TINO BOBE

Last updated: 24 พ.ย. 2568  |  264 จำนวนผู้เข้าชม  | 

TINO BOBE

ปีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งปีสำคัญของ A. Lange & Söhne ซึ่งตรงกับวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 210 ปีของ เฟอร์ดินานด์ อดอล์ฟ ลังเงอร์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ คอลเลกชัน 1815 ที่ตั้งชื่อตามปีเกิดของเขา จึงถือเป็นไฮไลท์ของการเปิดตัวผลงานใหม่ในปีนี้ เมื่อเราได้มีโอกาสสนทนากับ Tino Bobe ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์แห่ง A. Lange & Söhne เราจึงขอให้เขาพูดถึงความเป็นมาและการพัฒนาคอลเลกชันดังกล่าว การแนะนำคอลเลกชันนาฬิกาใหม่ที่ A. Lange & Söhne เปิดตัวในปีนี้ ได้แก่ 1815 รุ่น 34 mm. และ Odyssey Honeygold ตลอดจนวิสัยทัศน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์นาฬิกาในวิถีทางแสนประณีต

ก่อนอื่นเลย อยากทราบว่าหลักการหรือแนวคิดในการสร้างสรรค์นาฬิกาในตระกูล 1815 คืออะไร?
สำหรับเราแล้ว นาฬิกาตระกูล 1815 คือสิ่งที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของเรา เพราะว่าผู้ก่อตั้งของ A. Lange & Söhne เฟอร์ดินานด์ อดอล์ฟ ลังเงอร์ เกิดในปี ค.ศ. 1815 อันเป็นช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีหลังจากที่นโปเลียนและกองทัพของเขาเดินทัพผ่านเมืองเดรสเดนไปยังมอสโก การตั้งชื่อนี้จึงเป็นการให้เกียรติแก่ผู้บุกเบิกแบรนด์ในช่วง 100 ปีแรก ที่สร้างชื่อเสียงไว้อย่างมั่นคงจนไม่ต้องอธิบายรายละเอียดมากมาย แค่บอกว่าเป็น “นาฬิกา Lange” ก็เพียงพอแล้ว ภาพเดียวที่เรามีของผู้ก่อตั้ง ก็มาจากคุณภาพของนาฬิกาที่เขาได้รังสรรค์ขึ้น นี่เป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงการที่คุณภาพคือหัวใจหลักใน DNA ของเรา หากคุณดูที่หน้าปัดนาฬิกา จะเห็นว่ามีสเกลนาทีแบบรางรถไฟเหมือนที่ใช้ในนาฬิกายุคก่อนและตัวเลขอารบิกแบบพิมพ์ เป็นการเชื่อมโยงเล็กๆ ถึงอดีตที่ผู้คนช่วงเวลานั้นได้สร้างสรรค์ไว้ การคงไว้ซึ่งรายละเอียดการออกแบบจากอดีตจึงเป็นการให้เกียรติแก่พวกเขา

ตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในปี 1995 คอลเลกชัน 1815 มีการพัฒนาอย่างไรบ้าง?
จุดเริ่มต้นของคอลเลกชัน 1815 คือการเป็นนาฬิกาที่มีความเรียบง่ายที่แสดงเวลาเพียงสามเข็มเท่านั้น จากนั้นเราได้เพิ่มฟังก์ชันการแสดงพลังงานสำรอง ซึ่งถอดแบบมาจากนาฬิกาพกดั้งเดิมที่นิยมใช้เข็มสองเข็มในการแสดงกำลังลาน แล้วเราก็คิดว่า ลองต่อยอดงานดีไซน์แบบคลาสสิกนี้ไปสู่ความสลับซับซ้อนที่มีความคลาสสิกมากขึ้น เช่น นาฬิกาโครโนกราฟรุ่นแรกของเรา Datograph ซึ่งมีฟังก์ชัน flyback และระบบนับเวลาแบบกระโดด โดยในคอลเลกชัน 1815 เองเราได้ผลิตนาฬิกาโครโนกราฟในรูปแบบที่มีความคลาสสิกขึ้นเพราะคอลเลกชันนี้คือการเน้นความคลาสสิกเป็นหลัก ดังนั้นเราจึงพัฒนาตระกูลนี้ โดยเริ่มจากนาฬิกาสามเข็มที่เรียบง่าย และค่อยๆ เติมเต็มความซับซ้อนมากขึ้นตามลำดับ

