Last updated: 24 พ.ย. 2568 | 356 จำนวนผู้เข้าชม |
เมื่อ Marc A. Hayek ประธานและซีอีโอของ Blancpain วางแนวทางให้แบรนด์มุ่งพัฒนากลไก grande sonnerie เขาไม่ได้มุ่งหมายเพียงเพื่อเข้าร่วมเป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มผู้ผลิตเรือนเวลาที่สร้างสรรค์กลไกระดับหายากนี้เท่านั้น หากแต่ตั้งเป้าที่จะยกระดับให้เหนือกว่าในทุกมิติ เช่นเดียวกับที่ความหลงใหลในโลกแห่งการดำน้ำของเขาได้จุดประกายให้ฟื้นตำนาน Fifty Fathoms ขึ้นมาอีกครั้ง ความรักในกลไกจักรกลก็ผลักดันให้เขาแสวงหาและรังสรรค์สิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์แห่งเรือนเวลา
โดยทั่วไปแล้ว กลไกบอกเวลาของเรือนเวลาประเภท sonnerie มักใช้เสียงสองโน้ตในการตีบอกเวลา แต่ด้วยวิสัยทัศน์อันก้าวไกลเขาได้จุดประกายให้เหล่าช่างนาฬิกาของ Blancpain พัฒนากลไก grande sonnerie ที่ใช้เสียงถึงสี่โน้ต ซึ่งเป็นการเพิ่มระดับความซับซ้อนอย่างมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้น เขาต้องการให้เสียงตีบอกเวลานั้นมิใช่เพียงสัญญาณของชั่วโมงและนาทีเท่านั้น หากแต่เรียงร้อยเป็นท่วงทำนอง แรงบันดาลใจอันโดดเด่นจึงเกิดขึ้นเหตุใดจึงไม่ให้เสียงบอกเวลาเป็นสองท่วงทำนองที่ต่างกัน ที่บรรเลงด้วยสี่โน้ต ได้แก่ ทำนอง Westminster chime สุดคลาสสิก และบทประพันธ์ต้นฉบับที่รังสรรค์โดย Eric Singer ร็อกสตาร์แห่งวง KISS พร้อมทั้งให้ผู้สวมใส่สามารถเลือกสลับระหว่างสองทำนองได้อย่างง่ายดายเพียงกดปุ่มบนตัวเรือน
สิ่งที่ดูราวกับเป็นไปไม่ได้ในช่วงแรกที่แนวคิดนี้เริ่มเกิดขึ้นได้กลายเป็นความจริงอันยิ่งใหญ่ Grande Double Sonnerie ได้ถือกำเนิดขึ้นและสร้างปรากฏการณ์ใหม่เป็นครั้งแรกให้แก่วงการนาฬิกาจักรกล นาฬิการุ่นใหม่ของ Blancpain รุ่นนี้ผสานไว้ซึ่งกลไก grande sonnerie สองทำนองเสียง, petite sonnerie, และ minute repeater ผสานเข้ากับ flying tourbillon และปฏิทินถาวรแบบ retrograde ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นการบรรจบกันของสุดยอดความซับซ้อนทางเรือนเวลาระดับ grand complication ที่ก้าวข้ามทุกขอบเขตอย่างแท้จริง

จุดเด่นสำคัญ
ครั้งแรกของโลก
นาฬิกาข้อมือ grande sonnerie ที่สามารถเลือกได้สองทำนองเสียงด้วยปุ่มกดบนตัวเรือน ได้แก่ ทำนองคลาสสิก Westminster chime แบบสี่โน้ต และบทเพลงต้นฉบับของ Blancpain ที่ประพันธ์โดยนักดนตรีชื่อดัง Eric Singer เรือนเวลาสุดพิเศษเหนือระดับในหมู่เรือนนาฬิกาข้อมือ grande sonnerie ทั้งมวลเรือนนี้ สามารถบรรเลงทำนองทั้งสี่ไตรมาสในทุกชั่วโมง มอบประสบการณ์แห่งเสียงที่ยาวนานและน่าประทับใจ
ปฏิทินถาวรแบบ RETROGRADE
มีการออกแบบโครงสร้างใหม่ทั้งหมด และรวมเข้ากับกลไกหลักอย่างสมบูรณ์ มาพร้อมระบบปุ่มปรับใต้ขาตัวเรือนที่จดสิทธิบัตรเฉพาะของ Blancpain ซึ่งได้รับการออกแบบใหม่ให้สามารถปรับค่าได้ง่ายด้วยปลายนิ้ว โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมใดๆ
FLYING TOURBILLON
กลไก flying tourbillon อันเป็นเอกลักษณ์ของ Blancpain ที่มีขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกและเปิดตัวในปี 1989 โดยได้รับการพัฒนาใหม่ด้วยซิลิคอนบาลานซ์สปริง และทำงานด้วยความถี่ระดับ 4 เฮิรตซ์

นาฬิกาที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ของ BLANCPAIN
