MB&F Horological Machine No11

Last updated: 10 ธ.ค. 2568  |  34 จำนวนผู้เข้าชม  | 

MB&F Horological Machine No11

ทาง MB&F เปิดตัว Horological Machine N°11 ในปี 2023 นาฬิกาที่พลิกโฉมความคาดหมายของการบอกเวลา ราวกับสถาปัตยกรรมขนาดย่อมที่สามารถสวมใส่บนข้อมือ  โดยเกิดจากวิสัยทัศน์ของ Maximilian Büsser ร่วมกับนักออกแบบ Eric Giroud ได้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมแนวออร์แกนิกและนีโอฟิวเจอริสม์ของทศวรรษ 1960–1970 ก่อนที่
ในปี 2025 ทาง Maximilian Maertens จะนำโครงสร้างเอกลักษณ์ของรุ่นต้นแบบมาตีความใหม่ในมุมมองแบบอาร์ตเดโค
ของทศวรรษ 1930 พร้อมต่อยอดจนเกิดเป็นบทถัดไปของซีรีส์นี้  นั่นคือ HM11 Art Deco

The original HM11 Architect
“บ้านคือเครื่องจักรสำหรับอยู่อาศัย” Le Corbusier เคยกล่าวไว้ — และ MB&F ได้นำถ้อยคำนี้มาตีความอย่างเป็นรูปธรรมผ่าน HM11 ซึ่งพลิกนิยามของ “ตัวเรือนนาฬิกา” ให้กลายเป็นบ้านขนาดเล็กบนข้อมือ ด้วยการออกแบบห้องสี่ห้องอย่างสมมาตรล้อมรอบเอเทรียมกลางที่ประดับฟลายอิงทูร์บิญองใต้โดมแซฟไฟร์คู่ แต่ละห้องมีหน้าที่เฉพาะ ทั้งแสดงเวลา บอกพลังงานสำรอง วัดอุณหภูมิแบบกลไก และเป็นโมดูลตั้งเวลา ขณะที่ตัวเรือนทั้งชิ้นสามารถหมุนเพื่อให้ห้องใดก็ตามหันเข้าหาผู้สวมใส่ ทุกการหมุน 45° จะสะสมพลังงาน 72 นาที และเมื่อหมุนครบสิบรอบจะได้พลังงานเต็มสำหรับการทำงาน 4 วัน (96 ชั่วโมง)  เพื่อมอบประสบการณ์เชิงสัมผัส ให้ผู้ครอบครองรู้สึกใกล้ชิดกับการทำงานของกลไก

ตัวเรือนไทเทเนียมเกรด 5 ขนาด 42 มม. ถูกสร้างขึ้นดุจสถาปัตยกรรมขนาดเล็กบนข้อมือ ด้วยผนังโค้ง เส้นสายอ่อนช้อย โดมแซฟไฟร์ซ้อน และเม็ดมะยมกว้างเกือบสิบมิลลิเมตรที่ได้รับการออกแบบอย่างประณีต พร้อมระบบปะเก็นหลายชั้นแบบ “airlock” เพื่อให้ใช้งานได้อย่างมั่นใจ ภายในบรรจุกลไกไขลานอินเฮาส์ที่ขับเคลื่อนฟลายอิงทูร์บิญองกึ่งลอยตัวบริเวณศูนย์กลาง อาศัยระบบเฟืองเฉียง แขวนลอยด้วยสปริงเหล็กสี่ชิ้นที่ตัดด้วยเลเซอร์จากเทคโนโลยีการบินอวกาศ ผลงานรุ่นใหม่ได้เผยโฉมสุนทรียศาสตร์ ครึ่งหนึ่งคือนาฬิกา อีกครึ่งหนึ่งคือโครงสร้างที่ให้ความรู้สึกราวกับสามารถอยู่อาศัยได้


The new HM11 Art Deco
HM11 Art Deco รุ่นใหม่ยังคงอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน แต่ถ่ายทอดด้วยภาษาดีไซน์ที่แตกต่างอย่างเด่นชัด ภายใต้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่ง Maximilian Maertens หลงใหล ไม่ว่าจะเป็นโรงภาพยนตร์ในกรุงปารีสไปจนถึงตึกระฟ้าแห่งแมนฮัตตัน ดีไซน์ใหม่นี้ได้เปลี่ยนจากเส้นสายออร์แกนิกของรุ่น Architect มาสู่รูปทรงเรขาคณิตและจังหวะลักษณะเฉพาะของศิลปะอาร์ตเดโค

