Last updated: 17 ต.ค. 2568 | 320 จำนวนผู้เข้าชม |
เพื่อฉลองวาระครบรอบ 250 ปี แห่งการก่อตั้ง Manufacture Breguet เบรเกต์รังสรรค์เรือนเวลาคอลเลกชัน ReinedeNaples (แรนเดอนาปล์) รุ่นใหม่กับ Ref9935 และ 8925 โดยรุ่นแรกมาพร้อมกลไกใหม่หน้าปัดดีไซน์ถอดแบบมาจากรุ่นต้นฉบับอีกทั้งหลากหลายรายละเอียดความงามที่รังสรรค์ขึ้นเพิ่มพิเศษส่วนอีกรุ่นเผยโฉมพร้อมหน้าปัดที่ออกแบบขึ้นใหม่จับคู่กับสายนาฬิกาทองคำทั้งเส้น ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองรุ่นรังสรรค์ด้วยวัสดุ Breguet Gold เรือนเวลาทั้งคู่นั้นสามารถสวมใส่ได้ในหลากโอกาสเสมือนดังเครื่องประดับอัญมณีอันล้าค่าคู่กายที่จะเติมเต็มทุกช่วงเวลาไม่ว่าจะสวมใส่ในทุกๆ วันหรือทำกิจกรรมใดๆ ก็ตาม
คอลเลกชัน Reine de Naples ได้รับแรงบันดาลใจจากเรือนเวลาที่รังสรรค์ขึ้นระหว่างปี 1810 ถึง 1812 เพื่อถวายแด่ Caroline Murat (คาโรลีนมูราต์) พระขนิษฐาของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ผู้ซึ่งภายหลังได้ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีแห่งเนเปิลส์ และยังทรงเป็น นักสะสมผลงานชั้นเลิศของ Breguet มากมาย แม้ว่าในปัจจุบันนาฬิกาเรือนต้นแบบนี้จะไม่มีแล้ว แต่จากบันทึกของเวิร์กช็อป ณ Quai de l’Horloge (คเวเดอ ลอจ์) ทำให้เราได้ทราบรายละเอียดสาคัญสองประการ
ประการแรก คือรูปทรงรีอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคอลเลกชันร่วมสมัยในปัจจุบันประการที่สอง คือข้อเท็จจริงที่ว่านาฬิกาเรือนนี้ถูกออกแบบให้สวมใส่บนข้อมือโดยเฉพาะ ซึ่งถือได้ว่าเป็นนาฬิกาข้อมือเรือนแรกในประวัติศาสตร์แห่งวงการประดิษฐ์นาฬิกาเลยทีเดียว
Breguet ตอกย้ำสายสัมพันธ์อันยาวนานกับลูกค้าสุภาพสตรีผู้นี้ เพราะนับตั้งแต่วันแรกของการก่อตั้ง แบรนด์ได้รังสรรค์เรือนเวลาสาหรับผู้หญิงมาโดยตลอด จากนาฬิกาข้อมือเรือนแรกของโลก ไปจนถึงนาฬิกา พกระดับตานานอย่าง “Marie-Antoinette” (มารี อ็องตัวแน็ต) ที่ได้รับการยกย่องยาวนานเกือบศตวรรษว่าเป็นหนึ่งในนาฬิกาที่ซับซ้อนที่สุดในโลก
ด้วยมรดกทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า และความใส่ใจต่อความปรารถนาของผู้ครอบครอง Breguet จึงได้รังสรรค์สายนาฬิการูปแบบใหม่ สาหรับเรือนเวลา รุ่น 8925 และ 9935 เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวาระครบรอบอันสำคัญของแบรนด์
Reine de Naples 9935
นิยามใหม่แห่งเรือนเวลาที่ถ่ายทอดความเป็นผู้หงิง
Reine de Naples 9935 คือเรือนเวลาเรือนแรกสำหรับสุภาพสตรีโดยแท้ ที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 250 ปีของ Manufacture Breguet โดยแต่ละเรือนจะสลักสัญลักษณ์พิเศษเพื่อเป็นที่ระลึกสาหรับโอกาสสำคัญนี้ โดยบัดนี้ ทั้งสี่รุ่นภายใต้รหัส 9935 นั้นเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชันหลักอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว
