MARC MICHEL-AMADRY

Last updated: 24 พ.ย. 2568  |  256 จำนวนผู้เข้าชม  | 

MARC MICHEL-AMADRY

Marc Michel-Amadry อีกหนึ่งบุรุษผู้มีความเกี่ยวพันกับอุตสาหกรรมนาฬิกามาตั้งแต่เกิดก็ว่าได้ จากการเติบโตมาในครอบครัวช่างประดิษฐ์นาฬิกา ทำให้เขาเกิดความหลงใหลในโลกนาฬิกาตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่าเขาจะไม่ได้เดินบนเส้นทางอาชีพช่างนาฬิกาเช่นเดียวกับบรรพบุรุษของตนเอง แต่เขาก็ได้อุทิศความรู้ความสามารถของตนเองด้านการตลาดเพื่อถ่ายทอดคุณค่าด้านศาสตร์และศิลป์ของนาฬิกามาตลอด 30 ปี ในวันนี้ประสบการณ์ต่างๆ ได้หล่อหลอมเขาให้พร้อมสู่ภารกิจครั้งล่าสุดในฐานะ กรรมการผู้จัดการ ให้กับแบรนด์นาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุดแบรนด์หนึ่งของวงการอย่าง Girard-Perregaux

เราทราบมาว่าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบนาฬิกาตั้งแต่เกิดเลยก็ว่าได้ อยากให้คุณเล่าเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกสักเล็กน้อย?
คุณปู่ของผมเป็นช่างนาฬิกา ปู่ทวดของผมก็เป็นช่างนาฬิกา และปู่ของปู่ทวดของผมก็เป็นช่างทำนาฬิกา เรียกว่าคุณพ่อของผมได้รับการสืบทอดการเป็นผู้ผลิตนาฬิกาฝรั่งเศสอย่างเต็มตัว ทั้งนี้เนื่องด้วยวิกฤตการณ์ควอตซ์ ทำให้ต้องปิดกิจการนาฬิกาลง และได้ย้ายมาอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี 1968 เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ซึ่งท่านก็ได้ทำงานกับแบรนด์ Longines ทำให้ท่านได้ศึกษาวิชาการช่างนาฬิกาจากที่นี่ด้วย นี่จึงทำให้ผมได้เติบโตมากับเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับนาฬิกา และพ่อก็มีคอลเลกชันนาฬิกาทั้งนาฬิกาพกและนาฬิกาข้อมือ นั่นจึงทำให้ผมรักและรู้สึกหลงใหลในทุกสิ่งเกี่ยวกับนาฬิกา จึงทำให้ผมได้ตัดสินใจเข้าสู่อุตสาหกรรมนาฬิกา

แล้วคุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิชาช่างนาฬิกาด้วยหรือไม่?
ไม่ครับ ผมเรียนในสาขาเศรษฐศาสตร์ ผมไม่แน่ใจว่าผมจะเป็นช่างทำนาฬิกาที่ดีได้ไหม ผมเป็นคนมีพลังงานเหลือเฟือ รู้สึกต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา และอยากที่จะเดินทางตลอดเวลา ในขณะที่การเป็นช่างนาฬิกาจะต้องเป็นคนที่อดทน สงบ และมีสมาธิ แต่ผมก็รู้สึกเคารพกับสายอาชีพนี้มากๆ และรู้สึกหลงใหลในศาสตร์การผลิตนาฬิกา พร้อมที่จะแบ่งปันความหลงใหลนี้ด้วยการเป็นตัวแทนให้กับเหล่าช่างนาฬิกาทั้งหลาย

คุณชอบนาฬิกาแบบใด?
ผมมีนาฬิการะบบปฏิทินถาวรเยอะมากเลย เพราะว่าผมชอบแนวคิดการสร้างสรรค์ที่ทำให้นาฬิกาสามารถคงความเที่ยงตรงในการบอกค่าปฏิทินต่อเนื่องถึง 200 ปี ผมคิดว่ามันมีความสลับซับซ้อนที่สวยงาม มีความเป็นสุนทรีย์ และบ่งบอกถึงความอุตสาหะด้านการสร้างสรรค์กลไก