บนด้านหน้าปัด ลวดลาย “sunbeam” ที่แผ่ออกเป็นวงและเซาะโปร่งบางส่วนเพื่อให้อ่านค่าได้ชัดเจน เข้ามาแทนที่แกนทรงกรวยของรุ่นเดิม ขณะที่วงแหวนทูโทนและตัวอักษรซึ่งได้แรงบันดาลใจจากยุคสมัยนั้น ช่วยกำหนดเอกลักษณ์เฉพาะของการแสดงเวลา เข็มนาฬิกาแต่งเอฟเฟกต์คล้ายกระจกสีด้วยอีนาเมลโปร่งแสง ส่วนสะพานจักรได้รับการออกแบบให้สูงขึ้นในแนวตั้ง คล้ายลวดลายสโตนเวิร์คประดับอาคาร เส้นสันบน หลังคาสะท้อนเงาแบบขั้นบันไดของตึกระฟ้าเช่น Chrysler Building ขณะที่สะพานทูร์บิญองที่ออกแบบใหม่ระนาบแนวตรงกับแผ่นฐาน สร้างแกนเชื่อมโครงสร้างทั้งหมดเข้าด้วยกัน แม้แต่เม็ดมะยมยังประดับด้วยขั้นบันได เมื่อรวมองค์ประกอบทั้งหมดเข้าด้วยกัน การปรับโฉมนี้จึงถ่ายทอดความรู้สึกของเส้นสายที่ดูมีมิติขึ้น ราวกับสกายไลน์ตามสไตล์อาร์ตเดโค

เมื่อมอง HM11 ทั้งสองรุ่นเคียงข้างกัน จะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน รุ่นดั้งเดิม Architect ถ่ายทอดเส้นโค้งของคอนกรีตในยุค 1970 ให้ความรู้สึกที่สัมผัสได้ และเต็มไปด้วยการทดลอง ขณะที่รุ่นใหม่ สะท้อนสไตล์ Art Deco ตั้งตรง
มีโครงสร้างชัดเจน และเต็มไปด้วยเส้นสายกราฟิก ราวกับเมืองขนาดเล็ก แต่ทั้งสองรุ่นล้วนมีจิตวิญญาณเดียวกัน นาฬิกากลไกชั้นสูงที่ไม่ได้มีไว้เพียงสวมใส่เท่านั้น แต่เพื่อให้ผู้เป็นเจ้าของได้ “ใช้ชีวิต” ไปกับนาฬิกา

HM11 Art Deco ผลิตในสองรุ่นพิเศษ รุ่นละ 10 เรือน รวมทั้งหมด 20 เรือน เพื่อฉลองครบรอบ 20 ปีของ MB&F ทั้งสองรุ่นมาพร้อมตัวเรือนทำจากไทเทเนียมเกรด 5:
· หน้าปัดสีน้ำเงิน พร้อมสะพานเยลโล่โกลด์ 3N จับคู่กับสายลิซาร์ดสีขาว
· หน้าปัดสีเขียว พร้อมสะพานโรสโกลด์ 5N จับคู่กับสายลิซาร์ดสีเบจ


HM11 ARCHITECT & HM11 ART DECO
Blurring the lines between horology and architecture
ในปี 2023 ผลงาน HM11 ได้ถือกำเนิดขึ้นในฐานะไฮบริดที่ผสานความซับซ้อนของการประดิษฐ์นาฬิกาเข้ากับสถาปัตยกรรม ผลงานที่เกิดจากวิสัยทัศน์ของ Maximilian Büsser ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ MB&F ร่วมกับนักออกแบบ Eric Giroud เส้นสายโค้งของนาฬิกาได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมนีโอ-ฟิวเจอริสติกในยุค 1960–1970 สำหรับรุ่น HM11 Art Deco ในปี 2025 นักออกแบบ Maximilian Maertens ได้เติมเต็มรายละเอียดการออกแบบอันโดดเด่นจากศิลปะอาร์ตเดโคในช่วงทศวรรษ 1930ต่อยอดผลงานในมิติใหม่

HM11 Architect
“บ้านคือเครื่องจักรสำหรับอยู่อาศัย” — Le Corbusier เคยกล่าวไว้ และถ้อยคำนี้ได้ตามติด MB&F มาหลายปี เพราะ Horological Machines ของพวกเขาไม่ได้มีไว้เพียงสวมใส่ แต่เป็นสิ่งที่สามารถเข้าไป “อยู่อาศัย” ได้ นาฬิกาเชื้อเชิญให้
ผู้สวมใส่ก้าวเข้าสู่เรื่องราวที่แฝงไว้ บางครั้งเป็นช่วงเวลาที่แตกต่าง บางครั้งเป็นโลกที่ไม่เคยมีอยู่จริง Horological Machine N°11 รุ่นแรกได้ตีความแนวคิดนี้อย่างตรงไปตรงมา วัตถุบนข้อมือจึงกลายเป็นการออกแบบบ้านขนาดเล็กครบครันด้วยห้องต่าง ๆ เอเทรียม ทางเดิน และประตูหน้า ผลลัพธ์จึงไม่ใช่เพียงตัวเรือนแบบดั้งเดิมที่มีหน้าปัด แต่เป็นสถาปัตยกรรมขนาดย่อมที่สามารถบอกเวลาได้