แล้วเรื่องกลไกใหม่ที่พัฒนาในคอลเลกชัน 1815 เป็นอย่างไร?
เรามีกลไกสามเข็มไขลานแบบคลาสสิกที่ใช้มานานหลายสิบปีแล้ว ทั้งใน 1815 และบางครั้งก็ในคอลเลกชัน Saxonia แต่เราคิดว่าเราควรสร้างกลไกใหม่ที่มีพลังงานมากขึ้น อีกด้านหนึ่งเราก็อยากทำให้กลไกมีขนาดเล็กลง เพื่อให้บรรจุได้ทั้งในนาฬิกาสำหรับสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ อย่างรุ่นตัวเรือน 34 มม. ซึ่งเราขอบอกว่านี่ไม่ใช่นาฬิกาของผู้หญิงหรือผู้ชายโดยเฉพาะแต่เป็นนาฬิกาที่ใครใส่ก็สวยได้ ดังนั้นเราจึงออกแบบกลไกใหม่ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 28.1 มม. และความหนาเพียง 2.9 มม. ซึ่งเป็นกลไกที่บางที่สุดเท่าที่เรามี เหมือนในนาฬิการุ่น Saxonia Thin  ที่สำคัญ เรายังทำให้บาลานซ์วีลมีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้เสถียรภาพของอัตราการทำงานดีขึ้น โดยปกติถ้าผลิตให้บาลานซ์วีลใหญ่ขึ้น กำลังลานจะลดลง แต่เราแก้ปัญหานี้ด้วยลานหลัก (mainspring barrel) แบบใหม่ และระบบเฟืองที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด ทำให้ได้กลไกที่กะทัดรัด แต่ยังมีพลังงานสำรองถึง 72 ชั่วโมง ดังนั้น ถ้าใส่นาฬิกาทำงานวันธรรมดาแล้ววางไว้ช่วงสุดสัปดาห์ วันจันทร์หยิบมาใส่ก็ยังเดินอยู่ ไม่ต้องตั้งเวลาใหม่เลย เพียงแค่ไขลานก็พร้อมใช้งานแล้ว สำหรับผมเอง แม้ข้อมือเล็กก็ใส่ได้พอดี และกลไกใหม่นี้ก็ยังคงเอกลักษณ์ความงดงามของ Lange ไว้ครบถ้วน ทั้งการแกะสลักด้วยมือและงานตกแต่งระดับสูง เรียกได้ว่าเป็นความงามที่แท้จริงครับ

