SEIKO First set of New Model 2023

Last updated: 13 มี.ค. 2566  |  555 จำนวนผู้เข้าชม  | 

SEIKO First set of New Model 2023

Seiko เปิดปี 2023 กับนาฬิการุ่นใหม่มาแล้ว โดยเฉพาะในรุ่นฉลองครบรอบ 110 ปีของการประดิษฐ์นาฬิกาข้อมือ และเมื่อเดือนมีนาคม ทัพนาฬิการุ่นใหม่จากคอลเลกชั่นสำคัญอย่าง Prospex และ Presage ก็เผยโฉมให้ทุกคนเตรียมควักกระเป๋าจับจองเป็นเจ้าของ มีอะไรบ้างมาชมกัน


Seiko Prospex 1968 Diver’s Modern Re-interpretation GMT

ครั้งแรกของนาฬิกาดำน้ำแบบจักรกลของ Seiko Prospex ที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่น GMT ควบคู่กับพลังงานสำรอง 3 วัน

ถือเป็นครั้งแรกนับจากนาฬิกาดำน้ำรุ่นแรกของ Seiko เปิดตัวในปี 1965 ทาง Seiko ได้พัฒนาเทคโนโลยี ฟีเจอร์ และการออกแบบใหม่ที่ช่วยทำให้นาฬิกาดำน้ำในคอลเล็กชั่น Seiko Prospex (ไซโก พรอสเป็กซ์) ได้รับความนิยมในกลุ่มนักดำน้ำทั้งมืออาชีพ และผู้ที่ดำน้ำในรูปแบบสันทนาการทั่วโลก ในช่วงเวลากว่าครึ่งศตวรรษของการพัฒนานวัตกรรมSeiko ขับเคลื่อนขยายขอบเขตการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นาฬิกากลุ่มสปอร์ตโดยเฉพาะอย่างยิ่งนาฬิกาดำน้ำสามารถไปอยู่ในจุดนั้นได้และที่สำคัญคือสามารถนำไปใช้งานได้ด้วย ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา การพัฒนาส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องความปลอดภัย ความทนทาน ความสะดวกในการอ่านค่าเวลา และความง่ายต่อการใช้งาน สิ่งเหล่านี้ทำให้ Seiko กลายเป็นผู้นำในตลาดนาฬิกาดำน้ำอย่างแท้จริง

และในตอนนี้ Seiko แนะนำกลไกใหม่ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากกลไกในตระกูล 6R ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้ใช้มายาวอย่างนาน โดยกลไกใหม่นี้มาพร้อมฟังก์ชั่น GMT และมีพลังงานสำรองที่ถูกขยายออกไปจนอยู่ในระดับ 72 ชั่วโมง โดยกลไกในรหัส 6R54 จะถูกติดตั้งอยู่ในนาฬิการุ่นใหม่ของคอลเล็กชั่น Prospex 3 รุ่นซึ่งเป็นนาฬิกาที่ได้รับการสร้างสรรค์และตีความใหม่โดยอ้างอิงรูปทรงของนาฬิกาดำน้ำรุ่นคลาสสิคที่เปิดตัวในปี 1968

สำหรับเข็ม GMT สามารถแยกปรับตั้งเวลาได้อย่างอิสระ ด้วยการหมุนครั้งละ 1 ชั่วโมงโดยที่ไม่สร้างผลกระทบต่อการเดินของเข็มที่ใช้ในการระบุเวลาในปัจจุบัน อีกทั้งยังสามารถมองเห็นได้อย่างง่ายและสะดวกแม้เพียงเหลือบตามองเพื่อรับทราบถึงเวลาที่ 2 ซึ่งผู้ใช้ตั้งค่าเอาไว้ นาฬิกาทั้ง 3 รุ่นมีความสามารถในการกันน้ำ 200 เมตร และมาพร้อมกับเข็มรวมถึงหลักชั่วโมงทั้ง 12 ตำแหน่งที่ได้รับการเคลือบด้วยสารเรืองแสงลูมิไบร์ท (Lumibrite) ส่วนขอบตัวเรือนสามารถหมุนได้ทิศทางเดียว พร้อมกับการเคลือบสารเรืองแสงเอาไว้ที่มาร์กเกอร์ตรงตำแหน่ง 12 นาฬิกาเพื่อใช้ในการจับเวลา นาฬิกาแต่ละรุ่นจะมาพร้อมกับสายที่ได้รับการออกแบบใหม่เป็นแบบ 3 แถวผลิตจากสแตนเลสสตีล ตัวสายมีรูปทรงที่บางลง เพื่อความสะดวกในการสวมใส่ แต่ก็ยังคงให้ความมั่นคงเวลานาฬิกาถูกวางอยู่บนข้อมือ