เพื่อรังสรรค์เรือนเวลาอันงดงามนี้ Breguet ถ่ายทอด แรงบันดาลใจจากตัวเรือนของรุ่นที่มีอยู่เดิม พร้อมเพิ่มเติมกลไกที่พัฒนาขึ้นใหม่ รวมถึงฟังก์ชัน moonphase (มูนเฟส) แสดงข้างขึ้นข้างแรมขนาดใหญ่ขึ้น เกิดเป็นศิลปะแห่งเครื่องบอกเวลาอันงดงามบริสุทธิ์
และนี่จะเป็นครั้งแรกที่นาฬิกาคอลเลกชัน Reinede Naples รุ่นที่มีฟังก์ชั่น moonphase จะไม่มีมาตรแสดงพลังงานสำรอง เพื่อเน้นที่การแสดงเวลา ชั่วโมง นาที รวมถึงหน้าปัดย่อยแสดงวินาที และแสดงข้างขึ้นข้างแรม
ด้วยการตัดฟังก์ชันแสดงพลังงานสำรองออกไป ทำให้ฟังก์ชันมูนเฟสขยายใหญ่ขึ้นอย่างงดงามและยิ่งโดดเด่นขึ้นกว่าเดิม
อีกหนึ่งความพิเศษที่ปรากฏเป็นครั้งแรกในคอลเลกชัน Reinede Naples คือการประดับเพชรทรงหยดน้ำรวม หกเม็ดระหว่างตัวเลขอารบิกแบบเฉพาะของ Breguet หรือ Breguet Arabicnumerals ที่ทาจากทองคำ
ด้านหลังของเรือนเวลาเผยให้เห็นความพิเศษเฉพาะรุ่นด้วยคำสลัก “BREGUET 250 YEARS” บนกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ซึ่งเผยให้เห็นโรเตอร์ทาจากแพลทินัม 950 ประดับด้วยลวดลายปิดทองอย่างประณีตด้วยเทคนิค Breguet gilding
และเป็นครั้งแรกเช่นกันที่มีการสลักตกแต่งโรเตอร์ด้วยลวดลาย guilloche (กิลโยเช) แกะสลักมือแบบ “Petit Trianon” ซึ่งรังสรรค์ขึ้นสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ ขณะที่ฝาหลังยังคงความงดงามด้วยลวดลายสลักแบบ “Quaide l’Horloge” ในรูปแบบวงกลมล้อมรอบขอบกระจก
เพื่อเติมเต็มการจัดวางองค์ประกอบแบบใหม่นี้ให้ยิ่งงดงาม Manufacture Breguet ได้ดีไซน์หน้าปัดใหม่ ถึงสามแบบสาหรับรุ่น 9935 โดยแบบที่โดดเด่นที่สุดคือตัวเรือนทอง Breguet gold พร้อมหน้าปัดเล่นระดับ สองชั้น หน้าปัดชั้นบนซึ่งงดงามจับตาตั้งแต่แรกเห็น ผลิตจากแก้ว Aventurine (อะเวนทูรีน) วัสดุล้ำค่าที่มีเรื่องราวเล่าขานว่าเกิดขึ้นจากความบังเอิญ โดยช่างทำแก้วแห่งตระกูล Murano (มูราโน) ในอดีต บังเอิญทำผลึกทองแดงตกลงไปในเนื้อแก้วระหว่างกระบวนการหลอมโดยไม่ตั้งใจ
ชื่อ “Aventurine” มาจากคาภาษาอิตาเลียนว่า “aventura” ซึ่งมีความหมายว่า “โดยบังเอิญ” สะท้อนถึงที่มาของการค้นพบอันงดงามนี้ และด้วยธรรมชาติของวัสดุที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ละเรือนจึงเปล่งประกาย ไม่ซ้ำกัน ทาให้ทุกเรือนมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างแท้จริง และวันนี้ Breguet นาเสนอในเวอร์ชันอะเวนทูรีนสีน้าเงิน
เพื่อแต่งเติมมิติประกายตามธรรมชาติให้ลุ่มลึกยิ่งขึ้น Breguet Manufacture ได้ซ้อนแผ่นมุก mother-of-pearl จากตาฮิติไว้ใต้แผ่นแก้วอะเวนทูรีนอีกชั้นหนึ่ง ที่โดดเด่นด้วยประกายเหลือบมุกตามธรรมชาติ ล้อแสงตามแต่ละช่วงเวลาของวัน ราวกับแสงเหนือออโรร่า
องค์ประกอบจากเรือนต้นแบบนี้ เมื่อผสานเข้ากับประกายสีน้าเงินของแก้วอะเวนทูรีนที่แต่งแต้มด้วย ผลึกทองแดงละเอียด ยิ่งส่งให้ Reinede Naples รุ่นนี้เปล่งประกายเรืองรองดุจดั่งราตรีประดับดาว งดงามกลมกลืนกับมูนเฟสอย่างสมบูรณ์แบบ