โครงการที่ใช้เวลาพัฒนายาวนานกว่า 8 ปี ประกอบด้วยแบบร่างทางเทคนิคกว่า 1,200 แบบ สิทธิบัตรที่พัฒนาขึ้นระหว่างการสร้างสรรค์จำนวน 21 ฉบับ (ซึ่ง 13 ฉบับ ถูกนำมาใช้ในกลไกจริง) ชิ้นส่วนสำหรับกลไก 1,053 ชิ้น จากทั้งหมด 1,116 ชิ้น โดยทุกชิ้นส่วนได้รับการออกแบบ ผลิต ประกอบ และขัดแต่งภายในโรงงานของ Blancpain เอง
คุณภาพเสียงอันโดดเด่น
เสียงสี่โน้ต (E, G, F, B) ที่เกิดจากค้อนสี่ตัวอิสระเสริมด้วย acoustic membrane ที่ตำแหน่งขอบตัวเรือนเพิ่มการส่งผ่านของเสียง ให้คุณภาพทางดนตรีที่ลุ่มลึกเหนือกว่าแค่เสียงดังทั่วไปพร้อม silent magnetic regulator
งานตกแต่งเชิงศิลป์ตามแบบฉบับช่างฝีมือดั้งเดิม
สะพานจักรจำนวน 26 ชิ้น และแท่นเครื่องผลิตจากทองคำ 18 กะรัต ทุกชิ้นผ่านการตกแต่งด้วยมืออย่างประณีต ประกอบด้วยเทคนิค anglage (มุมขัด 135 มุม), perlage, mirror polishing, diamond milling และ straight graining ในเวิร์กช็อปของ Blancpain ณ Le Brassus โดยพื้นผิวของทุกชิ้นส่วนได้รับการตกแต่งไม่ว่าจะอยู่ในจุดมองเห็น หรือมองไม่เห็นก็ตาม
SAFETY MECHANISMS
ติดตั้งระบบป้องกันความเสียหายจำนวน 5 ระบบ ภายในกลไกเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับตั้งที่ไม่ถูกต้อง
นาฬิกาที่ออกแบบมาเพื่อให้สวมใส่จริง
แม้จะมีความซับซ้อนสูงสุดแต่นาฬิการุ่นนี้ได้ผ่านการทดสอบ และรับรองตามมาตรฐานทั้งหมด โดยยังคงคุณสมบัติในการสวมใส่ได้จริง ด้วยหน้าปัดขนาด 47 มม. ระยะ lug-to-lug 54.6 มม. และหนา 14.5 มม.

กล่องนำเสนอสุดพิเศษ
สร้างขึ้นจากไม้ในป่าตำนาน Risoud แห่งหุบเขา Vallée de Joux กล่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงกล่องแสดงนาฬิกา แต่ยังสืบสานประเพณีไม้ resonance spruces ที่สืบทอดมาหลายศตวรรษ โดยได้รับการยกย่องจากช่างทำเครื่องสาย ในคุณภาพเสียงอันเลอค่า ทำหน้าที่เสมือนซาวด์บอร์ดธรรมชาติที่กระจายเสียงตีระฆังของนาฬิกา และเชื่อมโยงเรือนเวลานี้กับมรดกทางวัฒนธรรมและงานฝีมือของหุบเขาแห่งนี้
การปรับแต่งเฉพาะบุคคลขั้นสูงสุด
แต่ละเรือนเป็นผลงานที่รังสรรค์ขึ้นแบบเฉพาะ สะท้อนถึงความต้องการของผู้เป็นเจ้าของอย่างแท้จริง เพื่อความพิเศษเฉพาะหนึ่งเดียวในโลก
มรดกแห่ง Blancpain
จากจุดเริ่มต้นในฐานะกิจการครอบครัว ซึ่งดำเนินสืบต่อกันในตระกูล Blancpain ยาวนานกว่าสองศตวรรษ แบรนด์ได้ยึดมั่นในเจตนารมณ์แห่งการประดิษฐ์นาฬิกาที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่วแน่ จากเวิร์กช็อปของ Blancpain ที่ตั้งอยู่ใน Vallée de Joux ซึ่งถือเป็นแหล่งกำเนิดของการสร้างสรรค์เรือนเวลาอันเลื่องชื่อกลไกทั้งหมด 100% ถูกผลิตขึ้นภายในโรงงานของตนเองไล่ตั้งแต่ขึ้นตอนการผลิต การออกแบบ การประกอบ ไปจนถึงการขัดแต่งขั้นสุดท้าย ทั้งนี้ในคอลเลกชันของ Blancpain ได้รวบรวมกลไกระดับสัญลักษณ์ของวงการไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น complete calendar moon phase, perpetual calendar, annual calendar, tourbillon, carrousel, chronograph, GMT, กลไกตั้งปลุก, minute repeater และเรื่อยมาตอนนี้กับ grande sonnerie นอกจากนั้น Blancpain ยังเป็นผู้ผลิตตัวเรือนของตนเองไม่ว่าจะเป็นสเตนเลสสตีล เซรามิก ทองคำแพลทินัม และไทเทเนียม อีกด้วย

กลไกระดับ grand complication ถือเป็นหัวใจสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Blancpain โดยเฉพาะผลงานชิ้นตำนานอย่างรุ่น 1735 นาฬิกาขึ้นลานอัตโนมัติที่ซับซ้อนที่สุดในยุคของมัน ซึ่งรุ่น 1735 ได้ผสานกลไก minute repeater, ระบบการจับเวลา split seconds chronograph, ระบบปฏิทินถาวร และ tourbillon เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