นอกเหนือจากรุ่นหน้าปัดทั้งสีเขียวและสีเหลืองที่มีความสวยคลาสสิค ซึ่งถือเป็นรุ่นหลักที่อยู่ในคอลเล็กชั่น Prospex แล้ว ยังมีอีกรุ่นที่เป็นรุ่นผลิตจำกัด หรือ Limited Edition เพื่อการฉลองในโอกาสพิเศษของการครบรอบ 110 ปีที่ Seiko ผลิตนาฬิกาข้อมือเรือนแรกของตัวเองและของญี่ปุ่นขึ้นมาเมื่อ 110 ปีที่แล้ว

ในรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าปัดสีไอซ์-บลู (Ice-blue) ที่มีความสวยเด่นเป็นการสร้างสรรค์และออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากธารน้ำแข็งขั้วโลกที่ทอดตัวเป็นทิวทัศน์สวยงามไม่ว่าจะมองจากพื้นดินหรือเมื่อเป็นฉากหลังของทะเลในอาร์คติกหรือแอนตาร์กติก ซึ่งทั้ง 2 แห่งถือเป็นสถานที่ซึ่งมีความสำคัญในการทดสอบความทนทานและทรหดของนาฬิกา Seiko เมื่อนักสำรวจสวมใส่นาฬิกาของ Seiko เพื่อใช้ในการสำรวจขั้วโลกเหนือและใต้ในช่วงระหว่างทศวรรษที่ 1960 และ 1970 จนได้รับการยอมรับและทำให้นาฬิกาของ Seiko มีชื่อเสียงในด้านนี้

สำหรับนาฬิการุ่นผลิตจำกัดนี้จะใช้ตัวเรือนและสายร่วมกับรุ่นปกติอีก 2 รุ่น แต่จะมีสายพิเศษเพิ่มเข้ามาในเซ็ตอีก 1 เส้น ซึ่งวัสดุที่ใช้ในการผลิตสายจะมาจากการนำขวดพลาสติกเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล และนำวัสดุนี้มาถักทอจนเป็นสายที่มีลวดลายอ้างอิงจากเทคนิคการผลิตยุคโบราณของญี่ปุ่นที่เรียกว่า เซชู (Seichu)

ในรุ่นที่มีหน้าปัดสี Ice-blue จะเป็นส่วนหนึ่งของรุ่นพิเศษ Save the ocean ซึ่งเป็นซีรีส์นาฬิกาของ Seiko Prospex ที่ผลิตมาด้วยพันธสัญญาในการช่วยกระจายข้อมูลและสร้างการรับรู้ให้กับสังคมได้เข้าใจถึงสภาพของท้องทะเลและการเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และปกป้องพื้นที่ธรรมชาติเหล่านี้

นาฬิกาทั้ง 3 รุ่นจะมีจำหน่ายทั่วโลกตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023 ผ่านทางบูติกของ Seiko และร้านตัวแทนจำหน่าย


Seiko Presage Craftsmanship Series Enamel Dial Limited Edition

Presage ร่วมยกย่อง 110 ปีการผลิตนาฬิกาของ Seiko ผ่านคอลเลกชัน Craftmanship สุดยอดงานฝีมือระดับปรมาจารย์ของญี่ปุ่น

ประวัติศาสตร์ของ Seiko เริ่มต้นขึ้นในปี 1881 เมื่อ Kintaro Hattori (คินทาโร ฮัตโตริ) เปิดร้านซ่อมและขายนาฬิกาในกินซ่า และในปี 1913 บริษัทของเขาก็ได้ผลิตนาฬิกาข้อมือเรือนแรกของญี่ปุ่นขึ้นคือรุ่น Laurel (ลอเรล) และได้พัฒนาศิลปะการผลิตนาฬิกาอย่างต่อเนื่องในปีต่อๆ มา ทั้งในด้านเทคโนโลยีและงานฝีมือ

