MB&F SP One

Last updated: 21 พ.ค. 2568  |  283 จำนวนผู้เข้าชม  | 

MB&F SP One

เอ็มบีแอนด์เอฟ เอสพี วัน (MB&F SP One) ซึ่งเดิมมีชื่อเรียกว่า "Three Circles" นาฬิกาที่โดดเด่นด้วยองค์ประกอบหลักสามส่วนแบบลอยตัว — บาร์เรล บาลานซ์วีล และหน้าปัด — ราวกับท้าทายแรงโน้มถ่วงบนข้อมือ กลไกทั้งสามดูเสมือนลอยอยู่กลางเวทีอัฒจันทร์ขนาดย่อม โดยสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านโดมแซฟไฟร์ใสราวไร้ตัวตน บาลานซ์วีลหมุนราวกับเต้นรำกลางอากาศ ขณะที่หน้าปัดแบบเอียงเน้นให้เห็นถึงการออกแบบเฟืองทรงกรวยอันชาญฉลาดของ MB&F ดังนั้นนาฬิกา SP One จึงเปรียบเสมือนผลงานวิศวกรรมเชิงกลอันน่าทึ่ง ที่เปลี่ยนข้อมือของคุณให้กลายเป็นเวทีแห่งการแสดงเวลาอันน่าหลงใหล ที่ไม่ยึดติดอยู่กับกฎของแรงโน้มถ่วง


SP One มาในตัวเรือนขนาด 38 มิลลิเมตรที่มีรูปทรงวงกลม โค้งมนและเรียบเนียน ผสานกับดีไซน์ไร้ขอบตัวเรือน
และตัวเชื่อมสายที่แยกออกจากกัน แม้จะเป็นนาฬิกาที่เล็กและบางที่สุดของ MB&F แต่ยังคงสะท้อนสถาปัตยกรรมแบบสามมิติอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ รวมถึงจิตวิญญาณแห่งการท้าทายขอบเขตของการออกแบบอย่างชัดเจน SP One จึงเป็นนาฬิกาที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความล้ำสมัยของคอลเลกชั่น Horological Machines และความคลาสสิคของ Legacy Machines โดยเปิดตัวในฐานะนาฬิกาเรือนแรกในคอลเลกชั่นใหม่ “Special Projects”

เพื่อที่จะเข้าใจถึงความน่าตื่นเต้นและความโดดเด่นในสไตล์อันไม่เหมือนใครของโปรเจกต์นี้อย่างแท้จริง เรามาลงลึกในเรื่องราวต้นกำเนิดของนาฬิการุ่นนี้กันดีกว่า


การลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่เหนือความคาดหมาย
เมื่อโควิด-19 เริ่มระบาด เฉกเช่นเดียวกับหลาย ๆ แบรนด์ ทาง MB&F ก็เคยคิดว่านั่นอาจเป็นจุดจบของทุกอย่าง ท่ามกลางความไม่แน่นอนในช่วงเวลานั้น ทีมงานตัดสินใจกลับไปมองโปรเจกต์เก่า ๆ ที่ถูกพับเก็บไว้มานานหลายปี หนึ่งในผลงาน
ที่เกิดจากแนวคิดนั้นคือ M.A.D.1 เดิมทีตั้งใจให้เป็นเพียงนาฬิกาที่ดูสนุกสนาน เพื่อมอบเป็นของขวัญเล็ก ๆ แก่เพื่อนและคนในครอบครัว แต่ใครจะคิดว่าโปรเจกต์นี้จะกลายเป็นหนึ่งในความสำเร็จของแบรนด์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ในช่วงหลายปีถัดมา MB&F ยังคงเดินหน้าอย่างแน่วแน่ พร้อมเปิดตัวผลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง และคว้ารางวัลจากเวที GPHG
อันทรงเกียรติมาครอบครองหลายสาขา... เรียกได้ว่าเป็นยุคทองที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจและความสำเร็จของแบรนด์อย่างแท้จริง

แต่ตามที่ Maximilian Büsser ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ MB&F กล่าวไว้ “ความสำเร็จอาจกลายเป็นพิษ” — เพราะอาจนำไปสู่ความประมาท ความเฉื่อยชา การละเลยต่อลูกค้า และการหยุดชะงักของความคิดสร้างสรรค์ แทนที่จะปล่อยให้แบรนด์ตกอยู่ในกับดักเหล่านั้น ทีมงานกลับเลือกที่จะยกระดับพลังแห่งจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ด้วยการล้วงมือลงลึกไปในตะกร้าแห่งโปรเจกต์ที่ถูกพักไว้ นำไอเดียเดิมกลับมาต่อยอด