เมื่อ Marc A. Hayek ประธานและซีอีโอของ Blancpain ได้ริเริ่มโครงการ grand complication ใหม่เมื่อ 8 ปีก่อน เขามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนว่า เป้าหมายคือต้องก้าวข้ามความสำเร็จในอดีตนั้นไปให้ได้จุดสูงสุดของนาฬิกาที่สร้างเสียงได้นั้นไม่ได้หยุดอยู่เพียงที่ minute repeater อีกต่อไป แต่คือ grande sonnerie และแม้แต่เพียงการสร้าง grande sonnerie ขึ้นใหม่ก็ยังไม่เพียงพอ คำแนะนำจาก Hayek ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ทีมออกแบบกลไกของ Blancpain ก้าวไปอีกขั้นเพื่อสร้าง grande sonnerie ที่ผลักดันขอบเขตของศิลปะแห่งการประดิษฐ์นาฬิกาให้ไกลยิ่งกว่าเดิม จากเพียงแค่การตีบอกเวลาอย่างเรียบง่ายไปสู่การขับขานท่วงทำนองที่เปี่ยมด้วยความไพเราะ ซึ่ง Hayek ได้กล่าวไว้ว่า
“Grande Sonnerie คือหนึ่งในกลไกที่สร้างสรรค์ได้ยากที่สุดในโลกมันคือ ราชินีแห่งกลไกนาฬิกา ผมต้องการสร้าง Grande Sonnerie ที่เจ้าของสามารถสวมใส่ได้จริง ไม่ใช่เพียงเรือนเวลาที่จะถูกเก็บไว้ในตู้เซฟเท่านั้น เราเลือกสร้างสรรค์ท่วงทำนองสองแบบที่เป็นจังหวะดนตรีในตัวเองอย่างแท้จริง และเหนือสิ่งอื่นใด นาฬิกาเรือนนี้จะทำให้ผู้สวมใส่ยิ้มทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของมัน เสียงที่ปลุกเร้าอารมณ์อย่างแท้จริงด้วยกลไก sonnerie ที่เปิดให้ชื่นชมการทำงานของค้อนทั้งสี่ที่บรรเลงท่วงทำนองอย่างงดงาม ร่วมกับ กลไกทองคำอันหรูหราที่อัดแน่นด้วยนวัตกรรมจากสิทธิบัตร 13 ฉบับ และการตกแต่งในระดับสูงสุด เราหวังว่านาฬิกาเรือนนี้จะสามารถสัมผัสหัวใจของนักสะสมผู้หลงใหลได้อย่างลึกซึ้งที่สุด”
เสียงแห่งกาลเวลา
ในปัจจุบัน เรามักมองว่าเสียงระฆังบอกเวลาเป็นหนึ่งในกลไกซับซ้อนดั่งเครื่องประดับทางศิลป์ของกลไกจักรกล ภายในนาฬิกา บ่งบอกว่าเรือนเวลาเรือนนี้อยู่ในกลุ่มผลงานที่หายาก ลุ่มลึก และน่าหลงใหลที่สุดในโลกแห่งการ ประดิษฐ์นาฬิกา ทว่าหากย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 14 ความจริงกลับตรงกันข้าม ในยุคนั้นเสียงแห่งเวลาจากนาฬิกาขนาดใหญ่ในอารามและหมู่บ้าน ถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าการแสดงเวลาผ่านเข็มและหน้าปัดเสียอีก เพราะเสียงระฆังเหล่านั้นคือศูนย์กลางของจังหวะชีวิตประจำวัน การทำงานของผู้คนทั้งหมดในละแวกนั้น ทุกอย่างล้วน ถูกกำหนดด้วยเสียงบอกเวลาที่ดังก้องไปทั่ว มรดกทางประวัติศาสตร์ของการเปล่งเสียงแห่งเวลานี้เอง ที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจเบื้องหลังของ grande sonnerie โดยหนึ่งในท่วงทำนองที่ใช้ใน Blancpain Grande Double Sonnerie คือเสียง Westminster ซึ่งมีต้นกำเนิดตั้งแต่ปี 1793 จากโบสถ์ St. Mary’s the Great ในเมืองเคมบริดจ์ ก่อนจะได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางเมื่อถูกนำมาใช้กับหอนาฬิกา Big Ben ในกรุงลอนดอน และนั่นเองคือ เหตุผลที่ท่วงทำนองนี้เป็นที่รู้จักทั่วโลกในชื่อดังกล่าวจวบจนทุกวันนี้
GRANDE SONNERIE และ PETITE SONNERIE
ก่อนปี 1992 ยังไม่มีนาฬิกาข้อมือเรือนใดที่มาพร้อมกลไก grande sonnerie มาก่อนในเวลานั้นกลไกตีบอกเวลา ยังจำกัดอยู่เพียงในนาฬิกาประเภท minute repeater ซึ่งจะตีบอกเวลาเมื่อเจ้าของต้องการเท่านั้น โดยผู้สวมใส่ จะต้องดันคันเลื่อนด้านข้างตัวเรือนเพื่อเตรียมกลไกให้พร้อมทำงาน และเมื่อเริ่มตีบอกเวลา เสียงที่ได้จะเกิดจากการผสมผสานของสองโน้ตเสียงหนึ่งสูง และหนึ่งต่ำ
