรื่องหลักที่ TAG Heuer ให้ความสำคัญทางด้านเทคนิคในวันนี้คือการสร้างสรรค์นวัตกรรม ประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือ เรามุ่งมั่นในการผลักดันขอบเขตของการผลิตนาฬิกาบนวิถีดั้งเดิมด้วยการควบรวมเอาเทคโนโลยี วัสดุ และคุณสมบัติอันล้ำสมัยมานำเสนอในผลิตภัณฑ์นาฬิกาของเรา ซึ่งรวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพความเที่ยงตรงแม่นยำของกลไกของเราด้วย การพัฒนาความทนทานและฟังก์ชันการทำงาน ไปจนถึงการผสมผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าของเราที่ยกระดับมากยิ่งขึ้น

คุณมองเทรนด์ของนวัตกรรมทางเทคนิคในอุตสาหกรรมนาฬิกาอย่างไร?
นวัตกรรมทางเทคนิคโดดเด่นได้จากการแสวงหาความเป็นเลิศและความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง มีการเน้นในเรื่องของการผสมผสานเทคโนโลยีอันล้ำสมัยในแขนงต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น อย่างเช่น การใช้วัสดุที่มีความล้ำสมัย วิศวกรรมในเรื่องของความเที่ยงตรงแม่นยำ และการเชื่อมต่อแบบดิจิทัล เพื่อเพิ่มในเรื่องของฟังก์ชันการทำงานและประสิทธิภาพของนาฬิกาที่ดีขึ้น

คุณสามารถที่จะคงความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไรในโลกที่อุตสาหกรรมและจักรกลกำลังเติบโตขึ้นในการใช้ชีวิตของเรา?
เราต้องมีความคิดสร้างสรรค์ ความเฉลียวฉลาด และความสามารถในการปรับตัวเสมอๆ ที่ TAG Heuer เราส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมด้วยการส่งเสริมให้มีการทดลองทำ ร่วมกันทำงาน และสำรวจแนวคิดและเทคโนโลยีต่างๆ เรามีการลงทุนในเรื่องของการวิจัยและการพัฒนาที่จะก้าวข้ามขอบเขตแห่งการผลิตนาฬิกาแบบดั้งเดิมและโอบรับเทรนด์และนวัตกรรมใหม่ๆ นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับความคิดเห็นจากลูกค้าและข้อมูลเชิงลึกทางการตลาด เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของเรา ยังคงเชื่อมโยงและยังคงเป็นนวัตกรรมในอุตสาหกรรมที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว

คุณคิดว่าอะไรคือความท้าทายอย่างเฉพาะเจาะจงในการผลิตนาฬิกาในปัจจุบัน?
ความท้าทายหลักคือการสร้างสมดุลที่เหมาะสมระหว่างนวัตกรรมและความดั้งเดิม ขณะที่การผสมผสานเทคโนโลยีและความสามารถต่างๆ ที่มีความก้าวหน้าสามารถเพิ่มศักยภาพของการทำงานและประสิทธิภาพของนาฬิกาได้ อย่างไรเสียก็ยังคงจำเป็นที่จะต้องรักษางานฝีมือที่ไร้กาลเวลา ความสวยงามที่น่าหลงใหล และความสมบูรณ์ของกลไกไว้ ให้เพื่อสะท้อนนิยามแห่งการผลิตนาฬิกาที่หรูหรา สิ่งนี้ต้องการการคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนในเรื่องของการออกแบบ การใช้วัสดุ และขั้นตอนในการผลิต เพื่อให้แน่ใจว่านวัตกรรมได้เข้ามาเติมมากกว่าการบดบังความเป็นศิลปะและมรดกแห่งการผลิตนาฬิกา