ดวงจันทร์บนหน้าปัดมีลักษณะเป็นโดมโค้งเล็กน้อย รังสรรค์จากมุก mother-of-pearl สีขาว ประดับอยู่บนแผ่นดิสก์แก้วอะเวนทูรีนสีน้ำเงิน ขับให้ดวงจันทร์แลดูสว่างโดดเด่นยิ่งขึ้น ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในคอลเลกชัน Reinede Naples เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีลายเซ็นลับของ Breguet อีกด้วย ส่วนเหล่าดวงดาวที่ล่องลอยอยู่บนพื้นผิวโปร่งใสเปล่งประกายสีขาวเหลือบมุก จากแผ่นเปลือกหอยมุก ซึ่งจะมีเพียงสุภาพสตรีผู้สวมใส่นาฬิกาเรือนนี้เท่านั้น ที่จะได้ชื่นชมความงดงามนี้ เมื่อตั้งใจสังเกตอย่างละเอียด
Reine de Naples รุ่นรหัส 9935 คือเรือนเวลา Reine de Naples รุ่นแรกที่รังสรรค์ขึ้นด้วยตัวเรือนทองคำ Breguet gold โดยตัวเรือนโดดเด่นด้วยข้อต่อทรงกลม ณ ตำแหน่งหกนาฬิกา ประดับเพชรด้วยเทคนิคการฝังแบบ snow-setting ซึ่งรูปทรงของข้อต่อทรงเรขาคณิตนี้เองเป็น แรงบันดาลใจให้กับสายนาฬิกาข้อกลาง ส่วนข้อสายขนาบข้างถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากรูปทรงรีอันเป็นเอกลักษณ์ของ Reinede Naples และไข่มุก ซึ่งเป็นเครื่องประดับที่สมเด็จพระราชินีกาโรลีนมูราต์ทรงโปรดปราน
สายนาฬิกาดีไซน์ใหม่นี้โอบรับกับข้อมือเป็นอย่างดี และยังสามารถปรับความยาวได้อย่างละเอียดแม่นยำถึงระดับมิลลิเมตรได้ที่บูติกของ Breguet ทุกแห่ง มาพร้อมตัวล็อก เอ็กซ์คลูซีฟแบบซ่อน (invisibleclasp) ที่ผสานเข้ากับดีไซน์อย่างกลมกลืนลงตัว
ทั้งสองรุ่นมาพร้อมสายนาฬิกาแบบใหม่ รุ่นแรกมาพร้อมหน้าปัดมุก mother-of-pearlสีขาว ส่วนอีกรุ่นประดับเพชร (เพชรจำนวน 1,387 เม็ด และบลูแซฟไฟร์อีก 1 เม็ด รวมกว่า 5.2 กะรัต) ขณะที่รุ่นหน้าปัดแก้วอะเวนทูรีน สีน้ำเงินมาพร้อมสายหนังอัลลิเกเตอร์เนื้อซาตินสีน้ำเงิน และสาหรับรุ่นหน้าปัดมุก mother-of-pearl สีขาวก็สามารถจับคู่กับสายหนังอัลลิเกเตอร์สีน้ำเงินได้เช่นกัน
Reine de Naples 8925
ความมินิมอลอันเป็นเอกลักษณ์
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 Abraham-Louis Breguet (อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์) ได้วางรากฐานการออกแบบที่เน้นความชัดเจนและอ่านค่าได้ง่าย ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ความงามของแบรนด์มาจนถึงปัจจุบัน รุ่นรหัส 8925 จึงถือเป็นการรำลึกถึงผู้ก่อตั้ง ผ่านเรือนเวลาจักรกลระบบขึ้นลานอัตโนมัติที่แสดงเวลาเฉพาะชั่วโมงและนาทีอย่างสง่างาม
กรอบตัวเรือนประดับเพชรมากกว่าเดิม โดยเพิ่มจาก 37 เป็น 41 เม็ด ยกระดับคุณค่าความเป็นเครื่องประดับอัญมณีของคอลเลกชัน รุ่นนี้จับคู่กับสายนาฬิกาทอง ในแบบฉบับของ Bregue ที่ออกแบบให้รับกับข้อต่อตัวเรือนทรงกลม ณ ตำแหน่งหกนาฬิกา และเป็นครั้งแรกที่มีการประดับเพชรด้วยเทคนิค snow-setting