สำหรับแบรนด์นี้เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ได้ตอกย้ำความจริงข้อหนึ่ง นั่นคือ สิ่งที่ไม่คาดหวัง อาจก่อให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์
และยังเป็นบทเรียนสำคัญว่า แผนธุรกิจที่ดีที่สุด อาจคือสิ่งที่ไม่เคยวางแผนไว้เลยด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงจิตวิญญาณของ MB&F ได้อย่างชัดเจน ซึ่งถ้าดูตามแผนการจัดการทั่วไป อาจเรียกได้ว่าแบรนด์นี้ทำทุกอย่างผิดแปลก  ไม่มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน มีเพียงความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่เหนือความคาดหมาย เดินสวนทางกับกระแสหลัก และสนุกกับความ
ไม่ธรรมดาอย่างเต็มที่

ตะกร้าแห่งโปรเจกต์พิเศษที่เต็มไปด้วยแนวคิดซึ่งถูกร่างไว้ตลอดหลายปี  แนวคิดที่ในตอนนั้นอาจดูไร้เหตุผลหรือไม่เป็นรูปเป็นร่าง กลับอัดแน่นด้วยจินตนาการอันท้าทาย ความคิดที่เฉียบแหลม และแม้กระทั่งภาพร่างของสเก็ตบอร์ดและมีดโกน ที่นั่นเปรียบเสมือนขุมทรัพย์แห่งความคิดสร้างสรรค์ Max เอื้อมมือลงไปในตะกร้าใบนี้ และหยิบโปรเจกต์หนึ่งขึ้นมา
โปรเจกต์ที่สะท้อนจิตวิญญาณของแนวคิดสุดพิเศษเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี

โปรเจกต์นี้ ซึ่งถูกตั้งชื่อเรียกอย่างเรียบง่ายว่า Special Project One (SP One) คือผลงานที่ถูกเลือกให้ถ่ายทอดแนวคิดพิเศษดังกล่าว

ไม่มีอะไรคลาสสิคในสิ่งที่เรียกว่าความคลาสสิค
"เราถามตัวเองว่า ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด — นาฬิกาที่คลาสสิคดูหรูหราจะเป็นอย่างไร?" จำได้ว่า Max กล่าว นี่เป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงพอสมควร คล้ายกับการเปิดตัว Legacy Machine รุ่นแรกของแบรนด์ หรือ M.A.D.1 หรือโปรเจกต์อื่น ๆ ของ MB&F ไม่มีความคาดหวังจากตลาดเลยแม้แต่น้อย แต่เต็มไปด้วยความเสี่ยง 100%

ในฐานะผู้สร้างสรรค์ ความภูมิใจคือแรงผลักดัน ที่ไม่ได้เกิดจากการเลือกเดินบนทางลัด แต่เกิดจากความเสี่ยงและอาจเผชิญกับความล้มเหลว" แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นจากภาพสเก็ตช์แรกของ SP One ที่ย้อนกลับไปในปี 2018 ซึ่งเป็นการพิสูจน์ถึงปรัชญาดังกล่าว เหมือนกับโปรเจกต์อื่น ๆ ของ MB&F ที่เริ่มต้นจากภาพสเก็ตช์ บางครั้งอาจจะวาดขึ้นอย่างรวดเร็ว หรืออาจจะ "ไม่ดี" ตามที่ Max กล่าวไว้ แต่แก่นแท้ของการออกแบบและเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโปรเจกต์นั้นได้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจน สามวงกลมที่ดูคล้ายใบหน้ายิ้มได้สะท้อนถึงการเดินทางที่ทั้งสนุกสนานและซับซ้อนที่ ไอเดียนี้เกิดจากสามส่วนประกอบหลัก ได้แก่ บาร์เรล, บาลานซ์วีล และหน้าปัด  ที่ถูกแขวนอยู่ในตัวเรือน ซึ่งลอยอยู่บนข้อมือ

อย่างไรก็ตาม ภาพสเก็ตช์ในช่วงแรกนั้นมุ่งเน้นไปที่การออกแบบนาฬิกาที่สะท้อนความหรูหรา แทนที่จะดึงดูดความสนใจด้วยการตกแต่งที่ฉูดฉาด นาฬิกาจึงต้องการความสง่างามที่แฝงไปด้วยความคลาสสิก เพื่อให้แตกต่างจากความกล้าหาญและความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ MB&F ในขณะเดียวกันก็ต้องคงไว้ซึ่งรากฐานของแบรนด์ หรือกล่าวได้ว่า เป็นการสร้างสมดุลที่ยากจะเข้าถึง