HM11 Architect รุ่นเปิดตัวในปี 2023 ถ่ายทอดแนวคิดการออกแบบที่ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 ยุคที่สถาปนิกแนวใหม่บางคนเริ่มสร้างอาคารในรูปแบบออร์แกนิก พวกเขาออกแบบบ้านที่ดูเหมือนโลกได้หายใจออกเป็นรูปทรง: เส้นสายพองตัวและโค้งเว้า ปริมาตรถูกจัดวางให้สอดรับกับสายตาและสัดส่วนร่างกายให้ความรู้สึกที่สัมผัสได้ ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่ปรากฏผ่านรูปร่างและขนาดของสิ่งก่อสร้าง Maximilian Büsser เห็นบ้านออร์แกนิกเหล่านี้แล้วเกิดความคิดว่า แล้วถ้าบ้านหลังหนึ่งกลายเป็น “นาฬิกา” ล่ะ?

คำตอบนั้นคือ HM11 Architect โดยมีฟลายอิงทูร์บิญองจัดวางอยู่ตรงกลางใต้หลังคาแซฟไฟร์คู่ทรงโดม สะพานรูปทรงสี่แฉกชวนให้นึกถึงหน้าต่างสูงแบบ clerestory จากจุดศูนย์กลาง ปริมาตรสี่ชุดจัดวางอย่างสมมาตรแผ่ออกไป กลายเป็นห้องต่าง ๆ ของบ้าน ห้องทั้งสี่ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ แต่ละห้องมีหน้าที่เฉพาะตัว และสามารถปรับให้หันตรงเข้าสู่ผู้สวมใส่หรือเลื่อนออก 45 องศาได้เพียงหมุนตัวเรือน การจัดวางจึงเป็นเรื่องของทางเลือก ไม่ใช่ข้อบังคับ

ห้องแสดงผลให้สิ่งสำคัญที่สุด: ชั่วโมงและนาทีถูกแสดงอย่างชัดเจนและอบอุ่นราวกับอยู่ในบ้าน บอกเวลาชั่วโมงใช้ลูกบอลติดแท่งเป็นสัญลักษณ์ โดยลูกบอลอะลูมิเนียมขนาดใหญ่และสีอ่อนแสดงไตรมาส ส่วนลูกบอลไทเทเนียมขนาดเล็กและสีเข้มเติมเต็มรอบวง ห้องถัดมาแสดงพลังงานสำรอง ลูกบอลห้าลูกเพิ่มขนาดตามระดับลาน โดยลูกบอลอะลูมิเนียมขัดเงาขนาด 2.4 มม. บอกสถานะพลังงานเต็ม อีกห้องติดตั้งเทอร์โมมิเตอร์ซึ่งเป็นระบบกลไกใช้แถบโลหะสองชนิด ครอบคลุมช่วง -20 ถึง 60 องศาเซลเซียส หรือ 0–140 องศาฟาเรนไฮต์ ส่วนห้องสุดท้ายดูเรียบง่าย มีเพียงสัญลักษณ์ MB&F Battle Axe ขนาดเล็ก ทำหน้าที่เป็นโมดูลตั้งเวลา การดึงยูนิตโปร่งใสจะเปิด “ประตู” พร้อมเสียงคลิก หมุนเพื่อปรับเข็ม และเม็ดมะยมทำหน้าที่เสมือนกุญแจของบ้าน

การไขลานไม่ได้ทำผ่านเม็ดมะยม แต่เกิดขึ้นจากการหมุนตัวเรือนทั้งหมดบนฐานรอง ทุกการหมุนตามเข็มนาฬิกา 45 องศา จะส่งเสียงคลิก พร้อมมอบพลังงานบรรจุในบาร์เรล 72 นาที และเมื่อหมุนครบสิบรอบ จะได้พลังงานเต็มกำลังสำหรับสำรองพลังงานสี่วัน (96 ชั่วโมง) ความรู้สึกนี้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้สวมใส่ครั้งแรก การไขลานจึงกลายเป็นการบิดวัตถุทั้งชิ้น แทนที่จะเป็นการขยับปลายนิ้วเพียงเล็กน้อย สายสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของกับจักรกลจึงแนบแน่นขึ้นผ่านการสัมผัส ทั้งสนุกสนานและแม่นยำ

ตัวเรือนขนาด 42 มม. แสดงให้เห็นว่าการเปรียบเทียบบ้านสามารถนำมาขยายในนาฬิกาได้ไกลเพียงใด ตัวเรือนทำจากไทเทเนียมเกรด 5 ซึ่งทำหน้าที่เป็นผนังภายนอกของแต่ละห้อง เอเทรียมเปิดรับแสงผ่านหลังคาโปร่งใสที่สร้างจากโดมคริสตัลแซฟไฟร์ซ้อนสองชั้น เม็ดมะยมทำจากแซฟไฟร์เช่นกัน มีขนาดเกือบสิบมิลลิเมตร ถือเป็นคุณสมบัติที่ไม่เคยมีมาก่อนและต้องการวิศวกรรมเฉพาะ เม็ดมะยมขนาดใหญ่ไม่สามารถอาศัยปะเก็นชิ้นเดียวได้ เพราะแรงเสียดทานจะทำให้ใช้งานไม่ได้ ทางแก้คือการซ้อนปะเก็นเหมือนระบบ double airlock โดยเม็ดมะยมเพียงอย่างเดียวมีปะเก็นทั้งหมดแปดชิ้น และเมื่อนับรวมปะเก็นรอบตัวเรือนและขอบหน้าปัด จะมีทั้งหมดสิบเก้าชิ้น