เพื่อเพิ่มชีวิตชีวาให้กับเรือนเวลารุ่นใหม่รหัส 8925 Breguet นำเสนอหน้าปัดสามแบบที่สะท้อนบุคลิกที่แตกต่างอย่างงดงาม แบบแรกโดดเด่นด้วยหน้าปัดมุก extra-whitemother-of-pearl สีขาวบริสุทธิ์พิเศษ แหวนรองหน้าปัด (chapterring) จัดวางแบบoffset(เยื้องศูนย์) ประดับด้วยตัวเลขอารบิกแบบเฉพาะของ Breguet (Breguet Arabic numerals)ทาจากทองคา ที่อยู่บนพื้นลายสลัก guilloché“Quai de l’Horloge” แบบวงกลม
รุ่นที่สองเผยความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของ Breguet gold ที่ปรากฏอยู่แทบทั้งตัวเรือน ทั้งสายนาฬิกา ขอบข้างตัวเรือนสลักลายเซาะร่อง (flutedcaseband) และแหวนรองหน้าปัดที่สลักลวดลาย guilloché อันประณีต ณ ตำแหน่งเยื้องศูนย์บนพื้นหน้าปัดตกแต่งด้วยลวดลาย sunburst-brushed (ลายลาแสงพระอาทิตย์)
ส่วนรุ่นที่สามซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายโดดเด่นด้วยลูกเล่น การตัดกันอย่างมีศิลปะ แหวนรองหน้าปัดทองคำสลักลวดลาย guilloché เคลือบด้วยอีนาเมลสีดาเงางาม ขณะที่หน้าปัดส่วนบนตกแต่งด้วยแก้วอะเวนทูรีนสีดำระยิบระยับ
ทุกรุ่นล้วนประดับเพชรทรงหยดน้า ณ ตำแหน่ง12 นาฬิกาเหนือโลโก้ Manufacture Breguet
บทสัมภาษณ์ Gregory Kissling (เกรกอรี คิสลิง)
CEO ของ Breguet
เหตุใดนาฬิกา Reine de Naples ถือเป็นคอลเลกชันที่มีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับ Breguet? เพราะ Breguet รังสรรค์นาฬิกาสำหรับผู้หญิงมาโดยตลอด เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้หญิงโดยเฉพาะ แท้จริงแล้วผู้หญิงคือผู้ที่ออกแบบนาฬิกาเรือนแรกในประวัติศาสตร์ ที่สร้างขึ้นเพื่อสวมใส่บนข้อมือ ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1810 และนาฬิกาที่มีความซับซ้อนที่สุดเรือนหนึ่งในโลก ก็สร้างขึ้นสำหรับสุภาพสตรีเช่นกัน นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วน เพราะผู้หญิงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ Breguet จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา แบรนด์จึงได้รังสรรค์คอลเลกชันหนึ่งสาหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ
ในขณะที่หลายคนอาจตั้งคำถามถึงบทบาทของผู้หญิงในวงการนาฬิกา สาหรับ Breguet แล้วเราคือผู้บุกเบิกอย่างแท้จริง ช่วยเล่าถึงจุดเริ่มต้นของ Reine de Naples รุ่นใหม่นี้
เราต้องการสร้างสรรค์นาฬิกาที่สามารถสวมใส่ได้ทุกวัน ซึ่งเป็นทั้งเครื่องประดับอันทรงคุณค่าและเรือนเวลา ในหนึ่งเดียว จากแนวคิดนั้นเองจึงเกิดแรงบันดาลใจในการออกแบบสายนาฬิกาที่เป็นเครื่องประดับ ซึ่งสามารถอยู่คู่กายผู้สวมใส่ได้ตั้งแต่เช้าจรดค่า ไม่ว่าจะในโอกาสใดก็ตาม โดยไม่ได้เป็นเพียงรายละเอียดเชิงสุนทรียะเท่านั้น แต่ยังสร้างมิติใหม่ให้กับนาฬิกา เติมเต็มความล้ำค่า ความงดงามอ่อนช้อย และความร่วมสมัยอย่างลงตัว
ข้อต่อกลางประดับเพชร (pavé central attachment) ถือเป็นองค์ประกอบร่วมของนาฬิการุ่นใหม่ ทั้งเจ็ดรุ่น มีความพิเศษอย่างไร?