สำหรับคอลเลกชัน Odyssey ทำไมคราวนี้ถึงเลือกเปิดตัวในตัวเรือนฮันนี่โกลด์?
สำหรับเรา คอลเลกชัน Odyssey ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในปี 2019 ถือว่าเป็นเหมือนสนามทดลองเล็กๆ ของเรา เราจึงขอลองใช้วัสดุใหม่ๆ ที่ไม่เคยใช้มาก่อน อย่างเช่นในตอนเริ่มต้นเราได้เลือกใช้วัสดุสเตนเลสสตีล ต่อมาเป็นไวท์โกลด์ ซึ่งไม่ได้เลือกจับคู่กับสายในวัสดุเดียวกันแต่เลือกเป็นสายยางหรือสายหนังแทน จากนั้นก็เป็นไทเทเนียม ต่อมาก็มีคำถามจากลูกค้าว่า จะมีการผลิตนาฬิกาที่มาพร้อมสายโลหะหรือสายทองไหม? แน่นอนว่าในบางประเทศที่อากาศร้อน การใส่นาฬิกาสายหนังอาจจะไม่สบายจากเหงื่อก็เป็นได้ ดังนั้นหลายคนจึงอยากได้สายโลหะหรือสายทองจริงๆ เราจึงคิดว่า ถ้าจะทำนาฬิกาสไตล์สปอร์ตในตัวเรือนทองคำและมาพร้อมสายทองคำ เราต้องเลือกทองที่มีความแข็งแกร่งที่สุด ทนรอยขีดข่วนได้ดีที่สุด และคำตอบก็คือ ฮันนี่โกลด์ เพราะเป็นวัสดุที่มีความแข็งกว่าทองทั่วไปถึงสองเท่า อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ สีของฮันนี่โกลด์สามารถเข้ากับสีผิวทุกโทนได้อย่างลงตัว นี่คือสองเหตุผลหลักที่เราตัดสินใจเลือกใช้ฮันนี่โกลด์ จากนั้นก็เหลือคำถามว่า หน้าปัดควรจะใช้สีอะไรที่จะเข้ากับฮันนี่โกลด์ได้ดีที่สุด เราจึงใช้เวลาพัฒนาค่อนข้างนานและสุดท้ายก็มาลงตัวที่สีน้ำตาลช็อกโกแลตซึ่งดูสวยงามมาก โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนมุมแสงไม่ว่าจะเป็นแสงธรรมชาติหรือแสงในร่ม สีของฮันนี่โกลด์และหน้าปัดก็จะเปลี่ยนโทนเล็กน้อย ทำให้นาฬิกาดูมีชีวิตชีวาขึ้น

ปัจจุบัน A. Lange & Söhne มีเป้าหมายหลักในด้านการพัฒนาทางเทคนิคอย่างไรบ้าง?
สิ่งที่เราโฟกัสในด้านการพัฒนาเทคนิค ตอนนี้แน่นอนว่าฉันไม่สามารถบอกโครงการ 5 โครงการถัดไปได้ เพราะยังเป็นความลับ (หัวเราะ) แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ เราจะยังคงเดินตามแนวทางของเราต่อไป สำหรับนาฬิกาแต่ละคอลเลกชัน เรามีแนวคิดที่ชัดเจนว่าจะพัฒนาคาลิเบอร์ให้ก้าวหน้าต่อไปอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มกำลังสำรองพลังงานให้ยาวนานขึ้น ทำให้ความเที่ยงตรงแม่นยำขึ้น หรือการผสมผสานฟังก์ชันที่น่าสนใจเข้าด้วยกัน รวมถึงการหาวิธีทำให้สิ่งที่มีอยู่แล้วดียิ่งขึ้น อย่างเช่นในระบบสลับซับซ้อนอย่างระบบมินิทรีพีทเตอร์ เราได้พัฒนาระบบ hammer blocking เพื่อให้เสียงกระทบกง (gong) ไพเราะและชัดเจนมากขึ้น โดยปกติถ้าค้อนตีแล้วไปสัมผัสกงซ้ำระหว่างที่กงกำลังสั่นอยู่ มันจะดึงพลังงานออกไป ทำให้เสียงเบาและไม่ใส เราจึงออกแบบระบบที่ช่วยดึงค้อนกลับ เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบซ้ำ ผลที่ได้คือเสียงที่ดัง ชัด และไพเราะกว่าเดิม นี่เป็นตัวอย่างของการพัฒนาเชิงลึกในเชิงเทคนิคที่เราทำอยู่เสมอ เพื่อยกระดับนาฬิกาของเราให้ดียิ่งขึ้น และแน่นอนว่าเราจะเดินหน้าต่อไปในเส้นทางนี้