ก่อนที่คุณจะได้ร่วมงานกับ Girard-Perregaux คุณมีความคิดเกี่ยวกับแบรนด์อย่างไรบ้าง?
ผมค่อนข้างที่จะรู้จักแบรนด์เป็นอย่างดี นั่นเพราะผมเกิดที่ La Chaux-de-Fonds ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ Girard-Perregaux ด้วย ผมรู้จักแบรนด์เป็นอย่างดีในเรื่องของประวัติศาสตร์ มรดกของแบรนด์ ซึ่งหลังจากที่ได้ร่วมงานกับแบรนด์มาเป็นเวลา 5 เดือน ผมได้ค้นพบมิติของมรดกอันล้ำค่า ความสำเร็จในด้านต่างๆ และนวัตกรรมอันน่าทึ่งมากมายตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน 234 ปีของแบรนด์ เพราะนี่คือหนึ่งในแบรนด์นาฬิกาไม่กี่แบรนด์ที่เราสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่เก่าแก่ที่สุด ทุกวันนี้ผมได้เรียนรู้สิ่งใหม่ที่ทำให้ผมรู้สึกว้าว ทำให้ผมเกิดความคิดเกี่ยวกับภารกิจและหน้าที่ของตัวเองในการสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและมีคุณค่าของมรดกที่เรามี เพราะผมคิดว่ายังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังไม่ได้เล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับ Girard-Perregaux เรามีช่วงเวลาอันล้ำค่ามากมาย

จากมุมมองของคุณ คุณคิดว่า Girard-Perregaux มีจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์อย่างไร?
เราเป็นหนึ่งในผู้ผลิตนาฬิกาที่แท้จริงซึ่งมีไม่มากในโลกที่มีความเชี่ยวชาญและขีดความสามารถในการออกแบบ พัฒนา ประดิษฐ์ และผลิตทุกอย่างเองภายในบริษัทตั้งแต่ปี 1791 นี่คือสิ่งที่พิเศษมาก ที่เป็นจุดขายเฉพาะตัวของเราก็ได้ มีผู้ผลิตนาฬิกาไม่กี่รายที่สามารถทำแบบนี้ได้ และสิ่งที่เราทำนั้นไม่ใช่แค่การแสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำนาฬิกาเท่านั้น แต่ยังใส่แนวคิดเรื่องความงาม ความคลาสสิก และความประณีตลงไปในการออกแบบด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมเชื่อว่า Girard-Perregaux มีความพิเศษไม่เหมือนใคร ทุกวันนี้มีคนจำนวนมาก โดยเฉพาะนักสะสมบางกลุ่ม ที่อาจจะซื้อแบรนด์อื่นๆ เพียงเพราะอยากดูดีในสายตาคนอื่น แต่สำหรับแบรนด์เรา เราเป็นแบรนด์สำหรับผู้ที่มีรสนิยมจริงๆ เราไม่เคยประนีประนอมกับคุณภาพ และไม่เคยประนีประนอมในการพัฒนากลไกใหม่ๆ ผมคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่ทำให้คนที่เป็นนักสะสมตัวจริง รู้สึกว่า Girard-Perregaux มีความพิเศษไม่เหมือนใคร


แนวทางของแผนค้าปลีกในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างไร?
จากมุมมองด้านการกระจายสินค้าเรามีกลยุทธ์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือเราต้องประสบความสำเร็จร่วมกับพาร์ทเนอร์ของเรา พาร์ทเนอร์ของเราคือ PMT The Hour Glass ซึ่งเป็นพันธมิตรเพียงรายเดียวในภูมิภาคนี้ อีกทั้งเรายังมองหาโอกาสในการมีพื้นที่เฉพาะตัวของเราเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อคุณมีพื้นที่เป็นของตัวเอง คุณสามารถเล่าเรื่องราวของแบรนด์ได้ดีขึ้น เช่น ปัจจุบันเรามีเลานจ์อยู่ที่โรงแรม Raffles ในประเทศสิงคโปร์ ร่วมกับ The Hour Glass ซึ่งช่วยให้เราแสดงตัวตนของแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้นนอกเหนือจากการอยู่ในร้านแบบมัลติแบรนด์  สำหรับผมสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ที่น่าตื่นเต้น มีฟังก์ชันใหม่ๆ มีกลไกใหม่ที่น่าประทับใจ พร้อมคุณภาพและฝีมือระดับสูงจากช่างนาฬิกาของเรา ถ้าในอนาคตมีโอกาสและมีความจำเป็นที่จะสร้างพื้นที่เฉพาะตัวให้กลายเป็นเลานจ์หรือบูติกของเราเอง เราก็จะพิจารณา แต่ไม่ใช่สิ่งแรกที่เราต้องทำในตอนนี้ การทำผลิตภัณฑ์ให้น่าตื่นเต้นเป็นสิ่งที่ต้องมาก่อน