ในทางตรงกันข้าม grande sonnerie และ petite sonnerie จะตีบอกเวลาโดยอัตโนมัติในขณะที่เวลาหมุนไป ตามนิยามทางศาสตร์ของเครื่องบอกเวลา กลไก grande sonnerie คือระบบที่ตีบอกชั่วโมง ทุกชั่วโมง และในทุกไตรมาสชั่วโมงจะตีบอกทั้ง ชั่วโมงและไตรมาสนั้นด้วย ส่วน petite sonnerie นั้นแบ่งได้เป็นสองรูปแบบ แบบพื้นฐานจะตีบอกเวลาเฉพาะชั่วโมง โดยไม่ตีในแต่ละไตรมาส ส่วนแบบที่ซับซ้อนกว่าจะตีบอกทั้งชั่วโมงและไตรมาส แต่ไม่ซ้ำชั่วโมงในแต่ละครั้งทั้งกลไก grande sonnerie และ petite sonnerie ต่างได้รับพลังงานจากกระปุกลานแยกเฉพาะในกลไก และไม่จำเป็นต้องใช้การดันคันเลื่อนหรือการเปิดการทำงานใดๆ โดยผู้สวมใส่สำหรับ Blancpain Grande Double Sonnerie กลไกภายในได้รับการออกแบบให้มีกระปุกลานแยกสองชุด หนึ่งชุด สำหรับขับเคลื่อนการทำงานของระบบเวลาโดยทั่วไป และอีกหนึ่งชุดสำหรับจ่ายพลังงานให้กับ grande sonnerie, petite sonnerie รวมไปถึง minute repeater ในกรณีที่มีการดันคันเลื่อนด้วย

เสียงแห่งกาลเวลาผ่านท่วงทำนอง
นาฬิกาข้อมือ grande sonnerie รุ่นแรกของโลกในอดีต ใช้หลักการตีบอกเวลาแบบสองเสียง ซึ่งเป็นแบบเดียวกับนาฬิกา minute repeater ส่วนใหญ่ โดยจะตีเสียงต่ำเพื่อบอกชั่วโมง เสียงสูงเพื่อบอกนาที และเสียงผสมของทั้ง สองเพื่อบอกไตรมาสชั่วโมง แนวทางนี้ได้กลายเป็นรูปแบบหลักที่ใช้สืบต่อกันมาในกลไก grande sonnerie แทบ ทุกรุ่นทั่วโลก
แต่ Blancpain กลับขยายขอบฟ้าแห่งความเป็นไปได้ให้กว้างไกลยิ่งขึ้นด้วยการสร้าง Grande Double Sonnerie ภายใต้วิสัยทัศน์ของ Marc A. Hayek ผู้ซึ่งมองเห็นโอกาสที่จะเปลี่ยนเสียงบอกเวลาให้กลายเป็นท่วงทำนอง แห่งดนตรี อย่างแท้จริง ความท้าทายครั้งนี้ยิ่งใหญ่เกินจะประเมินได้ การสร้างทำนองจำเป็นต้องมีสี่โน้ตเสียง ได้แก่ มี โซล ฟา ที ซึ่งเพิ่มระดับความซับซ้อนของกลไกขึ้นเป็นสองเท่า เนื่องจากต้องใช้ค้อนตีสี่ตัวแยกกันสำหรับ แต่ละโน้ตเสียง แต่การเพิ่มจำนวนโน้ตยังเป็นเพียงก้าวแรกเพื่อร้อยเรียงเป็นท่วงทำนองเท่านั้น ระบบสองเสียงนั้นสามารถปรับระดับความถี่ของเสียงได้อย่างยืดหยุ่นทั้งในเสียงของตัวเองหรือควบคู่กับเสียงอีกหนึ่งเสียง แต่ในท่วงทำนองดนตรีนั้นแต่ละโน้ตต้องมีระดับเสียงที่แม่นยำสมบูรณ์แบบเพื่อให้สามารถบรรเลงร่วมกันได้อย่างไพเราะ เสมือนการปรับเสียงของวงออเคสตราก่อนการแสดง โดยมีใช้เครื่องเป่าที่เรียกว่า โอโบ ให้สัญญาณเสียง “A” เพื่อให้นักดนตรีทุกคนจูนเครื่องดนตรีของตนให้ตรงคีย์เดียวกัน ดังนั้นช่างประดิษฐ์นาฬิกาของ Blancpain ได้มีการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ความละเอียดสูงเพื่อตรวจวัดความถี่ของการสั่นสะเทือนของค้อนตีกำเนิดเสียงเพื่อ ทดสอบและปรับแต่งจนแต่ละโน้ตทั้งสี่อยู่ในจังหวะเสียงเดียวกันอย่างสมบูรณ์
คุณภาพและมิติของเสียงถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างสรรค์เรือนเวลาเรือนนี้ Marc A. Hayek ได้เปรียบการรับฟังเสียง sonnerie ว่าเป็นดั่งการชิมไวน์ชั้นเลิศ
“การฟังเสียง sonnerie ก็เปรียบเสมือนการลิ้มรสไวน์ที่ยอดเยี่ยม มันไม่ใช่เพียงเรื่องของ ความดัง แต่คือความใส ความก้องกังวาน ความยาวนานของเสียง และความละเมียดละไมของโทนเสียงการได้ฟัง sonnerie ระดับสูงคือประสบการณ์ทางอารมณ์อย่างแท้จริง”