วันนี้ นาฬิการุ่นพิเศษ 4 เรือนเข้าร่วมกับครอบครัว Presage Craftsmanship Series (พรีสาจ คราฟส์แมนชิพ ซีรีส์) และร่วมฉลองวาระครบรอบ 110 ปีการผลิตนาฬิกาของ Seiko แต่ละเรือนสะท้อนถึงงานฝีมือดั้งเดิมของญี่ปุ่นผสมผสานกับทักษะความเชี่ยวชาญด้านกลไกจักรกลของ Seiko รังสรรค์ความสมดุลแห่งความงามและความเที่ยงตรงอันเปี่ยมเอกลักษณ์

Presage Craftsmanship Series ฉายความงามแห่งงานฝีมือแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นผ่านหน้าปัดนาฬิกาสีสันสดใส ด้วยงานฝีมือที่แตกต่างแต่ละอย่างจากทั้งหมด 4 อย่าง โดยช่างระดับปรมาจารย์และทีมของเขาได้แสดงให้เห็นถึงทักษะความอุตสาหะที่จำเป็นต่อการฝึกฝนเทคนิคของพวกเขาลงบนพื้นหน้าปัดขนาดเล็กของ Seiko Presage สำหรับผลงานชุดพิเศษที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองครั้งนี้ Seiko ได้นำเสนอนาฬิกา Presage ผลิตจำนวนจำกัด โดยแต่ละรุ่นแตกต่างกันใน 4 วัสดุและเทคนิคอันประกอบด้วย: อีนาเมล (Enamel) การเคลือบสีลงยา, การเคลือบแลกเกอร์แบบอุรุชิ (Urushi lacquer), หน้าปัดกระเบื้องเคลือบจากเทคนิค อะริตะ พอร์ชเลน (Arita porcelain) และ งานเคลือบอีนาเมลแบบชิปโป (Shippo enamel)

รูปลักษณ์ใหม่สำหรับ Presage Craftsmanship Series

นาฬิการุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น ใช้ตัวเรือนรูปทรงใหม่ที่มาพร้อมขอบมุมที่ประณีตและสัดส่วนที่งามสง่า โครงสร้างตัวเรือนนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเน้นหน้าปัดที่ได้รับการสร้างสรรค์ด้วยงานฝีมืออันยอดเยี่ยม ในขณะเดียวกันก็ยังมีความบางกว่าเมื่ออยู่บนข้อมือ หน้าปัดแต่ละแบบได้รับการออกแบบใหม่โดยใช้ตัวเลขโรมันสลับกับอินเด็กซ์ มอบรูปลักษณ์ใหม่ให้กับซีรีส์นาฬิกาในสไตล์เดรสวอชท์ที่คุ้นเคย ต้องขอบคุณกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ทรงโค้งคู่ที่ผนึกด้านบน ทำให้หน้าปัดจึงดูใกล้ขึ้นและอ่านค่าง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังนำเสนอลักษณะที่โดดเด่นอย่างแท้จริงให้กับงานฝีมือที่รังสรรค์บนหน้าปัดเหล่านี้

หน้าปัดลงยาสีขาวบริสุทธิ์ที่รังสรรค์โดยช่างฝีมือระดับปรมาจารย์อย่าง Mitsuru Yokosawa (มิตซึรุ โยโกซาวะ) และทีมงานของเขา โดดเด่นด้วยตัวเลขโรมันสีแดงที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกาที่ทำให้นึกถึงนาฬิกาข้อมือรุ่น Laurel ดั้งเดิมที่ผลิตขึ้นในปี 1913

ภายใต้พื้นหน้าปัดคือกลไกจักรกล คาลิเบอร์ 6R24 ที่มาพร้อมการแสดงวันที่และวันในสัปดาห์ รวมถึงมาตรวัดพลังงานสำรอง ประกอบสายหนังสีดำที่ทำให้นาฬิกาเรือนนี้สร้างความประทับใจในแบบคลาสสิก และต้องขอบคุณการรังสรรค์หน้าปัดเคลือบอีนาเมล ที่จะทำให้สีขาวโดดเด่นคงอยู่ยาวนานไปอีกหลายปี