ภาพสเก็ตช์แรกนี้ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาเพิ่มเติมด้วยความช่วยเหลือจาก เอริค จิรูด (Eric Giroud) นักออกแบบนาฬิกาชื่อดังและเพื่อนที่รู้จักและมีความสัมพันธ์ยาวนานกับ MB&F หลังจากผ่านการปรับแก้หลายครั้ง แนวคิดนี้ก็เริ่มลงตัว ถึงเวลาแล้วที่วิศวกรจะเข้ามามีบทบาท โดยเริ่มจากการร่างและวางแผนโปรเจกต์ทั้งหมดด้วยความใส่ใจ และความพยายามอย่างหนัก


ลอยอยู่ในวงกลม
ในตอนแรกมีชื่อเรียกว่า "Three Circles" กลไกของ SP One ได้ถูกออกแบบโดยนำเสนอสามองค์ประกอบหลักของนาฬิกากลไก: บาร์เรล, บาลานซ์วีล และหน้าปัด แต่ละส่วนไม่ได้ดูสวยงามเท่านั้น แต่ถูกออกแบบให้มีความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังลอยอยู่ในอากาศ

ขอบคุณกระจกแซฟไฟร์ทั้งด้านหน้าและด้านหลังที่ทำให้ส่วนประกอบเหล่านี้ดูเหมือนท้าทายแรงโน้มถ่วง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ช่วยเสริมให้เอฟเฟกต์การลอยตัวนี้ดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้น คือสถาปัตยกรรมกลไกที่ออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพิ่มความ
โดดเด่นทางสายตาด้วยการยึดหลัก "น้อยแต่มาก" สะพานกลไกแทบจะไร้ร่องรอย เกือบมองไม่เห็นเลยทีเดียว ส่วนประกอบส่วนใหญ่ได้รับการซ่อนไว้ใต้สามองค์ประกอบหลัก เพื่อให้ความงามของแต่ละส่วนได้รับการนำเสนออย่างเต็มที่ ยิ่งมีสะพานจักรกล สกรู และเฟืองน้อยเท่าไร ก็ยิ่งดี การมองหาสกรูจากด้านหน้าแทบจะเหมือนกับการตามหา
หัวเข็มในกองฟาง ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าอัศจรรย์ให้กับเอฟเฟกต์การลอยตัว


ในแง่ของภาพลักษณ์ สามองค์ประกอบมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่เท่ากัน ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับการออกแบบกลไก สถาปัตยกรรมแบบบาร์เรลเดี่ยวถูกแขวนอย่างสวยงาม ช่วยเสริมเอฟเฟกต์การลอยตัวและเป็นความท้าทายที่แท้จริงสำหรับนักออกแบบกลไก บาลานซ์วีลหมุนในตำแหน่ง 2 นาฬิกา ดึงดูดความสนใจของผู้สวมใส่ราวกับจานบินที่ลอยอยู่ในอากาศ

ในโลกแห่งจินตนาการของ Max ทุกสิ่งดูเหมือนจะลอยได้ และหน้าปัดก็สอดคล้องกับแนวคิดนี้ การเอียงที่ได้สัดส่วนพอเหมาะช่วยเน้นความชำนาญของ MB&F ในด้านการออกแบบเฟืองทรงกรวย ฟีเจอร์นี้เป็นความท้าทายที่ยากในการทำให้ประสบความสำเร็จในขณะที่ยังคงความน่าเชื่อถือไว้ การออกแบบแบบนี้หายากในวงการนาฬิกา แต่กลับเพิ่มมิติที่ดูน่าสนใจ

แม้จะเต็มไปด้วยความซับซ้อนทางวิศวกรรม แต่รูปแบบนาฬิกาเรือนนี้กลับเผยให้เห็นโครงสร้างที่เรียบง่ายและมีเอกลักษณ์ ช่วยให้เข้าใจหลักการทำงานของนาฬิกากลไกได้เป็นอย่างดีเหนือความคาดหมาย

สิ่งที่ล้อมรอบกลไกเรือนนี้คือสิ่งที่ Max เรียกอย่างขี้เล่นว่า “อัฒจันทร์” ขอบหน้าปัดเจียระไนอย่างประณีต สะท้อนความยิ่งใหญ่ของโรงละครแบบกรีก-โรมัน พร้อมทำหน้าที่เสมือนเวทีที่สะท้อนความงดงามซับซ้อนของกลไก ให้โดดเด่นราวกับนักสู้ในสนามประลอง