เพื่อบรรลุซึ่งคุณภาพเสียงลุ่มลึกในช่วงปลาย Grande Double Sonnerie มีการติดตั้ง sounding ring ทองคำ ซึ่งได้รับการคัดเลือกหลังจากการค้นคว้าและทดสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนกับโลหะผสมหลายชนิด โดยผลการวิจัยพบว่า ทองคำให้เสียงที่มีคุณภาพอะคูสติกดีที่สุด ทั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะเป็นการเลือกตามขนบประเพณี แต่เป็นการเลือกด้วยผลลัพธ์จากการทดลองอันเข้มงวดและการเลือกที่รอบคอบในการเสาะแสวงหาเสียงที่สมบูรณ์แบบที่สุด
การกระจายของเสียงสู่ภายนอกตัวเรือนก็ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีความสำคัญ ทีมออกแบบของ Blancpain ได้ สร้างสรรค์ acoustic membrane ทองคำฝังภายในขอบตัวเรือน ซึ่งช่วยส่งผ่านและขยายเสียงจากกลไกออกสู่บรรยากาศภายนอกอย่างเป็นธรรมชาติ โครงสร้างนี้เองได้กลายเป็นหนึ่งใน 13 สิทธิบัตร ที่ได้รับการจดทะเบียนในกลไกของ Grande Double Sonnerie

อย่างไรก็ตาม ความสมบูรณ์ของท่วงทำนองไม่ได้อยู่แค่ความถูกต้องของโน้ต แต่ยังรวมถึงจังหวะที่ต้องแม่นยำไร้ที่ติซึ่งแต่ต่างอย่างสิ้นเชิงจากระบบสองเสียง หูของมนุษย์สามารถจับความคลาดเคลื่อนได้แม้เพียงเสี้ยววินาที จากการฟังท่วงทำนอง ดังนั้นเช่นเดียวกับ minute repeater นาฬิกา Grande Double Sonnerie จึงมาพร้อม regulator เพื่อรักษาจังหวะการบรรเลงให้สม่ำเสมอ โดย Blancpain ได้พัฒนา regulator แบบแม่เหล็กที่ได้รับการจดสิทธิบัตรซึ่งเป็นนวัตกรรมก้าวล้ำเหนือโครงสร้างดั้งเดิม ทำงานอย่างเงียบสนิทปราศจากเสียงกลไกที่จะรบกวนการตีบอกเวลา อีกทั้งยังรักษาจังหวะการตีให้มั่นคงกว่าระบบทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ
แต่สำหรับการสร้างทำนองดนตรี ความเที่ยงตรงต้องมีความแม่นยำขึ้นไปอีกระดับ จึงต้องมีการวัดระยะห่างระหว่างแต่ละโน้ตทั้งสี่ตัวโน้ตด้วยความแม่นยำทางวิทยาศาสตร์ ภายในห้องปฏิบัติการของ Blancpain ทีม วิศวกรได้ให้ข้อมูลการวิเคราะห์และข้อมูลทางเทคนิคแก่เหล่าช่างประดิษฐ์นาฬิกาชั้นครูซึ่งใช้ทักษะความรู้แบบ ดั้งเดิมในการปรับแต่งฟันเฟืองในกลไก sonnerie ในระดับไมครอน การสอดประสานการทำงานกันระหว่างการใช้ เทคโนโลยีขั้นสูงกับทักษะงานฝีมือนี้ก็เพื่อทำให้จังหวะของเสียงคงที่สมบูรณ์ ในความคลาดเคลื่อนไม่เกินหนึ่งใน สิบของวินาทีเท่านั้น
ผลงานแห่งความเชี่ยวชาญของ Blancpain ในการสร้างสรรค์ท่วงทำนองเผยให้เห็นอย่างเด่นชัดในทุก ๆ ชั่วโมง ซึ่งต่างจาก grande sonnerie อื่นๆ ที่จะตีบอกเพียงชั่วโมง แต่ไม่ตีช่วงไตรมาส Blancpain Grande Double Sonnerie กลับบรรเลงชั่วโมง ก่อนจะต่อด้วยสี่ไตรมาสเต็มรูปแบบมอบประสบการณ์แห่งเสียงดั่งบทเพลงที่ยาวนานและสมบูรณ์แบบ
ERIC SINGER
Eric Singer คือนักสะสมนาฬิกาตัวยง และยังเป็นมือกลองชาวอเมริกันชื่อดังระดับโลก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีที่สุด จากการร่วมงานกับวงร็อกระดับตำนาน KISS มาอย่างยาวนาน ตลอดเส้นทางอาชีพของเขา เขาได้ฝากผลงาน ร่วมกับศิลปินชื่อดังมากมาย อาทิ Black Sabbath, Alice Cooper, Lita Ford, Badlands, Brian May, Gary Moore รวมถึงวงของเขาเอง ESP ผลงานกว่า 75 อัลบั้ม และ 11 EP ที่เขามีส่วนร่วมบันทึกเสียง ได้สร้างชื่อให้ Singer เป็นหนึ่งในมือกลองที่มีความสามารถรอบด้านและได้รับการยกย่องมากที่สุดในโลกดนตรีร็อก