เครื่องเชินอุรุชิ เป็นศิลปะการตกแต่งที่มีอายุยาวนานหลายศตวรรษ ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับงานฝีมือของญี่ปุ่น โดยทั่วไปจะพบได้บนวัตถุประณีตที่มีคุณภาพสูง เช่น ชามซุปหรือเฟอร์นิเจอร์ อุรุชิมีชีวิตขึ้นอีกครั้งบนหน้าปัดนี้ ด้วยวิธีการใหม่ที่ใช้ได้บนพื้นผิวที่เรียบ สีน้ำตาลทองแดงได้แรงบันดาลใจจากทิวทัศน์ของถนนคานาซาว่า เมืองที่มีชื่อชวนฟังซึ่งแปลว่า "บึงทอง" ตั้งอยู่ในจังหวัดอิชิกาวะ (Ishikawa) ที่นั่น Isshu Tamura (อิสชู ทามูระ) ปรมาจารย์ด้านอุรุชิ และทีมงานของเขาได้ใช้เทคนิคต่างๆ ในการสร้างเครื่องเขินด้วยเทคนิคเคลือบแลกเกอร์คแบบอุรุชิที่โดดเด่นที่สุดในญี่ปุ่น เช่นเดียวกับนาฬิกาหน้าปัดลงยาสีขาว การสร้างสรรค์หน้าปัดด้วยเทคนิคอุรุชิแลกเกอร์มาพร้อมการขับเคลื่อนของกลไกจักรกล คาลิเบอร์ 6R24 และประกอบกับสายหนังสีน้ำตาลเข้ม

หน้าปัดสีงาช้างใหม่นี้นำพาผู้สวมใส่ไปยังทุ่งหินเซรามิกอิซุมิยามะ (Izumiyama Ceramic Stone Field) ในอะริตะ เมืองเล็กๆ ในเขตจังหวัดซากะ (Saga) ที่ที่เครื่องลายครามของญี่ปุ่นเป็นเสมือนวิถีชีวิตของชาวเมือง หลังจากผ่านประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 400 ปี Hiroyuki Hashiguchi (ฮิโรยูกิ ฮาชิกูชิ) ช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ และทีมของเขาได้สร้างสรรค์หน้าปัดด้วยกระบวนการแบบหลายขั้นตอนที่ต้องใช้ทักษะและความอดทนอย่างสูง กับการเผาในเตาเผาที่ร้อนระอุหลายครั้งเพื่อรักษาสีสันสดใส พื้นผิวและความลึก ให้คงอยู่ตราบนานเท่านาน

กลไกที่ใช้กับนาฬิการุ่นนี้คือกลไกทรงประสิทธิภาพของ Seiko คาลิเบอร์ 6R27 ที่มาพร้อมหน้าปัดย่อยแสดงวันที่ที่ 6 นาฬิกา และมาตรวัดพลังงานสำรองที่ 9 นาฬิกา ประกอบสายหนังสีน้ำตาลเข้ม

หน้าปัดสีน้ำเงินเข้มของหน้าปัดนี้ชวนให้นึกถึงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ จึงดูเหมาะสมแล้วที่ศิลปะของ Owari Shippo (อาวาริ ชิปโป) จึงดูเหมาะสมที่ศิลปะของ Owari Shippo (โอวาริ ชิปโป) ซึ่งได้รับการจุดประกายบนแผ่นจานสีน้ำเงินจากประเทศเนเธอร์แลนด์ส่งมาถึงญี่ปุ่นเมื่อร้อยกว่าปีก่อนโดยทางทะเล นับจากนั้นงานฝีมือนี้ก็พัฒนาขึ้นในแบบของญี่ปุ่น

สิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับชุดอีนาเมลชิปโปก็คือวิธีการขัดเงาหลังจากการเผา กระบวนการนี้มีความซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากหน้าปัดนาฬิกาแต่ละชิ้นมีความหนาเพียง 1 มิลลิเมตร ช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ Wataru Totani (วาตารุ โททานิ) และทีมงานของเขา ทำกระบวนการหลายขั้นตอนซ้ำหลายครั้งในการเคลือบพื้นผิวหน้าปัดด้วยมือ นำไปเผาและนำมาขัดเงาพื้นผิว เพื่อสร้างรูปคลื่นที่โดดเด่นออกมา แม้หน้าปัดจะบางแต่ก็มีความลึกที่มองเห็นได้ง่าย เหมือนกับมหาสมุทรที่เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ นาฬิการุ่นนี้ขับเคลื่อนด้วยกลไก คาลิเบอร์ 6R27 พร้อมการแสดงวันที่และพลังงานสำรองที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจอีกขั้นกับภาพโดยรวม ประกอบสายหนังสีน้ำเงินเข้ม