กลไกใต้หลังคาเป็นกลไกไขลานอินเฮาส์ ออกแบบในรูปแบบสามมิติและสร้างขึ้นรอบระบบเฟืองเฉียง ฟลายอิงทูร์บิญองกำหนดจังหวะการทำงานที่ 2.5 เฮิรตซ์ หรือ 18,000 ครั้งต่อชั่วโมง ระบบกันสะเทือนช่วยแยกกลไกออกจากแรงกระแทกด้วยสปริงแขวนแรงดึงสูงสี่ชิ้นซ่อนอยู่ระหว่างกลไกกับตัวเรือนด้านล่าง สปริงเหล่านี้ไม่ใช่ลวดขดธรรมดา แต่เป็นชิ้นส่วนเฉพาะที่ตัดด้วยเลเซอร์จากท่อเหล็กแข็งเคลือบโครเมียม ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาที่พัฒนามาจากเทคโนโลยีการบินอวกาศ


HM11 รุ่นแรกเปิดตัวในสองรุ่นพิเศษ โดยมีหน้าปัดและสะพานเป็นสีโอซูนบลูหรือพิงค์โกลด์ รุ่นละ 25 เรือน ให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งมีชีวิตสปีชี่ส์ใหม่บนข้อมือ วัตถุดูราวกับสถาปัตยกรรม แต่ในมือกลับให้ความรู้สึกเหมือนยานอวกาศจากยุค 1970

HM11 Art Deco
ก้าวต่อไปไม่ใช่การละทิ้ง แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงในการออกแบบ: HM11 Art Deco ถ่ายทอดแนวทางใหม่โดยยังคงรากฐานเดิม ผู้รับผิดชอบแนวทางใหม่นี้คือ Maximilian Maertens จากเบอร์ลิน เส้นทางของเขาสู่ยุคสมัยนั้นไม่ได้มาจากการเรียนเชิงวิชาการ แต่เกิดขึ้นเมื่อเขาอายุเพียงสิบหกปี ขณะไปเยี่ยมชมโรงภาพยนตร์ Rex ในกรุงปารีสและสังเกตว่าอาคารหลังนั้นโดดเด่นต่างจากเมืองที่เต็มไปด้วยทางเข้าและหน้าต่างสไตล์อาร์ตนูโว ความทรงจำนี้ฝังอยู่ในใจและกลายเป็นเข็มทิศสำหรับการออกแบบ โดยมีภารกิจชัดเจน: พัฒนา Architect ให้ก้าวหน้าโดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์

Art Deco ปรากฏใน HM11 ผ่านโครงสร้างและเส้นสายกราฟิก ฝั่งหน้าปัดใช้แนวคิดทูโทน แยกวงแหวนและพื้นที่แสดงผล การแสดงผลเปลี่ยนจากแท่งทรงกรวยดั้งเดิมเป็นลวดลาย “sunbeam” แผ่ออกเป็นวง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของโปสเตอร์ในยุคนั้น ส่วนการแสดงอุณหภูมิใช้ตัวอักษรที่เชื่อมโยงกับยุคสมัย งานโลหะทำให้ภาษาการออกแบบเป็นรูปธรรม สะพาน
ที่มองเห็นจากด้านบนถูกปรับให้ตั้งสูงขึ้นเป็นบล็อกสี่เหลี่ยม เส้นขอบสะพานชวนให้นึกถึงลวดลายหินประดับและจังหวะ
ที่เรียบง่ายของผนังอาคาร บนตัวเรือน ส่วนหลังคาขนาดเล็กถูกปรับเส้นร่องละเอียดสะท้อนรูปทรงขั้นบันไดของตึกระฟ้า เช่น Chrysler Building มองจากด้านบนให้ความรู้สึกเหมือนหอคอยขนาดเล็ก ส่วนเมื่อมองผ่าน ๆ จะสร้างจังหวะแนวตั้งที่เข้ากับลวดลาย sunbeam บนหน้าปัดอย่างกลมกลืน