ในฐานะเพื่อนสนิทของ Marc A. Hayek Singer จึงเป็นตัวเลือกที่เป็นธรรมชาติเมื่อ Hayek ตัดสินใจเปิดศักราชใหม่ให้กับวงการนาฬิกาด้วยการติดตั้งท่วงทำนองที่สองให้กับ Grande Double Sonnerie Singer ได้แต่งบทเพลง ต้นฉบับขึ้นโดยเฉพาะสำหรับโครงการนี้ ซึ่งนับเป็นประสบการณ์สร้างสรรค์ที่แปลกใหม่มากสำหรับเขา ระหว่างกระบวนการประพันธ์ Singer ได้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับเพื่อนสนิทและคีย์บอร์ดชื่อดังระดับโลก Derek Sherinian ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเติมเต็มมิติทางดนตรีและความกลมกลืนของบทเพลง ทั้งคู่ร่วมกันแปลงข้อจำกัด ทางเทคนิคของกลไกนาฬิกาให้กลายเป็นลายเซ็นทางดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเรือนเวลาเรือนนี้
“ตอนทีม Blancpain ส่งสเปกทางเทคนิคของนาฬิกามาให้ ผมไม่เข้าใจเลยสักคำ˝ˇเดียว!” Singer กล่าวติดตลก
“สิ่งที่ท้าทายที่สุดจริงๆ คือการที่เรามีโน้ตเพียงสี่เสียงให้ใช้ สิ่งนี้อาจจะฟังดูเยอะสำหรับ นาฬิกา แต่สำหรับนักดนตรีนั่นคือข้อจำกัดมหาศาล การเปลี่ยนข้อจำ˝ˇกัดให้กลายเป็น บทเพลงนั้นเป็นดั่งปริศนาอย่างแท้จริง และในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ทำให้การร่วมงาน ของผมกับ Derek เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างยิ่ง”
บทเพลงที่ Singer ประพันธ์ขึ้นได้รับการตั้งชื่อว่า “Blancpain” และด้วยเพียงการกดปุ่ม ผู้สวมใส่สามารถเลือกได้ ระหว่าง ทำนอง Westminster หรือ ทำนอง Blancpain ตามอารมณ์ในขณะนั้น โดยความรู้สึกในการกดปุ่มเลือกทำนองจะเป็นไปอย่างนุ่มนวลไร้ที่ติ เนื่องจากกลไกดังกล่าวได้รับการติดตั้งด้วย column wheel นั่นเอง


THE TOURBILLON
นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1989 กลไก flying tourbillon ของ Blancpain ได้กลายเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของแบรนด์ คำว่า “flying” ถูกใช้เพื่อบ่งบอกถึงโครงสร้างที่แตกต่างจาก tourbillon ทั่วไปที่มักถูกยึดระหว่างสะพานด้านบน และสะพานด้านล่าง การออกแบบของ Blancpain กลับตัดสะพานด้านบนออกโดยสิ้นเชิง แล้วรองรับกรง tourbillon พร้อมส่วนประกอบอย่าง balance wheel, spiral และ escapement จากด้านล่างเพียงด้านเดียวนวัตกรรม จาก Blancpain นี้ ถือเป็นครั้งแรกของโลกในนาฬิกาข้อมือ ณ เวลานั้น และได้รับการยกย่องในฐานะการปฏิวัติวงการ เพราะเปิดมุมมองให้เห็นการทำงานของ tourbillon ได้อย่างเต็มตาปราศจากสิ่งบดบังใดๆ
สำหรับ Grande Double Sonnerie นั้นได้ถูกยกระดับให้สูงยิ่งขึ้นไปอีกขั้นโดยมีการปรับความถี่ของการทำงาน จาก 3 เฮิรตซ์ เป็น 4 เฮิรตซ์ ขณะเดียวกัน spiral ยังผลิตจากซิลิคอน ซึ่งมีคุณสมบัติต้านทานสนามแม่เหล็ก พร้อมมอบข้อได้เปรียบสามประการด้านสมรรถนะเชิงเวลา ได้แก่ น้ำหนักเบา มีรูปทรงเรขาคณิตที่สมบูรณ์แบบ และมีแอมพลิจูดที่คงที่ยิ่งขึ้นแม้แรงจาก mainspring จะเปลี่ยนแปลง นอกเหนือจากความก้าวหน้าทางเทคนิคทั้งหลาย แล้ว Grande Double Sonnerie ยังให้ความสำคัญกับความงามเชิงศิลป์ของ tourbillon อย่างเต็มเปี่ยม การขัดแต่งของกรงโดยเฉพาะการขัดเงาแบบกระจกที่สร้างประกายแสงสะท้อนที่งดงาม เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับกลไก และดึงดูดสายตาให้จับจ้องไปทุกการเคลื่อนไหว
ปฏิทินถาวรแบบ RETROGRADE
สำหรับเรือนเวลาระดับ Grande Double Sonnerie นั้น การบรรจุกลไกปฏิทินถาวรซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลไกอันทรงเกียรติและมีประโยชน์สูงสุดของศิลปะแห่งการประดิษฐ์นาฬิกาถือเป็นสิ่งที่คู่ควรอย่างยิ่ง
