Last updated: 14 ก.ย. 2564 | 997 จำนวนผู้เข้าชม |
DJ Snake (ดีเจ สเนก) เป็นที่รู้จักแห่งวงการดนตรีทุกวันนี้เป็นอย่างดีจนแทบที่จะไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวเขาอีกต่อไป โดยดาวเด่นแห่งดนตรีอิเล็กทรอนิกส์คนนี้ได้ดึงดูดความสนใจของสาธารณชน เป็นครั้งแรกด้วยแทร็กเพลง “Turn Down For What” ซึ่งปล่อยออกมาในปี 2013 และนับจากนั้นมา ก็ยังมีเพลงฮิตติดอันดับอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น "Lean On”, “Loco Contigo”, “Let Me Love You” ร่วมกับ Justin Bieber (จัสติน บีเบอร์) และ "Selfish Love” กับ Selena Gomez (เซลีนา โกเมซ) รวมถึงการร่วมงานกับศิลปินชื่อดังอีกมากมาย ทั้ง Diplo (ดิปโล), Kanye West (คานเย เวสต์), Lil Jon (ลิล จอน) และอีกมากมายที่กำลังจะตามมา! ซึ่งเขาได้กลายเป็นศิลปินชาวฝรั่งเศสคนแรกที่มีถึงสองเพลงซึ่งเล่นมาแล้วมากกว่าพันล้านครั้งบน Spotify (สปอติฟาย) และคว้ารางวัลอีกมากมายที่ ไม่ว่าจะเป็น Billboard Music Awards (บิลบอร์ด มิวสิค อวอร์ดส), MTV Music Awards (เอ็มทีวี มิวสิค อวอร์ดส) และอีกไม่น้อยกว่าสามรางวัลจาก NRJ Music Awards (เอ็นอาร์เจ มิวสิค อวอร์ดส)
โดย Hublot และ DJ Snake ได้จับมือร่วมงานกันตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปี 2018 เมื่อเขาได้เดินทางมาร่วมในงานค่ำคืน ส่งท้ายการแข่งขัน FIFA World Cup (ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ) ที่ประเทศรัสเซียของ Hublot สามปีต่อมา นาฬิการุ่นแรกแห่งสัมพันธภาพนี้ก็ได้เผยโฉมขึ้นด้วยรุ่น Big Bang DJ Snake (บิ๊ก แบง ดีเจ สเนก) จากงานออกแบบไอคอนิกอันเป็นที่จดจำได้ทันทีของ Big Bang (บิ๊ก แบง) ครั้งนี้เปล่งประกายไปด้วยประกายเฉดสีนับพัน โดยขอบตัวเรือนและชิ้นส่วนประกอบไทเทเนียมหกชิ้นของตัวเรือนขนาด 45 มม. ที่ประดับตกแต่งไว้ด้วยมิติแห่ง "วงแหวนของนิวตัน" ("Newton's Rings”) ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ทางเทคนิคที่คล้ายกันกับการเคลือบ พีวีดี (PVD) สีดำ ซึ่งบรรลุได้โดยการประจุด้วยสีสันต่างๆ และควบคุมการหันเหของแสงสะท้อนในชิ้นส่วนต่างๆ ณ ตำแหน่งที่แม่นยำเพื่อให้ได้มาซึ่งสีที่ต้องการ และเมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว นาฬิกาก็จะเผยความโดดเด่นไปด้วยประกายริ้วแสงสีรุ้งซึ่งจะเปลี่ยนไปตามแสงและมุมมองของการมอง
ไม่เพียงเท่านั้นพื้นผิวของชิ้นส่วนเหล่านี้ยังได้ผ่านกระบวนการทำให้มีความแข็งมากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะถูกนำมาผ่านการเคลือบสีเพื่อเพิ่มความคงทนของสี โดยกระบวนการนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความซับซ้อน ด้วยเพราะเป็นความยากที่จะได้มาซึ่งการไล่เฉดสีแบบเดียวกันบนนาฬิกาแต่ละเรือนทั้งหมด 100 เรือน ที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้น ในขณะที่ส่วนตัดบนขอบด้านนอกของขอบตัวเรือน นั้นยังได้รับการออกแบบขึ้นโดย DJ Snake เอง ซึ่งรอยบากเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ Big Bang DJ Snake (บิ๊ก แบง ดีเจ สเนก) จึงเป็นที่จดจำได้อย่างทันทีและโดดเด่นแตกต่างไปจากคอลเลคชั่นอื่นๆ สามารถถ่ายทอดถึงความเป็น “Art of Fusion” (ศิลปะแห่งการผสมผสาน) ซึ่งเป็นปรัชญาของ Hublot ได้เป็นอย่างดี!