สะพานทูร์บิญองถูกออกแบบใหม่ให้แกนเชื่อมต่อกับสะพานเพลตฐานหลักขนาดใหญ่ เมื่อจัดแนวอย่างแม่นยำ เส้นสาย
ที่เรียบง่ายจะทอดตัวผ่านตัวเรือน เชื่อมโยงสถาปัตยกรรมทั้งหมดเข้าด้วยกัน เม็ดมะยมก็ได้รับการปรับให้มีขั้นบันไดเล็ก ๆ สะท้อนงานโปสเตอร์แบบซ้อนชั้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แม้จะละเอียดอ่อน แต่สะท้อนแนวทางการออกแบบใหม่ของ HM11 คือการตัดสินใจอย่างรอบคอบหลายครั้ง และให้ผลรวมของการตัดสินใจเหล่านั้นสนับสนุนแนวคิดโดยรวม

ความแตกต่างระหว่าง HM11 ทั้งสองรุ่นจะเห็นได้ชัดเมื่อวางนาฬิกาเคียงข้างกัน รุ่น Architect ให้ความรู้สึกเหมือนคอนกรีตฉาบสด มีเส้นสายโค้งมน ออร์แกนิก และเต็มไปด้วยการทดลอง ขณะที่รุ่น Art Deco ตั้งตรงมากขึ้น สื่อสารผ่านเส้นแนวตั้งและลวดลาย sunbeam มีโครงสร้างชัดเจนและกราฟิก รุ่นแรกเหมือนการทดลองเชิงมนุษยนิยม ส่วนรุ่นหลังเปรียบเสมือนเมืองที่กำลังผุดขึ้น มีทั้งหอคอยและผนังอาคารที่แปลเป็นหน่วยมิลลิเมตรและไมครอน ทั้งสองรุ่นมีรากฐานเดียวกัน และต่างบอกเล่าเรื่องราวที่พาผู้สวมใส่ไปสู่สถานที่เฉพาะ ทั้งยังเป็นจักรกลที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้สวมใส่
มีปฏิสัมพันธ์และใช้ชีวิตร่วมกัน

HM11 Art Deco สองรุ่นใหม่ทำจากไทเทเนียมเกรด 5 และผลิตจำนวนจำกัดเพียงรุ่นละ 10 เรือน:
·      หน้าปัดสีน้ำเงิน พร้อมสะพานเยลโล่โกลด์ 3N จับคู่กับสายลิซาร์ดสีขาว
·      หน้าปัดสีเขียว พร้อมสะพานพิงค์โกลด์ 5N จับคู่กับสายลิซาร์ดสีเบจ


HM11 Art Deco in more detail
เรื่องสั้นสองเรื่องอธิบายที่มาของการตัดสินใจออกแบบบางอย่าง เรื่องแรกเกี่ยวกับกรอบหน้าปัด ต้นแบบแรกใช้วงแหวนเต็มโดยไม่มีช่องเปิด แต่เมื่อประกอบแล้ว การอ่านเวลาเที่ยง สาม ทุ่ม และเก้าโมงไม่ชัดเจน ทางแก้คือเปลี่ยนกรอบให้เป็นโครงโปร่งและเปิดช่องเฉพาะด้วยเลเซอร์ หลังการตัด พื้นที่ว่างบนแต่ละเข็มมีขนาดประมาณ 0.2 มิลลิเมตร ใกล้เคียงกับความหนาของเส้นผมสองเส้น การจัดตำแหน่งและทำมาตรแสดงจึงต้องแม่นยำ ลำดับการผลิตจึงปรับให้ขั้นตอนเสี่ยงนี้เกิดก่อนการขัดแต่งขั้นสุดท้าย ไม่ใช่หลังจากนั้น กรอบจึงได้รับการตกแต่งด้วยการเจียระไน การพ่นทรายและการขันพื้นผิวซาตินแบบวงกลม ทำให้รูปลักษณ์คมชัดและการอ่านค่าง่ายขึ้น

เรื่องที่สองเกี่ยวกับเข็มนาฬิกา นักออกแบบต้องการสร้างเอฟเฟกต์คล้ายกระจกสีแดง เคยพิจารณาใช้ทับทิม แต่รูปทรงเรขาคณิตไม่สามารถทำให้ใช้งานได้ จึงเลือกทางออกโดยใช้เอนาเมลโปร่งแสง การทดลองหลายสิบครั้งช่วยกำหนดเฉดสีที่ชัดเจนทั้งเมื่อแสงส่องตรงและเมื่อส่องผ่านจากด้านหลัง ผลลัพท์ที่ได้จึงโปร่งแสงแต่มีความขุ่นเล็กน้อย นาฬิกามีเข็มทั้งหมดสี่ชิ้น โดยแต่ละชิ้นแตกต่างเล็กน้อยเพื่อให้สอดคล้องกับกราฟิกที่ตั้งใจไว้ของการแสดงผลแต่ละประเภท