นาฬิกาทั้ง 4 รุ่นจะวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023 เป็นต้นไป ที่บูติก Seiko และตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการคัดเลือกทั่วโลก Seiko Presage Craftsmanship Series Enamel Dial Limited Edition รหัส SPB393, Seiko Presage Craftsmanship Series Urushi Lacquer Dial Limited Edition รหัส SPB395 และ Seiko Presage Craftsmanship Series Arita Porcelain Dial Limited Edition รหัส SPB397 ผลิตจำนวนจำกัดเพียงคอลเลกชันละ 1,500 เรือนทั่วโลก ส่วน Seiko Presage Craftsmanship Series Shippo Enamel Dial Limited Edition รหัส SPB399 ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 800 เรือนทั่วโลก


Seiko Prospex 1970 Diver’s Modern Re-Interpretation Naomi Uemura

ความสำเร็จของ Naomi Uemura กับความคลาสสิคในด้านการออกแบบของ Seiko ในยุค 1970 เรือนเวลาที่ผสาน 2 เรื่องราวอันน่าจดจำ

5 ปีหลังการผลิตนาฬิกาดำน้ำเรือนแรกของญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นในปี 1965 ทาง Seiko ได้เปิดตัวนาฬิกาดำน้ำรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับการออกแบบตัวเรือนที่มีมิติและสวยโดดเด่น พร้อมกับการยืดขยายด้านข้างตัวเรือนในแบบอสมมาตร ซึ่งพื้นที่ส่วนที่ยืดออกมานี้จะทำหน้าที่ในการปกป้องเม็ดมะยมที่อยู่ในตำแหน่ง 4 นาฬิกา ด้วยโครงสร้างที่มีความแข็งแกร่ง การกันน้ำในระดับ 150 เมตร บวกกับเข็มและหลักชั่วโมงที่ได้รับการเคลือบด้วยสารเรืองแสง นาฬิกาเรือนนี้จึงมีความสมบูรณ์แบบสำหรับใครก็ตามที่ต้องการนาฬิกาที่โดดเด่นในเรื่องของความแข็งแกร่งและความสะดวกในการมองเห็นรายละเอียดบนตัวนาฬิกา

นาฬิกาดำน้ำรุ่นดั้งเดิมที่เปิดตัวในปี 1970


นาฬิกาดำน้ำรุ่นปี 1970 ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความทนทานภายใต้การใช้งานในสภาพที่สุดโหดเมื่อถูกสวมใส่โดย Naomi Uemura (นาโอมิ อูเอมูระ) นักผจญภัยชาวญี่ปุ่นที่ได้เดินทางสำรวจในทวีปอาร์กติกในระหว่างปี 1974-1976 โดย นาโอมิ อูเอมูระ ที่เกิดเมื่อปี 1941 ยังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยในระหว่างที่เขาเริ่มต้นใช้ชีวิตแห่งความท้าทายด้วยการปีเขาลูกแรกในชีวิตของเขา และในวัย 29 ปี เขาปีนเขาที่มีชื่อเสียงอย่าง มงต์บลอง (Mont Blanc), คีรีมันจาโร (Kilimankajo) และ อากองกากัว (Aconcagua) ซึ่งในปี 1970 เขาป็นนักปืนเขาชาวญี่ปุ่นคนแรกที่สามารถปีนขึ้นถึงยอดเขา Everest (เอเวอเรสต์) จากนั้นอีก 3 เดือนต่อมา เขาก็สามารถปืนยอดเขา เดนาลี (Denali) (หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า แมคคินลีย์ (McKinley) ในอลาสกา ดังนั้น เขาจึงเป็นนักปืนเขาคนแรกที่สามารถพิชิตยอดเขาสำคัญทั้ง 5 ลูกของโลกได้สำเร็จ

และในตอนนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงความสำเร็จในการปืนขึ้นสู่ยอดเขาทั้ง 5 ลูกของโลก จึงได้มีการผลิตรุ่นพิเศษขึ้นมาโดยอ้างอิงจากนาฬิการุ่นใหม่ที่เป็นการออกแบบใหม่และตีความใหม่จากนาฬิกาดำน้ำรุ่นปี 1970 โดยจะมาพร้อมกับหน้าปัดที่ได้รับสร้างสรรค์ให้มีลวดลายของยอดเขามงต์บลอง ซึ่งเป็นยอดเขาแรกที่เขาสามารถพิชิตได้