องค์ประกอบนี้ออกแบบให้เชื่อมต่อกับตัวเรือนรูปทรงรี และกลายเป็นชิ้นส่วนแรกของสายนาฬิกา ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากไข่มุกที่สมเด็จพระราชินีแห่งเนเปิลส์ทรงโปรดปราน การประดับเพชรแบบ snowsetting เป็นศิลปะที่รังสรรค์ด้วยมืออย่างประณีต ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ละเอียดอ่อนที่สุดในงานอัญมณี โดยจะคัดเลือกเพชรแต่ละเม็ดตามขนาดและประกาย ก่อนจะฝังลงไปทีละเม็ดอย่างพิถีพิถัน
แมันดูราวกับจัดวางเพชรแบบสุ่ม แต่ในความเป็นจริงคือผลงานที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและความแม่นยำระดับสูง การประดับอันปราณีตนี้สร้างพื้นผิวระยิบระยับดั่งผืนหิมะโดยปราศจากช่องว่างให้เห็นแม้แต่น้อย และเช่นเดียวกับผลงานชิ้นเอกทุกชิ้นที่ทำด้วยมือ ผลลัพธ์ที่ได้คือเรือนเวลาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
สายนาฬิกาดีไซน์ใหม่นี้โอบรับกับข้อมือเป็นอย่างดี และยังสามารถปรับความยาวได้อย่างละเอียดแม่นยำถึงระดับมิลลิเมตรได้ที่บูติกของ Breguet ทุกแห่ง มาพร้อมตัวล็อก เอ็กซ์คลูซีฟแบบซ่อน (invisibleclasp) ที่ผสานเข้ากับดีไซน์อย่างกลมกลืนลงตัว
ทั้งสองรุ่นมาพร้อมสายนาฬิกาแบบใหม่ รุ่นแรกมาพร้อมหน้าปัดมุก mother-of-pearl สีขาว ส่วนอีกรุ่นประดับเพชร (เพชรจานวน 1,387 เม็ด และบลูแซฟไฟร์อีก 1 เม็ด รวมกว่า 5.2 กะรัต) ขณะที่รุ่นหน้าปัดแก้วอะเวนทูรีน สีน้าเงินมาพร้อมสายหนังอัลลิเกเตอร์เนื้อซาตินสีน้ำเงิน และสาหรับรุ่นหน้าปัดมุก mother-of-pearl สีขาวก็สามารถจับคู่กับสายหนังอัลลิเกเตอร์สีน้ำเงินได้เช่นกัน
บทสัมภาษณ์ Emmanuel Breguet (เอมมานูเอล เบรเกต์)
Head of Patrimony
เหตุใดคอลเลกชันนี้จึงมีชื่อว่า “Reine de Naples”?
ชื่อนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ลูกค้าคนสำคัญของอับราฮัม-หลุยส์เบรเกต์ผู้ซึ่งมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับแบรนด์ นั่นคือสมเด็จพระราชินีกาโรลีนมูราต์ (CarolineMurat) ราชินีแห่งเนเปิลส์ และพระขนิษฐาของจักรพรรดินโปเลียน โดยทรงได้รู้จัก Breguet ในปี ค.ศ. 1806 ขณะมีพระชนม์เพียง 23 พรรษา และกลายเป็นหนึ่งในลูกค้าคนสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ โดยทรงครอบครองเรือนเวลา Breguet รวมถึงนาฬิกาตั้งโต๊ะมากถึง 34 เรือน ไม่เพียงเท่านั้น สมาชิกในราชวงศ์ของพระองค์ก็เป็นผู้อุปถัมภ์ของ Breguet เช่นกัน จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทรงเป็นลูกค้าตั้งแต่ปี 1798 รวมถึงพระอนุชาอีกสามพระองค์คือ หลุยส์, โจเซฟ และเฌอโรม รวมทั้ง พระขนิษฐาอีกสองพระองค์คือ โพลีน และเอลิซา และยังรวมถึงพระเชษฐภคินีโดยการสมรส จักรพรรดินีโจเซฟีนอีกด้วย
เรามีข้อมูลอะไรบ้างเกี่ยวกับนาฬิกาข้อมือเรือนแรกที่สร้างโดย Breguet?