รายละเอียดสำคัญใน HM11 Art Deco รุ่นใหม่นี้อยู่ที่การขัดแต่ง สะพานจักรกลด้านบนมีมุมภายในจำนวนมาก ซึ่งขัดแต่งด้วยมือ และมีเพียงผู้เชี่ยวชาญไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำได้อย่างเรียบร้อยและสม่ำเสมอ สะพานจักรกลด้านล่างสะท้อนรูปทรงเดียวกัน ส่วนสะพานรอบนอกทั้งสี่ชิ้นสลับระหว่างพื้นผิวขัดมันและซาติน ทำให้แสงเคลื่อนผ่านผิวต่าง ๆ ในภาพเรนเดอร์ เอฟเฟกต์นี้แทบมองไม่เห็น แต่เมื่อมองด้วยตาจริง กลับกลายเป็นสิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาเมื่อข้อมือเคลื่อนไหว

รายละเอียดกระจกของ HM11 Art Deco สมควรได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ร่องแต่ละเส้นถูกเจียระไนด้วยเครื่องมือเฉพาะทาง ร่องขนาดใหญ่ผ่านการขัดแต่งด้วยมือเพื่อลบรอยจากกระบวนการขึ้นรูป การเคลือบโลหะสีแอนทราไซต์เข้มพิเศษถูกนำมาใช้บริเวณขอบกระจกเพื่อช่วยพรางปะเก็นและองค์ประกอบโครงสร้างภายใน เทคนิคนี้พิสูจน์ประสิทธิภาพแล้วตั้งแต่ HM11 รุ่นแรก และยังคงใช้งานได้ผลในรุ่นนี้ ด้านล่างตัวเรือนผ่านการพ่นทรายเพื่อให้ได้โทนสีเรียบสม่ำเสมอ ส่วนพื้นที่ด้านบนสลับระหว่างขัดมันและขัดซาตินตามลวดลายกราฟิกใหม่ วงแหวนด้านนอกแบบขั้นบันไดถือเป็นการปรับเปลี่ยนที่มองเห็นได้ชัดเจนและช่วยเชื่อมโยงภาพรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน

ไม่มีรายละเอียดใดเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของจักรกล ความท้าทายอยู่ที่กระบวนการผลิตและการขัดแต่งอย่างพิถีพิถัน ตัวเรือนยังคงใช้ไทเทเนียมเกรด 5 เช่นเดิม ส่วนบนและด้านหลังปิดด้วยกระจกแซฟไฟร์ พร้อมแผ่นแสดงผลแต่ละห้องที่ครอบด้วยแซฟไฟร์และเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนทั้งสองด้าน ความสามารถกันน้ำยังคงอยู่ที่ 20 เมตร ภายในเป็นกลไกไขลานอินเฮาส์ เดินด้วยความถี่ 2.5 เฮิร์ต พร้อมพลังงานสำรอง 96 ชั่วโมง การไขลานยังทำโดยการหมุนตัวเรือนทั้งชิ้น ฟังก์ชั่นประกอบด้วยการแสดงผลชั่วโมง นาที พลังงานสำรอง และอุณหภูมิ ซึ่งยังคงไว้อย่างครบครัน

คำอธิบายสั้น ๆ เรื่องความสะดวกสบายช่วยให้ภาพรวมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น แม้จะมีโครงสร้างสามมิติที่ซับซ้อน ตัวเรือนยังคงกะทัดรัดที่ขนาด 42 มม. ตัวเชื่อมสายนาฬิกาทรงโค้งที่ทำหน้าที่เป็นจุดยึดสายนาฬิกาช่วยกระจายน้ำหนักและเพิ่มความเสถียรระหว่างการไขลาน ขณะที่โครงสร้างไทเทเนียมช่วยลดน้ำหนักโดยรวม

MB&F ต้นกำเนิดแห่งแนวคิดห้องปฏิบัติการด้านเครื่องจักรกลบอกเวลา
ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2005 เอ็มบีแอนด์เอฟ (MB&F) คือห้องปฏิบัติการเครื่องจักรกลบอกเวลาแนวคิดใหม่แห่งแรกของโลก ด้วยชุดกลไกที่น่าทึ่งเกือบ 20 ชุด ที่สร้างฐานอันมั่นคงให้กับเครื่องจักรกลบอกเวลาอันมีชื่อเสียง ทั้งในคอลเลกชั่น ออโรโลจิคัล แมชชีน (Horological Machines) และ เลกาซี แมชชีน (Legacy Machines) โดย MB&F ยังคงดำเนินรอยตามวิสัยทัศน์ของ แม็กซิมิเลียน บูซเซอร์ (Maximilian Büsser) ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการด้านการสร้างสรรค์ในการสร้างศิลปะจลศาสตร์สามมิติที่แตกต่างจากการประดิษฐ์นาฬิกาแบบดั้งเดิม