นาฬิกาแห่งความพิเศษเรือนนี้เป็นการสะท้อนถึงงานออกแบบดั้งเดิมที่เกิดขึ้นในปี 1970 แต่มีการสร้างสรรค์ใหม่เพื่อให้มีความสอดคล้องกับยุคสมัย ลวดลายบนพื้นผิวของหน้าปัดได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อสะท้อนถึงเงาโครงร่างและรูปทรงของยอดเขามงต์บลอง พร้อมกับลวดลายของพื้นผิวที่เป็นชั้นหินที่มีหิมะปกคลุมอยู่ มีการใช้เทคนิคการกดปั๊มและการแกะสลักเพื่อเพิ่มความลึกของหน้าปัดและทำให้ยอดเขาสูง 4,807 เมตรมีชีวิตขึ้นมา โดยภาพของมงต์บลอง บนหน้าปัดเป็นภาพเดียวกันจากมุมมองของอูเอมูระที่เริ่มปีนเพื่อพิชิตยอดเขาลูกนี้

ตัวเรือนได้รับการขัดเงาอย่างพิถีพิถัน และตัวนาฬิกามาพร้อมกับสายสแตนเลสสตีลที่มีข้อสาย 5 แถวซึ่งได้รับการออกแบบให้มีความเฉียมคมและมีความทันสมัย หลักชั่วโมงทั้ง 12 ตำแหน่งบนหน้าปัดถูกจัดวางอย่างลงตัวและเคลือบด้วยสารเรืองแสงลูมิไบร์ทเช่นเดียวกับชุดเข็ม เพื่อให้สามารถมองเห็นได้อย่างสะดวกในยามค่ำคืน และมีการจัดวางช่องวันที่อย่างลงตัวในตำแหน่ง 4 และ 5 นาฬิกา ซึ่งองค์ประกอบโดยรวมนี้ช่วยทำให้รายละเอียดบนหน้าปัดของนาฬิกามีทั้งความสวยและความสะดวกในการอ่านค่าเวลาที่มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับนักผจญภัย

การขับเคลื่อนเรือนเวลานี้เป็นหน้าที่ของกลไกอัตโนมัติ คาลิเบอร์ 8L35 ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับนาฬิกาดำน้ำและได้รับการประกอบด้วยมือจากช่างฝีมือทั้งชายและหญิงที่มีความชำนาญสูงสุดของ Seiko ตัวเรือนได้รับการเคลือบ Super-Hard Coating เพื่อความทนทานต่อการขูดขีด และกระจกเป็นแบบแซฟไฟร์ทรงโค้งที่ได้รับการเคลือบสารเรืองแสงด้านใน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถมองเห็นรายละเอียดและเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตาม นอกจากนั้น นาฬิกาเรือนนี้ยังมาพร้อมกับชุดแพ็คเกจแบบพิเศษที่มาพร้อมกับข้อความที่กล่าวโดย นาโอมิ อูเอมูระ นั่นคือ “When one dream is realized, other dreams will follow.“ (เมื่อความฝันแรกถูกนึกถึง ย่อมต้องก่อให้เกิดความฝันอื่นๆ ตามมา) ส่วนในเรื่องการกันน้ำจะอยู่ที่ 200 เมตร

นาฬิกาใหม่รุ่นนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชัน Prospex ของ Seiko และจะมีจำหน่ายในแบบผลิตจำนวนจำกัด 500 เรือนทั่วโลกตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2023


นาฬิการุ่นใหม่จาก Seiko จะทยอยวางจำหน่ายในเวลาที่แตกต่างกัน จองไว้ในใจก่อนตอนนี้ เปิดตัวแล้วค่อยเดินหน้าเก็บเข้าคอลเลกชั่นส่วนตัวกันตามที่วางแผนไว้เลย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-255-1245 ต่อ 888
Website : https://www.seikowatches.com/th-th/
FB : Seiko Club by Seiko Thailand
Youtube Channel : Seiko Club by Seiko Thailand
IG : Seiko_Thailand
Line : @Seiko_Thailand
Tiktok :  @Seikoclubthailand

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้