แม้ว่าคอลเลกชันของ Blancpain จะมีนาฬิกาหลากหลายรุ่นที่มาพร้อมกลไกปฏิทินถาวรอยู่แล้ว แต่การสร้างสรรค์เรือนเวลาระดับ Grande Double Sonnerie กลับต้องการแนวทางเชิงโครงสร้างที่ใหม่ทั้งหมด ซึ่งแทบไม่เคยปรากฏในโลกของ grand complication มาก่อนเลย โดยทั่วไประบบปฏิทินถาวรในนาฬิการะดับ grand complication มักถูกติดตั้งในรูปแบบของโมดูลแยกที่อยู่บนเพลตเฉพาะซึ่งซ้อนอยู่เหนือแท่นเครื่องหลักของกลไก แต่แนวทางนี้กลับไม่สอดคล้องกับสถาปัตยกรรมแบบเปิดของ Grande Double Sonnerie เนื่องจากเพลตของโมดูลปฏิทินจะบดบังทัศนียภาพของกลไกsonnerie ทำให้ไม่สามารถชื่นชมความงดงามและมองเห็นการทำงานได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ Blancpain จึงเลือกแนวทางที่ยากกว่ามาก นั่นคือการผสานกลไกปฏิทินเข้ากับเครื่องนาฬิกาโดยตรงโดยไม่ใช้เพลตแยกใดๆ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมเชิงโครงสร้างที่แทบไม่เคยมีมาก่อนในวงการ
สำหรับการจัดวางการแสดงผล วันที่มีการจัดแสดงผลบริเวณขอบด้านซ้ายของเครื่องส่วนวันในสัปดาห์ เดือน และปีอธิกสุรทินแสดงผลผ่านหน้าปัดย่อยสองวงทางด้านขวา โดยปกติระบบปุ่มปรับใต้ขาตัวเรือนที่จดสิทธิบัตร เฉพาะของ Blancpain จะติดตั้งอยู่ภายในตัวเรือน พร้อมสปริงขนาดเล็กที่ช่วยให้ปุ่มคืนกลับสู่ตำแหน่งเดิมหลังใช้งาน ผู้สวมใส่สามารถปรับปฏิทินได้อย่างง่ายดายด้วยปลายนิ้ว โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือใดๆ ทว่ากับ Grande Double Sonnerie ซึ่งมีโครงสร้างพิเศษของ acoustic membrane จึงจำเป็นต้องมีการออกแบบระบบขึ้น ใหม่ทั้งหมด โดยได้ย้ายตำแหน่งของปุ่มปรับและสปริงคืนกลับให้ติดตั้งอยู่ภายในกลไกโดยตรง ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยผสมผสานความสะดวกในการใช้งานเข้ากับความสง่างามเชิงเทคนิคได้อย่างสมบูรณ์แบบ สะท้อนถึงจิตวิญญาณตามแบบฉบับของ Blancpain อย่างแท้จริง


งานขัดแต่ง
การขัดแต่งถือเป็นศิลปะแขนงหนึ่งของการประดิษฐ์นาฬิกาชั้นสูง และ Blancpain มีเวิร์กช็อปสำหรับการขัดแต่ง กลไกระดับสูงโดยเฉพาะที่ Le Brassus ซึ่งรวบรวมงานตกแต่งและเทคนิคแบบดั้งเดิมจากเหล่าบรรดาช่างฝีมือผู้เปี่ยมด้วยประสบการณ์และความประณีตสูงสุด
เพื่อเผยให้เห็นถึงความงดงามของงานฝีมืออันวิจิตร Blancpain ได้เลือกใช้ทองคำ 18 กะรัต สำหรับแท่นเครื่อง และสะพานจักรทั้งหมดของ Grande Double Sonnerie วัสดุอันล้ำค่านี้ไม่เพียงมอบความงามอันโดดเด่นตระการตา แต่ยังต้องการทักษะความชำนาญ และความอดทนในระดับสูงสุด เนื่องจากความนุ่มของทองคำทำให้มันมีความละเอียดอ่อนในการใช้งานมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโลหะทั่วไปอย่างมาก จึงปราศจากพื้นที่สำหรับความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย และต้องอาศัยความเชี่ยวชาญขั้นสูงสุดของช่างฝีมือเพื่อให้ได้ผลงานที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ นอกจากนั้นทองคำยังมอบโทนสีที่อบอุ่นเฉพาะตัวให้กับกลไกของนาฬิกา พื้นผิวที่ผ่านการขัดเงาด้วยมือจะเปล่งประกายเจิดจรัสเหนือกว่าความเงางามของทองเหลืองหรือเงินเยอรมันซึ่งเป็นวัสดุที่นิยมใช้โดยทั่วไป
เช่นเดียวกับทุกเรือนเวลาชั้นสูงของ Blancpain งานตกแต่งอันละเอียดประณีตไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบนพื้นผิวที่สามารถมองเห็นได้จากหน้าปัดแบบเปิดหรือฝาหลังใสเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงทุกๆ ด้านของชิ้นส่วนซึ่งเป็นพื้นที่ที่โดยปกติแล้วจะมีเพียงช่างประกอบหรือช่างซ่อมบำรุงในอนาคตเท่านั้นที่จะได้เห็น