หลังจาก 15 ปีของการบริหารงานให้กับเหล่าแบรนด์นาฬิกาอันทรงเกียรติ แม็กซิมิเลียน บูซเซอร์ ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการบริหาร ณ แฮร์รี วินสตัน (Harry Winston) ในปี ค.ศ. 2005 เพื่อสร้างสรรค์แบรนด์ MB&F ที่ย่อมาจากแม็กซิมิเลียน บูซเซอร์ แอนด์ เฟรนด์ส (Maximilian Büsser & Friends) โดย MB&F เป็นห้องปฏิบัติการเชิงศิลป์และวิศวกรรมจุลภาค ที่ทุ่มเทให้กับการออกแบบและประดิษฐ์รังสรรค์นาฬิกาตามแนวคิดสุดขั้ว ด้วยจำนวนการผลิตไม่มาก แต่เป็นการรวบรวมเหล่ายอดฝีมือและมืออาชีพด้านเครื่องบอกเวลาผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ ที่บูซเซอร์ทั้งให้ความเคารพและสนุกกับการทำงานร่วมกัน

ในปี ค.ศ. 2007 MB&F เปิดตัวนาฬิกา ออโรโลจิคัล แมชชีน (Horological Machine) รุ่นแรกใน เอชเอ็ม1 (HM1) ภายใต้ประติมากรรมตัวเรือนสามมิติและเครื่องยนต์ (กลไก) ที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม ซึ่งได้มอบมาตรฐานให้กับเหล่านาฬิกาในตระกูล ออโรโลจิคัล แมชชีน รุ่นถัดมา ที่นับเป็นแมชชีน (Machines) ทุกๆ เรือนซึ่งบอกเวลาได้ มิใช่เป็นเพียงในฐานะเครื่องบอกเวลาเท่านั้น โดย ออโรโลจิคัล แมชชีน ได้ออกสำรวจมาแล้วทั้งในโลกอวกาศและนิยายวิทยาศาสตร์ การบิน ซูเปอร์คาร์ อาณาจักรสัตว์ ไปจนถึงสถาปัตยกรรม

ในปี 2011 MB&F ได้เปิดตัวคอลเลกชั่น Legacy Machine ซึ่งนำเสนอผ่านตัวเรือนทรงกลมอันมีเอกลักษณ์ นาฬิกาในคอลเลกชั่นนี้ถือเป็นผลงานที่มีความคลาสสิกมากขึ้น – แน่นอนว่าคลาสสิกในแบบฉบับของ MB&F – โดยเป็นการแสดงความเคารพต่อความยอดเยี่ยมของศาสตร์การทำนาฬิกาในศตวรรษที่ 19 ผ่านการตีความกลไกซับซ้อนจากปรมาจารย์ด้านการประดิษฐ์นาฬิกาในอดีตให้กลายเป็นผลงานศิลปะร่วมสมัย นอกจากนี้ Legacy Machine บางรุ่นยังได้รับการพัฒนาต่อยอดเป็นเวอร์ชั่น EVO ซึ่งมีคุณสมบัติกันน้ำและทนต่อแรงกระแทกได้ดียิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แอคทีฟของนักสะสม โดยปกติแล้ว MB&F จะสลับเปิดตัวระหว่างนาฬิการูปแบบล้ำสมัยสุดขั้วในคอลเลกชั่น Horological Machine กับนาฬิกาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ในคอลเลกชั่น Legacy Machine

โดยมี เอฟ (F) ที่หมายถึงผองเพื่อน (Friends) และเป็นไปโดยธรรมชาติที่ MB&F ได้พัฒนาความร่วมมือขึ้นมากมายร่วมกับเหล่าศิลปิน ช่างนาฬิกา นักออกแบบ และผู้ผลิต ที่พวกเขาต่างยกย่อง

และด้วยความร่วมมือนี้เองที่ได้นำพามาซึ่งสองสาขาใหม่ นั่นคือศิลปะการแสดง (Performance Art) และความร่วมมือแห่งการสร้างสรรค์ (Co-creations) ขณะที่ชิ้นงานศิลปะการแสดงนั้นคือแมชชีนรุ่นต่างๆ ของ MB&F ที่ได้นำมากลับมารังสรรค์ใหม่อีกครั้งโดยผู้เชี่ยวชาญและเปี่ยมด้วยพรสวรรค์จากนอกองค์กร กับความร่วมมือแห่งการสร้างสรรค์ต่างๆที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพียงนาฬิกาข้อมือ แต่ยังรวมไปถึงประเภทอื่นๆ ของเครื่องยนต์จักรกลหรือแมชชีน ที่ผ่านการคิดค้นทางวิศวกรรมและรังสรรค์ขึ้นด้วยงานฝีมือโดยเหล่าผู้ผลิตนาฬิกาสวิสจากแนวคิดและงานออกแบบของ MB&F และผลงานหลายๆ ชิ้นจากความร่วมมือแห่งการสร้างสรรค์เหล่านี้ อาทิ นาฬิกาคล็อกบอกเวลาที่สร้างสรรค์ขึ้นร่วมกับเลเป 1839 (L’Epée 1839) เช่นเดียวกับความร่วมมืออื่นๆ กับ รูช (Reuge) และคารันดาช (Caran d’Ache) ที่ได้สร้างสรรค์หลากหลายรูปแบบของศิลปะจักรกลบอกเวลา