ในความเห็นของคุณ อะไรคือความพิเศษด้านเทคนิคที่ทำให้นาฬิกาของ A. Lange & Söhne แตกต่างไม่เหมือนใคร?
มีหลายสิ่งมากๆ ที่ทำให้เรามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร อย่างหนึ่งที่พูดได้ก็คือ นาฬิกาทุกเรือนของเราจะมีบาลานซ์ค็อกที่แกะสลักด้วยมือ ซึ่งทำให้นาฬิกาทุกเรือน ทุกคอลเลกชัน มีความพิเศษและไม่ซ้ำใคร อีกด้านหนึ่งก็คือ ระดับของความสมบูรณ์แบบที่เราพยายามรักษาไว้เสมอ เช่นในขั้นตอนการประกอบกลไกสองครั้ง เราจะตรวจสอบให้แน่ใจว่า ไม่มีรอยขีดข่วน ไม่มีรอยบนสกรูเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งนี้ถือเป็นเอกลักษณ์มาก และอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เรามีเอกลักษณ์ก็คือ เมื่อคุณดูที่คอลเลกชันนาฬิกาของเรา แม้จะมีเพียง 6 ตระกูล แต่กลับมีเอกลักษณ์ชัดเจนสูงมาก หากคุณเห็น Lange 1 ก็รู้ทันทีว่าเป็น Lange โดยเฉพาะสำหรับคนที่รู้เรื่องนาฬิกาเพียงเล็กน้อย แค่เห็นบนโต๊ะประชุม หรือแม้แต่บนเครื่องบิน จากอีกฝั่งหนึ่ง ก็สามารถจำได้ทันทีว่า “นี่คือนาฬิกา Lange” สำหรับจุดเด่นด้านดีไซน์ของเราคือการออกแบบที่มี “Outside Date” ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนทันที สำหรับคนที่พอรู้เรื่องนาฬิกาบ้าง จะทราบว่าเราให้คุณค่ากับเอกลักษณ์ด้านดีไซน์ที่แตกต่าง ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่ทำให้แบรนด์มีความพิเศษจริงๆ ไม่ใช่แค่มีนาฬิการุ่นไอคอนเพียงรุ่นเดียวหรือดีไซน์เพียงแบบเดียว แต่เรามีความแข็งแกร่งในทุกคอลเลกชัน อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราไม่เหมือนใครก็คือ ระดับของงานฝีมือที่สูงมาก เราผลิตนาฬิกาเพียง 4,800 เรือนต่อปีเท่านั้น เรามีทีมงานที่เชี่ยวชาญตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วน การขัดแต่ง ไปจนถึงการประกอบ แต่ในแผนกประกอบ เราไม่ได้ใช้วิธีให้คนทดลองทำเพียงไม่กี่สัปดาห์แล้วไปทำขั้นตอนย่อยๆ อย่างที่มักทำกันทั่วไป เราต้องการคนที่ผ่านการฝึกอบรมช่างฝีมือจริงๆ เป็นเวลา 3 ปีเต็ม นั่นคือเหตุผลที่เราลงทุนสูงสุดทุกปีในโรงเรียนสอนทำนาฬิกาของเรา ตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1997 จนถึงตอนนี้ มีเยาวชนกว่า 263 คน ที่จบการฝึกงาน และส่วนใหญ่ก็ยังคงทำงานกับเรามาจนถึงปัจจุบัน คำถามนี้ไม่ใช่คำถามง่ายเลยครับ เป็นคำถามที่ดีมาก แต่ยากที่จะตอบสั้นๆ เพราะความพิเศษของเรามีอยู่หลายด้าน และที่สำคัญคือ เราไม่ได้จำกัดตัวเองว่าเป็นแบรนด์ที่ทำแต่นาฬิกาผู้หญิงหรือนาฬิกาผู้ชาย แต่เราทำสิ่งที่ดีที่สุดในสิ่งที่เราทำอยู่เสมอ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

MARC A. HAYEK

24 พ.ย. 2568

RAYMOND LORETAN

24 พ.ย. 2568

MARC MICHEL-AMADRY

24 พ.ย. 2568

MUNEHISA SHIBASAKI

24 พ.ย. 2568

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้