10 รุ่นที่ต้องไม่พลาดจากงาน Central/Zen International Watch Fair 2018

Last updated: 31 ส.ค. 2561  |  1533 จำนวนผู้เข้าชม  | 

10 รุ่นที่ต้องไม่พลาดจากงาน Central/Zen International Watch Fair 2018


1  Zenith Defy El Primero 21 Chronogrape ที่สุดแห่งนวัตกรรมวัสดุศาสตร์และนวัตกรรมกลไกกับการจับเวลาด้วยความถี่สูงถึง 50 เฮิร์ต ตัวเรือนผลิตจาก Ceramised Aluminum หรืออลูมิเนียมเซรามิก ที่นำอลูมิเนียมไปผ่านกระบวนการทางเคมีสร้างชั้นเซรามิกออกไซด์บนพื้นผิว ทำให้วัสดุมีน้ำหนักเบาและมีพื้นผิวที่ทนทานต่อการเกิดรอยขีดข่วน ทนต่ออุณหภูมิสูง แถมกลไกโครโนกราฟอัตโนมัติ เครื่อง El Primero 21 ยังทำงานได้เสถียรและยอดเยี่ยมด้วยการนำวัสดุอย่าง คาร์บอน-แมทริก คาร์บอน นาโนทูบ มาใช้ผลิตสปริงสายใยของชุดจักรกลอกคู่ที่ขับฟังก์ชันเวลาและจับเวลาแยกกันอิสระ โดยชุดจักรกลอกแรกทำงานด้วยความถี่ 36,000 ครั้งต่อชั่วโมง ส่วนความถี่ในการจับเวลาระบบโครโนกราฟสูงถึง 360,000 ครั้งต่อชั่วโมง หรือ 50 เฮิร์ต



2 Montblanc 1858 Geosphere Limited Edition เรือนนี้สำหรับคนชอบปีนเขาและโลหะสัมฤทธิ์อย่างบรอนซ์ ที่จะเปลี่ยนสีสันเมื่อผ่านการใช้งานและขึ้นอยู่กับเคมีเฉพาะตัวของแต่ละคน นี่คือเสน่ห์ของบรอนซ์ ผลงานรุ่นนี้ยังผลิตจำกัดเพียงแค่ 1858 เรือน ตัวเลขจากปีทีก่อตั้งโรงงานผลิตกลไก Minerva ส่วนหนึ่งของแบรนด์ ที่เด่นไม่เหมือนใครอีกอย่างคือการแสดงเวลาโลกบนลูกโลกแบ่งเป็นซีกโลกเหนือและใต้ พร้อมแสดงตำแหน่งเทือกเขาสูงสุดท้าทาย 7 แห่งของโลกที่นักปีนเขาใฝ่ฝันอยากพิชิตให้ได้สักครั้ง



3 Oris Big Crown Pointer Date ผลงานของคนชอบนาฬิกาที่ผลิตจากบรอนซ์ที่มีคุณสมบัติของริ้วรอยที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอีกเช่นกัน แต่รุ่นนี้ยังจับคู่กับพื้นหน้าปัดสีเขียวที่กำลังก่อตัวเป็นเทรนด์ในแวดวงนาฬิกาจากนี้ไป และเป็นสีเขียวจาก Le Corbusier’s Polychromie architecturale ชาร์ตสีของสถาปัตยกรรมยุค เลอ กอร์บูซิเยร์ แตกต่างและมีเอกลักษณ์ทันสมัยและเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับตัวเรือนบรอนซ์ไม่ว่าจะเป็นสีเริ่มแรกหรือเปลี่ยนไปตามการทำปฏิกิริยากับความชื้นในอากาศและความเป็นกรดด่างของผิวหนัง



4 ถ้า Size is Matter นาฬิกาที่ไม่ควรพลาดชมก็ต้องเป็น Franck Muller รุ่น Vanguard Gravity full diamond ผลงานที่โชว์นวัตกรรมกลไกทูร์บิญองสุดซับซ้อนในขนาดโอเวอร์ไซต์ กินพื้นที่กว่าครึ่งของหน้าปัดด้วยเส้นผ่าศูนย์กลางราว 21.2 มิลลิเมตรและสูงราว 7 มิลลิเมตร จัดเป็นทูร์บิญองที่ใหญ่ที่สุดของวงการนาฬิกาเลยทีเดียว ไม่ใช่แค่ใหญ่ แต่ยังทำหน้าที่ชดเชยค่าความผิดเพี้ยนจากแรงโน้มถ่วงโลกให้กับกลไกไขลานที่สำรองพลังงานได้นานถึง 5 วันด้วย ราคาเน้นๆ ที่ 7,552,000 บาท มีให้ชมเฉพาะในงานนี้เท่านั้น




5 Rado HyperChrome เป็นอีกนวัตกรรมด้านวัสดุศาสตร์ที่คนรักเซรามิกต้องชอบ เพราะมันเหนือชั้นกว่าไฮเทคเซรามิกที่ Rado พัฒนาขึ้นในยุคแรก แต่เป็นการต่อยอดให้เซรามิกชนิดใหม่ล้ำสมัยยิ่งกว่าด้วย Ceramos™ วัสดุที่ผสานไฮเทคเซรามิกและโลหะอย่างสตีลให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่เพียงแต่น้ำหนักเบากว่าเหล็ก แต่ยังทนทานต่อการเกิดรอยขีดข่วนได้ดีเยี่ยม แถมยังให้ความมันวาวของเนื้อโลหะด้วย ที่สำคัญ Rodo ยังทำได้หลายสี ทั้งสีทอง สีแพลทินัมและสีดำ วัสดุสุดล้ำนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนให้กับอุณหภูมิของผิวหนังได้อย่างรวดเร็ว ใส่แล้วจึงรู้สึกสบายข้อมือเป็นพิเศษ