และเพื่อมอบสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเครื่องยนต์จักรกลหรือแมชชีนเหล่านี้ทั้งหมด บูซเซอร์ได้มีแนวคิดของการจัดแสดง ผลงานเหล่านี้ไว้ภายในแกลลอรีศิลปะ ร่วมไปกับอีกหลากหลายรูปแบบของศิลปะจักรกลที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยศิลปินแขนงอื่นๆ ที่เป็นมากไปกว่าการจัดแสดงหน้าร้านเหมือนทั่วไป และนั่นได้นำมาสู่การสร้างสรรค์ของ เอ็มบีแอนด์เอฟ แมดแกลลอรี (MB&F M.A.D.Gallery) (M.A.D. หมายถึง Mechanical Art Devices) แห่งแรกขึ้นในเจนีวา ซึ่งต่อมายังได้เปิดตัวตามมาโดยเหล่าแมดแกลลอรีแห่งต่างๆ ทั้งในสิงคโปร์ ไทเป ปารีส และเบเวอร์ลี ฮิลส์

มากไปกว่านั้น ยังมีรางวัลอันโดดเด่นอีกมากมายที่ย้ำเตือนถึงธรรมชาติแห่งนวัตกรรมการเดินทางสร้างสรรค์สำหรับ MB&F ซึ่งหากจะกล่าวถึงบางส่วนแล้ว มีไม่น้อยกว่า 9 รางวัลจากเวทีอันมีชื่อเสียงและทรงเกียรติสูงสุดของกรังด์ ปรีซ์ เดอ’ออร์โลเฌอรี เดอ เฌแนฟ (Grand Prix d'Horlogerie de Genève) ซึ่งรวมไปถึงรางวัลสูงสุด อย่าง เข็มทองคำ (“Aiguille d’Or”) ที่มอบให้กับนาฬิกายอดเยี่ยมแห่งปี โดยในปี  ค.ศ. 2022 แอลเอ็ม ซีเควนเชียล อีโว (LM Sequential EVO) ได้รับรางวัลเข็มทองคำ (Aiguille d’Or) ขณะที่ แมดวัน เรด (M.A.D.1 RED) คว้ารางวัลประเภทชาเลนจ์ (‘Challenge’) มาได้สำเร็จ เช่นเดียวกับใน ค.ศ. 2021 ที่ MB&F ได้รับสองรางวัลอันทรงเกียรติ โดยรางวัลหนึ่งสำหรับผลงานรุ่น แอลเอ็มเอ็กซ์ (LMX) ในฐานะนาฬิกาสลับซับซ้อนสำหรับสุภาพบุรุษยอดเยี่ยม (Best Men’s Complication) และอีกหนึ่งรางวัลจาก แอลเอ็ม เอสอี เอ็ดดี้ ฌาเกต์ ‘อะราวนด์ เดอะ เวิลด์ อิน เอจตี้ เดย์ส’ (LM SE Eddy Jaquet ‘Around The World in Eighty Days’) ในประเภท ‘งานหัตถศิลป์’ (‘Artistic Crafts’) ขณะที่ในปี ค.ศ. 2019 จากรางวัลนาฬิกาสลับซับซ้อนสำหรับสุภาพสตรียอดเยี่ยม (Best Ladies Complication) ที่มอบให้กับ แอลเอ็ม ฟลายอิ้งที (LM FlyingT) และในปี ค.ศ. 2016 จาก แอลเอ็ม เพอร์เพทชวล (LM Perpetual) ที่ชนะรางวัลนาฬิกาปฏิทินยอดเยี่ยม (Best Calendar Watch) หรือเช่นในปี ค.ศ. 2012 ที่ เลกาซี แมชชีน นัมเบอร์ 1 (Legacy Machine No.1) ได้คว้ารางวัลทั้งในสาขารางวัลสาธารณชน (Public Prize) (ซึ่งโหวตโดยเหล่าคนรักเรือนเวลา) และรางวัลนาฬิกาสุภาพบุรุษยอดเยี่ยม (Best Men’s Watch Prize) (โหวตให้โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ) และในปี ค.ศ. 2010 MB&F ชนะรางวัลนาฬิกาคอนเซปต์และงานออกแบบยอดเยี่ยม (Best Concept and Design Watch) จากผลงานรุ่น เอชเอ็ม4 ธันเดอร์โบลต์ (HM4 Thunderbolt) ส่วนในปี ค.ศ. 2015 MB&F ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมของ เรด ดอท (Red Dot: Best of the Best) ซึ่งนับเป็นรางวัลสูงสุดของการมอบรางวัลระดับสากล เรด ดอท อวอร์ดส (Red Dot Awards) จากผลงานรุ่น   เอชเอ็ม6 สเปซ ไพเรท (HM6 Space Pirate)

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้