ส่วนโฉมหน้าด้านบนของหน้าปัดกระจกแซฟไฟร์นั้นยังถ่ายทอดไว้ด้วยสีสันเดียวกันกับตัวเรือนโดดเด่นด้วยภาพแผนที่รูปโลกซึ่งเหมือนดั่งสัญลักษณ์ของ DJ Snake ที่สื่อถึงการเดินทางมากมายของเขาไปทั่วโลกเพื่อแสดงคอนเสิร์ต ทั้งยังหมายถึงเพลงฮิตของ เขาที่ได้สร้างให้โลกใบนี้กลายเป็นเสมือนบ้านของเขา ส่วนด้านล่างของหน้าปัดตกแต่งแบบสเกเลตันและเคลือบเพื่อให้เกิดเป็นการตกแต่ง fumé (ฟูเม่) สีดำ ขณะที่การตกแต่งกึ่งโปร่งใสนี้ยังช่วยให้สามารถมองเห็นการทำงานของกลไกชื่อดังอย่างคาลิเบอร์ HUB1242 UNICO (เอชยูบี 1242 ยูนิโค) กลไกฟลายแบ็กโครโนกราฟที่มาพร้อมพลังงานสำรอง 72 ชั่วโมง
ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 100 เรือน Big Bang DJ Snake (บิ๊ก แบง ดีเจ สเนก)รุ่นนี้จะมาพร้อมกับสายสองเส้นซึ่งสามารถถอดเปลี่ยนได้อย่างง่ายดายด้วยระบบ One Click (วัน คลิก) สิทธิบัตรของ Hublot โดยสายอันแรกทำจากยางลวดลายคามูฟลาจสีเทาสีดำและสีม่วง สะท้อนถึงการผสมผสานของสีสันบนตัวเรือนนาฬิกา ส่วนสายเส้นที่สองทำจากยางตกแต่งลายเส้นโครงสร้างสีดำ พร้อมทั้งตัวพับล็อกบนสายเหล่านี้ที่ยังถ่ายทอดไว้ด้วยมิติ "วงแหวนของนิวตัน" เดียวกันกับบนตัวเรือนและขอบตัวเรือนนาฬิกานั่นเอง
HUBLOTก่อตั้งขึ้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อปี ค.ศ. 1980 อูโบลท์ (HUBLOT) ได้สร้างนิยามใหม่ขึ้นด้วยนวัตกรรมของตน ซึ่งเริ่มต้นมาจากการผสมผสานที่ไม่เหมือนใครระหว่างทองและยาง และนำมาสู่ปรัชญา "ศิลปะแห่งการผสมผสาน" (“Art of Fusion”) ที่เกิดจากแนวคิดและจินตนาการของประธานบริษัทผู้เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ อย่าง ฌ็อง-โคลด บีเวอร์ (Jean-Claude Biver) ร่วมกับพลังขับเคลื่อนไปข้างหน้าของ ริคาร์โด กัวดาลูเป (Ricardo Guadalupe) ซีอีโอของแบรนด์ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 การเปิดตัวของนาฬิการะดับไอคอนที่กวาดรางวัลมาแล้วมากมาย อย่าง บิ๊ก แบง (Big Bang) ในปี ค.ศ. 2005 ได้วางเส้นทางให้กับการสร้างสรรค์คอลเลคชั่นระดับแฟล็กชิพใหม่ ๆ ของแบรนด์ขึ้นตามมา (เช่น คลาสสิค ฟิวชั่น (Classic Fusion), สปิริต ออฟ บิ๊ก แบง (Spirit of Big Bang)) พร้อมด้วยหลากหลายความสลับซับซ้อน นับตั้งแต่ในแบบเรียบง่ายไปจนถึงความซับซ้อนในระดับสูง ที่ได้สร้างรากฐานให้กับดีเอ็นเอ (DNA) อันสุดพิเศษไม่เหมือนใคร และทำให้มั่นใจได้ถึงการเติบโตอย่างน่าประทับใจของแบรนด์
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะธำรงรักษาไว้ซึ่งประเพณีและความเชี่ยวชาญอันล้ำสมัย รวมถึงปรัชญาของแบรนด์ที่ว่า "เป็นที่หนึ่ง แตกต่าง และมีเอกลักษณ์" (“Be First, Different and Unique”) อูโบลท์ ยังคงเดินนำหน้าเสมอ ผ่านการสร้างสรรค์ด้วยนวัตกรรมแห่งวัสดุ (อาทิ เมจิก โกลด์ (Magic Gold) กันรอยขีดข่วน, เซรามิกในหลากหลายโทนสี และแซฟไฟร์) ไปจนถึงการรังสรรค์กลไกซึ่งผลิตขึ้นภายในโรงงานของตนเอง (เช่น ยูนิโค (Unico), เมกา-10 (Meca-10), ทูร์บิญอง (Tourbillon)) อูโบลท์ ยังอุทิศตนอย่างมุ่งมั่นให้กับการสร้างสรรค์แบรนด์เครื่องบอกเวลาชั้นสูง (Haute Horlogerie) ด้วยอนาคตอันเปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ อนาคตซึ่งผสมผสานเข้ากับงานสำคัญระดับโลกต่างๆ ในยุคสมัยของเรา (ทั้ง ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ (FIFA World CupTM), ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก (UEFA Champions LeagueTM), ยูฟ่า ยูโร (UEFA EUROTM)) รวมถึงเหล่าแอมบาสซาเดอร์ชั้นยอดของยุคนี้ (อาทิ กีลียาน อึมบาเป (Kylian Mbappé), ยูเซน โบลต์ (Usain Bolt), เปเล่ (Pelé))
ร่วมค้นพบจักรวาลแห่งอูโบลท์ได้ที่เครือข่ายบูติกของเรา ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลักทั่วโลก ได้แก่ เจนีวา, ปารีส, ลอนดอน, นิวยอร์ก, ฮ่องกง, ดูไบ, โตเกียว, สิงคโปร์, ซูริก และที่ HUBLOT.com
3 ต.ค. 2567
4 ต.ค. 2567