เพียงพลิกนาฬิกา SP One กลับด้าน จะพบกับอีกมุมของอัฒจันทร์ในผลงานนี้ ซึ่งเผยให้เห็นการตกแต่งด้วยมืออันประณีต และความใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอน สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของ MB&F และยังคงรักษาไว้ซึ่งศิลปะการขัดแต่งด้วยมือแบบดั้งเดิม ซึ่งปัจจุบันมีเพียงไม่กี่แบรนด์ในอุตสาหกรรมนาฬิกาที่ยังสืบสานงานฝีมือชั้นสูงนี้


กลิ่นอายความเป็น MB&F ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนใน SP One ไม่ใช่เพียงเพราะความกล้าที่จะสร้างความประหลาดใจหรือการเลือกเดินบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงเท่านั้น หากแต่เป็นเพราะความใส่ใจในทุกรายละเอียดของกลไก
ซึ่งสะท้อนถึงสายสัมพันธ์อันดีของผลงานในตระกูลเดียวกัน ความท้าทายอยู่ที่การรักษาความประณีตและความสง่างามไว้อย่างสมดุล ขณะเดียวกันก็ยังคงยึดมั่นในรูปแบบที่ดูคลาสสิค ฟันเฟืองทุกชิ้นผ่านการขัดมุมด้วยมือ เสริมด้วยตลับลูกปืนชาโตง (Chatons) ที่โดดเด่นสะดุดตา ส่วนผิวสัมผัสของกลไกได้รับการขัดแต่งอย่างบรรจง ทั้งแบบซาติน ขัดเงา และไมโครบลาสต์ สร้างสมดุลแห่งพื้นผิวที่เปี่ยมด้วยงานศิลป์ที่ดูมีชั้นเชิงและลูกเล่นในทุกมิติ

รูปทรงที่น่าพึงพอใจ
นอกเหนือจากโครงสร้างกลไกที่แหวกแนวและการตกแต่งด้วยมือแบบดั้งเดิมแล้ว การออกแบบตัวเรือนทรงกลมมนยังช่วยเสริมให้ SP One มีความโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก

แม้ว่านาฬิกาจะบางเฉียบ แต่กลับให้ความรู้สึกสามมิติที่โดดเด่นในลักษณะที่ตรงกันข้าม ลองจินตนาการถึงการถือ
ก้อนกรวดที่มีพื้นผิวเรียบเนียน ซึ่งได้รับการขัดเกลาโดยการไหลของน้ำในลำธารมานานหลายปี นี่คือความรู้สึกที่สัมผัสได้จาก SP One ตัวเรือนขนาด 38.0 มิลลิเมตร ออกแบบให้ดูโฉบเฉี่ยวคล้ายกับยานอวกาศ และไร้ขอบตัวเรือน กระจกแซฟไฟร์ที่ผสานอย่างไร้รอยต่อระหว่างด้านหน้าและด้านหลังของตัวเรือน การออกแบบนี้ช่วยให้เกิดเอฟเฟกต์การลอยตัวที่ดึงดูดสายตา และยังถูกเน้นย้ำด้วยการออกแบบตัวเชื่อมสายที่ชาญฉลาด เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด จะพบว่าตัวเชื่อมสายไม่ได้เชื่อมกับตัวเรือนด้านบนโดยตรง แต่ถูกยกขึ้นจากตัวเรือนด้านล่าง สร้างช่องว่างที่ชัดเจนระหว่างตัวเชื่อมสาย
ที่ขัดเงาด้วยมือและส่วนบนของตัวเรือน


โดยรวมแล้ว SP One ให้ความรู้สึกเรียบลื่นในการสัมผัสเช่นเดียวกับรูปลักษณ์ที่เห็น ชวนให้ลูบตามเส้นโค้งของตัวเรือนราวกับยานยูเอฟโอขนาดเล็กที่ลงจอดบนข้อมือ ผสานการออกแบบที่ไม่ธรรมดาเข้ากับความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ

ถึงแม้ว่า SP One จะเป็นนาฬิกาที่บางที่สุดของ MB&F แต่ก็ไม่ได้มุ่งหวังที่จะแข่งขันในฐานะนาฬิกาที่บางที่สุดในโลก
แต่กลับเป็นการสะท้อนถึงการสร้างความสมดุลที่ลงตัวในด้านการออกแบบและสัดส่วน โดยให้ความสำคัญกับความสวยงามและศิลปะเหนือความบาง เพื่อบรรลุความสมดุลที่ตั้งใจไว้