แล้วกลยุทธ์การสื่อสาร โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ล่ะ?
สำหรับผม การตลาดที่ดีที่สุดคือ การที่ผลิตภัณฑ์ของเราทำให้ลูกค้าและนักสะสม “ประทับใจจนบอกต่อ” การตลาดที่แท้จริงคือเมื่อคนพูดถึงคุณแบบจริงใจและสมัครใจ นั่นแหละคือพลังที่แท้จริง ซึ่งทั้งหมดนี้เริ่มจากการทำผลิตภัณฑ์ให้ดีจริงๆ มีความซื่อสัตย์ จริงใจ ตรงไปตรงมากับลูกค้า และทำตามที่สัญญา ความประทับใจเช่นนี้จะถ่ายทอดต่อไปยังนักสะสมที่อยากครอบครองนาฬิกาจากแบรนด์ของเรา โดยพวกเขามีเครือข่ายมีเพื่อนที่เป็นนักสะสมเหมือนกัน พวกเขาคุยกันผ่านช่องทางสนทนาออนไลน์ต่างๆ ทั้งในกระทู้หรือในกลุ่ม WhatsApp เป็นต้น เหล่านี้คือกลยุทธ์การสื่อสารที่ดีสำหรับเรา

การทำงานในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความท้าทายอย่างไร? แล้วคุณมองตลาดนี้อย่างไรบ้าง?
ผมมองว่า ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีนักสะสมนาฬิกาที่มีความรู้สูงที่สุดในโลก ผมเคยอยู่ที่สิงคโปร์ และเห็นว่านักสะสมที่นั่นมีความเฉียบแหลมและมีอิทธิพลอย่างมาก ผู้บริโภคในภูมิภาคนี้มีความคาดหวังสูง ทั้งในด้านคุณภาพและ “ความซื่อสัตย์” ของแบรนด์ แม้จะเป็นภูมิภาคที่หลากหลาย แต่ก็มีจุดร่วมด้านวัฒนธรรมการเคารพงานฝีมือและความหรูหรา เศรษฐกิจในภูมิภาคยังคงแข็งแรงและมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโต และผู้คนกล้าลงทุนในสินค้าลักชัวรี ผมเพิ่งไปเยือนไอคอนสยามในกรุงเทพฯ รวมถึงเห็นพัฒนาการของศูนย์การค้าในสิงคโปร์และมาเลเซีย ทั้งหมดสะท้อนความมีชีวิตชีวาของตลาด กล่าวได้ว่าเสถียรภาพคือจุดแข็งหลักของภูมิภาคนี้ และหวังว่าจะคงอยู่ต่อไป

คำถามสุดท้าย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คุณเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง? แล้วคุณมองอีก 5 ปีข้างหน้าอย่างไร?
ผมทำงานในอุตสาหกรรมนาฬิกามาเกือบ 30 ปีแล้ว ผมเชื่อว่า ทุกก้าวในอาชีพที่ผ่านมา ทำให้ผมเติบโตขึ้นและพร้อมมากขึ้นสำหรับก้าวต่อไป นั่นอาจเป็นคำตอบที่จริงใจที่สุด ตอนอายุ 30–34 ผมเคยอยู่สิงคโปร์ 4 ปี ช่วงนั้นเป็นจุดเปลี่ยนของผมเลย เพราะผมต้องอยู่ต่างประเทศ ต้องปรับตัว ต้องเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ ต้องเดินทางเยอะ และดูแลทั้งภูมิภาคเอเชียใต้ ประสบการณ์เหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวเองกลายเป็น “คนที่ดีขึ้น” ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผมทำงานกับ IWC ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ยอดเยี่ยม และโชคดีที่ได้ร่วมงานกับทีมที่เก่งมาก ที่นั่นผมได้เรียนรู้เรื่องรีเทลอย่างมาก ในฐานะ Chief Commercial Officer ผมมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงด้านการกระจายสินค้าและโมเดลธุรกิจของแบรนด์ และเรียนรู้หลากหลายสิ่งในเชิงธุรกิจ ซึ่งทั้งหมดนี้จะมีประโยชน์มากกับบทบาทใหม่ของผมที่ Girard-Perregaux และเดิมทีผมมาจากสายมาร์เก็ตติ้งและโปรดักต์ดีเวลลอปเมนต์ เรียกว่าผมเคยผ่านมาหมดแล้ว แทบทุกบทบาทในอุตสาหกรรมนาฬิกา วันนี้ ผมจึงรู้สึกพร้อมและมั่นใจที่จะเริ่มต้นบทใหม่ บทบาทที่ว่าด้วยการ “กำหนดอนาคตของแบรนด์ผู้ผลิตนาฬิกา” อย่าง Girard-Perregaux

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

MUNEHISA SHIBASAKI

24 พ.ย. 2568

MARC A. HAYEK

24 พ.ย. 2568

RAYMOND LORETAN

24 พ.ย. 2568

TINO BOBE

24 พ.ย. 2568

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้