6 Perrelet Turbine Poker เทคนิคเชิงกลไกอัตโนมัติที่ขึ้นลานด้วยโรเตอร์คู่ไม่ธรรมดา โรเตอร์ชิ้นหนึ่งบนชุดกลไกโชว์ด้านหลังปกติ แต่โรเตอร์อีกชิ้นดีไซน์รูปทรงใบพัดเครื่องบินพัดหมุนเหนือพื้นหน้าปัดไพ่โป๊กเกอร์ ที่จะเห็นได้ก็ตอนที่ใบพัดโรเตอร์หมุนเท่านั้น ถ้าใบพัดนิ่งๆ ก็จะเห็นแค่บางเสี้ยวของหน้าปัด ราคาก็น่าสนใจราว 170,000 กว่าบาท ซื้อในงานนี้รับกล่องหมุนนาฬิกา Paul Design มูลค่าเกือบหมื่นบาทไปด้วย เวลาไม่ใส่นาฬิกาก็เก็บในกล่องนี้ให้ทำหน้าที่หมุนเพื่อให้กลไกขึ้นลานอย่างเหมาะสมแทน



7 Grand Seiko Caliber 9S 20th Anniversary Limited Edition เป็นอีกผลงานจากแดนซามูไรระดับไฮเอ็นที่ควรต้องชมเรือนจริงให้ได้ โดยเฉพาะเรือนที่มาพร้อมกลไกอัตโนมัติเครื่อง Hi-Beat คาลิเบอร์ 9S ที่เดินด้วยความถี่ 36,000 ครั้งต่อชั่วโมง เข็มวินาทีเดินแบบเรียบกริ๊บ ไม่มีสะดุด เที่ยงตรงสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป คลาดเคลื่อนเพียง +5 to –3 วินาทีต่อวัน เทียบกับ COSC ที่ยอมรับความคลาดเคลื่อนที่ +6/-4 วินาทีต่อวัน หน้าปัดสีน้ำเงินที่ไม่ธรรมดา แต่เป็นนวัตกรรมดีไซน์ใหม่ที่นำเอาเครื่องหมายจากยุค 1960 ที่ใช้กับนาฬิกาที่ออกแบบโดย Daini Seikosha ต้นทางของ Seiko Instruments Inc. ในยุคปัจจุบัน ผสานกับตัวอักษร GS ชื่อย่อของแบรนด์ ในรูปแบบโมเสคละเอียดอ่อนของทรงเรขาคณิตที่แผ่จากศูนย์กลางออกไปเป็นวงกว้างเต็มพื้นหน้าปัด ส่องกล้องจะมองเห็นได้ชัด หน้าสวย หลังก็ยังสวยกับโรเตอร์เจาะโปร่งประดับโลโก้รูปสิงห์ ผลิตจำกัด 1,500 เรือนเท่านั้น ราคา 235,000 บาท





8 Citizen Promaster 1st Thailand Limited Edition นาฬิการุ่นแรกที่ผลิตจำกัดเพื่อประเทศไทยโดยเฉพาะและเป็นซีรีส์ของ Citizen Asia Limited ในโครงการ Go Deeper ที่รู้จักกันชื่อ Citizen Fugu เพราะได้ปลาปักเป้ามาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ แต่ละประเทศในเอเชียก็จะมีดีไซน์ที่ไม่เหมือนกัน สำหรับของไทยเด่นด้วยขอบตัวเรือนสีเขียวกับตัวเรือนสตีล และหน้าปัดดำ ฝาหลังแกะสลักลายปลาปักเป้า ผลิตจำกัด 500 เรือนเท่านั้น ราคา 14,900 บาท




9 Corum มวยไทยเอาใจคอนาฬิกาที่ชอบศิลปะการต่อสู้ มีขายเฉพาะในงานนี้และผลิตจำกัดเพียงแค่ 33 เรือนเท่านั้นสำหรับ Curum Bubble Muay Thai Limited Edition ผลงานที่เด่นด้วยภาพวาดศิลปะการต่อสู้ของแม่ไม้มวยไทยโบราณ ในตัวเรือนสตีลขนาด 45.0 มิลลิเมตร ที่ยังคงเอกลักษณ์ของแซฟไฟร์ทรงโค้งที่ดูราวกับเป็นแว่นขยายให้หน้าปัด ทั้งเท่และเด่นสะดุดตาในราคา 224,000 บาท




10 Faberge Summer in Provence นาฬิกาเรือนแพงที่สุดในงานนี้ และมีเพียงเรือนเดียวในประเทศไทย สนนราคา 17,950,000 บาท ไปงานนี้ก็ควรต้องไปดูตัวจริงให้ได้ นอกจากจะดีไซน์ดูคล้ายพวงมาลัยดอกไม้ในสายลมอันอบอุ่นของฤดูร้อนในภูมิภาค โพรวองซ์ ของประเทศฝรั่งเศสและระยิบระยับจับตาด้วยเพชรและอัญมณีล้ำค่ากว่า 967 เม็ด น้ำหนักรวมกว่า 14.24 กะรัตแล้ว ยังซับซ้อนด้วยกลไกจักรกลชั้นสูงด้วย

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้