คำว่า "สมดุล" สะท้อนถึงแก่นแท้ของโปรเจกต์พิเศษนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ที่ทลายกรอบเดิม ๆ โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์และการนำเสนองานฝีมือแบบดั้งเดิม ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสสู่เส้นทางใหม่ ๆ

โดยสรุป คือ MB&F ไม่มีอะไรคลาสสิคในสิ่งที่เรียกว่าความคลาสสิค


MB&F ต้นกำเนิดแห่งแนวคิดห้องปฏิบัติการด้านเครื่องจักรกลบอกเวลา
ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2005 เอ็มบีแอนด์เอฟ (MB&F) คือห้องปฏิบัติการเครื่องจักรกลบอกเวลาแนวคิดใหม่แห่งแรกของโลก ด้วยชุดกลไกที่น่าทึ่งเกือบ 20 ชุด ที่สร้างฐานอันมั่นคงให้กับเครื่องจักรกลบอกเวลาอันมีชื่อเสียง ทั้งในคอลเลกชั่น ออโรโลจิคัล แมชชีน (Horological Machines) และ เลกาซี แมชชีน (Legacy Machines) โดย MB&F ยังคงดำเนินรอยตามวิสัยทัศน์ของ แม็กซิมิเลียน บูซเซอร์ (Maximilian Büsser) ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการด้านการสร้างสรรค์ในการสร้างศิลปะจลศาสตร์สามมิติที่แตกต่างจากการประดิษฐ์นาฬิกาแบบดั้งเดิม

หลัง 15 ปีของการบริหารงานให้กับเหล่าแบรนด์นาฬิกาอันทรงเกียรติ แม็กซิมิเลียน บูซเซอร์ ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการบริหาร ณ แฮร์รี วินสตัน (Harry Winston) ในปี ค.ศ. 2005 เพื่อสร้างสรรค์แบรนด์ MB&F ที่ย่อมาจาก แม็กซิมิเลียน บูซเซอร์ แอนด์ เฟรนด์ส (Maximilian Büsser & Friends) โดย MB&F เป็นห้องปฏิบัติการเชิงศิลป์และวิศวกรรมจุลภาค ที่ทุ่มเทให้กับการออกแบบและประดิษฐ์รังสรรค์นาฬิกาตามแนวคิดสุดขั้ว ด้วยจำนวนการผลิตไม่มาก แต่เป็นการรวบรวมเหล่ายอดฝีมือและมืออาชีพด้านเครื่องบอกเวลาผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ ที่บูซเซอร์ทั้งให้ความเคารพและสนุกกับการทำงานร่วมกัน

ในปี ค.ศ. 2007 MB&F เปิดตัวนาฬิกา ออโรโลจิคัล แมชชีน (Horological Machine) รุ่นแรกใน เอชเอ็ม1 (HM1) ภายใต้ประติมากรรมตัวเรือนสามมิติและเครื่องยนต์ (กลไก) ที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม ซึ่งได้มอบมาตรฐานให้กับเหล่านาฬิกาในตระกูล ออโรโลจิคัล แมชชีน รุ่นถัดมา ที่นับเป็นแมชชีน (Machines) ทุกๆ เรือนซึ่งบอกเวลาได้ มิใช่เป็นเพียงในฐานะเครื่องบอกเวลาเท่านั้น โดย ออโรโลจิคัล แมชชีน ได้ออกสำรวจมาแล้วทั้งในโลกอวกาศและนิยายวิทยาศาสตร์ การบิน ซูเปอร์คาร์ อาณาจักรสัตว์ ไปจนถึงสถาปัตยกรรม