สิ่งที่เป็นหลักฐานแห่งความประณีตของงานฝีมือในเวิร์กช็อปนี้ คือ มุมภายใน 135 มุม ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยมือบนชิ้นส่วนของกลไก การตกแต่งมุมเหล่านี้ต้องผ่านกระบวนการทำมือที่ละเอียดลออ โดยเริ่มจากการแกะสลักขอบด้วยมืออย่างระมัดระวัง ตามด้วยการขัดเงาด้วยไม้และผงขัดละเอียดหลายระดับ ก่อนจะจบขั้นตอนสุดท้ายด้วยการขัดด้วยก้านไม้ gentian ซึ่งขึ้นเองตามธรรมชาติในหุบเขา Vallée de Joux
ผู้รู้ในแวดวงการนาฬิกาชั้นสูงต่างทราบดีว่า มุมภายในที่คมชัดเหล่านี้ไม่สามารถสร้างได้จากเครื่องมือไฟฟ้าใดๆ ดังนั้น เมื่อพวกเขาพบเห็นมุมเหล่านี้ในกลไก จึงรู้ได้ทันทีว่าสิ่งนี้คือเครื่องหมายแห่งงานตกแต่งขั้นสูงด้วยมือระดับ haute horlogerie อย่างแท้จริง


ช่างประดิษฐ์นาฬิกา
สำหรับช่างประดิษฐ์นาฬิกาแล้ว โลกทั้งใบดูเหมือนจะย่อส่วนลงสู่มิติแห่งความละเอียด...แว่นขยาย ชิ้นส่วนขนาดจิ๋ว โต๊ะทำงาน...และความเงียบงันที่รายล้อมอยู่รอบตัว แต่สำหรับ Romain และ Yoann สองช่างประดิษฐ์นาฬิกาผู้รังสรรค์ชีวิตให้กับ Grande Double Sonnerie ภาพนั้นเป็นจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น ทั้งสองได้ร่วมงานกับ Blancpain มายาวนานกว่าหนึ่งทศวรรษ และได้อุทิศช่วงเวลาสำคัญของชีวิตการทำงานให้กับการ minute repeater ทว่าการต้องประกอบกลไกที่มีชิ้นส่วนมากกว่า 1,000 ชิ้นของ Grande Double Sonnerie ได้เปิดโลกทัศน์ของพวกเขาให้กว้างไกลยิ่งกว่าที่เคยรู้จัก พวกเขาต้องละออกจากความโดดเดี่ยวของแว่นขยายและโต๊ะทำงาน Romain และ Yoann ต้องหันมาร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ไม่เพียงแต่กับกันและกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำงานร่วมกับทีมออกแบบกลไก เพื่อพัฒนาเทคนิคอันละเอียดอ่อนและวิธีการเฉพาะสำหรับการรังสรรค์ Grande Double Sonnerie ให้เกิดขึ้น สิ่งที่ทั้งคู่เผชิญนั้นซับซ้อนเกินกว่าความท้าทายของ minute repeater ทั่วไปอย่างเทียบไม่ได้ เพราะในขณะที่ minute repeater ยังคงมีความยืดหยุ่นในเรื่องของเสียงและจังหวะขอเพียงเสียงนั้นฟังดูไพเราะและสม่ำเสมอก็ถือว่าสำเร็จ แต่ Grande Sonnerie กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะการที่มีสองท่วงทำนองนั้น ต้องการความแม่นยำในระดับสูงสุด ทั้งในเรื่องของระดับเสียงที่ต้องเที่ยงตรงทุกโน้ต และจังหวะที่ต้องสมบูรณ์แบบอย่างไม่ผิดเพี้ยน ยิ่งไปกว่านั้นโครงสร้างของกลไกยังมีความซับซ้อนอย่างยิ่งเนื่องจากองค์ประกอบทั้งหมดถูกรวมอยู่บนแท่นเครื่องเพียงชิ้นเดียวซึ่งแตกต่างจาก grand complication อื่นๆ มันไม่มีแบบแผน ไม่มีสูตรสำเร็จ หรือแนวทางดั้งเดิมใดๆ ที่จะใช้เป็นต้นแบบในการรังสรรค์เรือนเวลาสุดล้ำนี้ได้ ทีมงานใช้เวลานานกว่าหกเดือนเพื่อวางแผนขั้นตอนการประกอบ และที่สำคัญที่สุดคือการออกแบบและสร้างเครื่องมือ เฉพาะสำหรับภารกิจจำนวนนับไม่ถ้วนที่รออยู่เบื้องหน้า ณ ตอนนี้ นาฬิกาแต่ละเรือนจะใช้เวลาในการประดิษฐ์เกือบ 12 เดือนเต็ม และแต่ละเรือนจะถูกประกอบขึ้นอย่างพิถีพิถันตั้งแต่ต้นจนจบโดยช่างเพียงคนเดียว นั่นคือ Romain หรือ Yoann เมื่อช่างประดิษฐ์นาฬิกาแต่ละคนประดิษฐ์ผลงานแต่ละเรือนเสร็จสมบูรณ์ จะมีช่วงเวลาอันเงียบสงบสำหรับความภาคภูมิใจส่วนตัวและรางวัลของการลงมือทำเป็นระยะเวลาหลายเดือน Romain หรือ Yoann จะสลักลายมือชื่อของตนเองไว้ด้านหลังของเพลต Blancpain ทองคำก่อนจะติดลงบนกลไกที่พวกเขาได้ รังสรรค์ขึ้นมา
21 พ.ย. 2568
23 พ.ย. 2568
23 พ.ย. 2568