ออเดอร์สั่งทำนาฬิกาจากสมเด็จพระราชินีแห่งเนเปิลส์ ซึ่งภายหลังได้รับหมายเลขการผลิต No. 2639 มีชื่อเรียกพิเศษว่า “repeater in oblong form for bracelet” หรือนาฬิการีพีตเตอร์ทรงรีสาหรับสวมข้อมือ การผลิตเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1810 และแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1812 จากบันทึกการผลิตระบุว่านาฬิกาเรือนนี้มีกลไกแบบ lever escapement มาพร้อมเทอร์โมมิเตอร์ และสายข้อมือสานประดับขอบทองคำ
แล้วตอนนี้นาฬิกาเรือนประวัติศาสตร์นั้นอยู่ที่ใด? หลักฐานทั้งหมดของนาฬิกาเรือนนี้ได้สูญหายไปในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 มีการบันทึกไว้ว่าถูกส่งมาซ่อมที่เวิร์กช็อปที่ Quai de l’Horlogeในปี 1849 และอีกครั้งในปี 1855 หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย ปัจจุบันทายาทบางคนของสมเด็จพระราชินีกาโรลีนมูราต์ ยังคงพยายามตามหานาฬิกาเรือนนี้ และก็ไม่แน่ว่าวันหนึ่ง เราอาจได้เห็นเรือนเวลาประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าเรือนนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้งก็เป็นได้...
เกี่ยวกับ Reine de Naples
ในปี ค.ศ. 1812 เมื่อสมเด็จพระราชินีกาโรลีนมูราต์ ทรงได้รับนาฬิกาข้อมือจากอับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 พระเชษฐาของพระองค์ ยังคงทรงครองราชย์ในฐานะจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส ซึ่งพระองค์ทรงครองบัลลังก์ต่อจากนั้นไปอีกสองปี จนถึงปีค.ศ. 1814 ในช่วงรัชสมัยนั้นเอง นโปเลียนทรงมีพระราชประสงค์จะฝากสิ่งที่เป็นที่ระลึกแห่งยุคของพระองค์ไว้ ด้วยการสั่งให้ปรับปรุงพื้นที่หลายส่วนของพระราชวังแวร์ซายส์ซึ่งเป็นที่พำนักของพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสมาตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และในที่สุด พระองค์ก็ทรงสามารถบูรณะพระราชวัง Grand Trianon (กรองด์ ตรีอานง) ได้แล้วเสร็จ และทรงโปรดประทับที่นั่นพร้อมกับพระบรมวงศ์ศานุวงศ์ โดยมีการปรับปรุงพื้นที่บางส่วนของพระราชวังทั้ง PetitandGrandTrianon
สวนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งกับองค์ประกอบเชิงสถาปัตยกรรมของพระราชวังอันงดงามแห่งนี้ เพราะสามารถมองเห็นได้จากทุกห้องในอาณาบริเวณ และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับงานตกแต่ง ภาพวาด และประติมากรรมบนผนังไม้แกะสลักทั่วทั้งวัง ในการสร้างลวดลาย guilloché อันเป็นเอกลักษณ์บนโรเตอร์ของนาฬิการุ่น Reine de Naples รุ่นใหม่ Breguet จึงตั้งใจที่จะยกย่องมรดกอันทรงเกียรตินี้ซึ่งสอดคล้องกับความผูกพันอันยาวนานระหว่างแบรนด์กับราชสำนัก นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1780 ที่ Breguet ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นช่างทำนาฬิกาประจำราชสำนัก อย่างเป็นทางการ และต่อมาด้วยการสนับสนุนของแบรนด์ พระราชวัง Petit Trianon ก็ได้รับการบูรณะอย่างสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 2008
16 ต.ค. 2568
17 ต.ค. 2568
16 ต.ค. 2568
17 ต.ค. 2568