ในปี 2011 MB&F ได้เปิดตัวคอลเลกชั่น Legacy Machine ซึ่งนำเสนอผ่านตัวเรือนทรงกลมอันมีเอกลักษณ์ นาฬิกาในคอลเลกชั่นนี้ถือเป็นผลงานที่มีความคลาสสิกมากขึ้น – แน่นอนว่าคลาสสิกในแบบฉบับของ MB&F – โดยเป็นการแสดงความเคารพต่อความยอดเยี่ยมของศาสตร์การทำนาฬิกาในศตวรรษที่ 19 ผ่านการตีความกลไกซับซ้อนจากปรมาจารย์ด้านการประดิษฐ์นาฬิกาในอดีตให้กลายเป็นผลงานศิลปะร่วมสมัย นอกจากนี้ Legacy Machine บางรุ่นยังได้รับการพัฒนาต่อยอดเป็นเวอร์ชั่น EVO ซึ่งมีคุณสมบัติกันน้ำและทนต่อแรงกระแทกได้ดียิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แอคทีฟของนักสะสม โดยปกติแล้ว MB&F จะสลับเปิดตัวระหว่างนาฬิการูปแบบล้ำสมัยสุดขั้วในคอลเลกชั่น Horological Machine กับนาฬิกาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ในคอลเลกชั่น Legacy Machine

โดยมี เอฟ (F) ที่หมายถึงผองเพื่อน (Friends) และเป็นไปโดยธรรมชาติที่ MB&F ได้พัฒนาความร่วมมือขึ้นมากมายร่วมกับเหล่าศิลปิน ช่างนาฬิกา นักออกแบบ และผู้ผลิต ที่พวกเขาต่างยกย่อง

และด้วยความร่วมมือนี้เองที่ได้นำพามาซึ่งสองสาขาใหม่ นั่นคือศิลปะการแสดง (Performance Art) และความร่วมมือแห่งการสร้างสรรค์ (Co-creations) ขณะที่ชิ้นงานศิลปะการแสดงนั้นคือแมชชีนรุ่นต่างๆ ของ MB&F ที่ได้นำมากลับมารังสรรค์ใหม่อีกครั้งโดยผู้เชี่ยวชาญและเปี่ยมด้วยพรสวรรค์จากนอกองค์กร กับความร่วมมือแห่งการสร้างสรรค์ต่างๆ ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพียงนาฬิกาข้อมือ แต่ยังรวมไปถึงประเภทอื่นๆ ของเครื่องยนต์จักรกลหรือแมชชีน ที่ผ่านการคิดค้นทางวิศวกรรมและรังสรรค์ขึ้นด้วยงานฝีมือโดยเหล่าผู้ผลิตนาฬิกาสวิสจากแนวคิดและงานออกแบบของ MB&F และผลงานหลายๆ ชิ้นจากความร่วมมือแห่งการสร้างสรรค์เหล่านี้ อาทิ นาฬิกาคล็อกบอกเวลาที่สร้างสรรค์ขึ้นร่วมกับ เลเป 1839 (L’Epée 1839) เช่นเดียวกับความร่วมมืออื่นๆ กับ รูช (Reuge) และคารันดาช (Caran d’Ache) ที่ได้สร้างสรรค์หลากหลายรูปแบบของศิลปะจักรกลบอกเวลา

และเพื่อมอบสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเครื่องยนต์จักรกลหรือแมชชีนเหล่านี้ทั้งหมด บูซเซอร์ได้มีแนวคิดของการจัดแสดง ผลงานเหล่านี้ไว้ภายในแกลลอรีศิลปะ ร่วมไปกับอีกหลากหลายรูปแบบของศิลปะจักรกลที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยศิลปินแขนงอื่นๆ ที่เป็นมากไปกว่าการจัดแสดงหน้าร้านเหมือนทั่วไป และนั่นได้นำมาสู่การสร้างสรรค์ของ เอ็มบีแอนด์เอฟ แมดแกลลอรี (MB&F M.A.D.Gallery) (M.A.D. หมายถึง Mechanical Art Devices) แห่งแรกขึ้นในเจนีวา ซึ่งต่อมายังได้เปิดตัวตามมาโดยเหล่าแมดแกลลอรีแห่งต่างๆ ทั้งในสิงคโปร์ ไทเป ปารีส และเบเวอร์ลี ฮิลส์

มากไปกว่านั้น ยังมีรางวัลอันโดดเด่นอีกมากมายที่ย้ำเตือนถึงธรรมชาติแห่งนวัตกรรมการเดินทางสร้างสรรค์สำหรับ MB&F ซึ่งหากจะกล่าวถึงบางส่วนแล้ว มีไม่น้อยกว่า 9 รางวัลจากเวทีอันมีชื่อเสียงและทรงเกียรติสูงสุดของกรังด์ ปรีซ์ เดอ’ออร์โลเฌอรี เดอ เฌแนฟ (Grand Prix d'Horlogerie de Genève) ซึ่งรวมไปถึงรางวัลสูงสุด อย่าง เข็มทองคำ (“Aiguille d’Or”) ที่มอบให้กับนาฬิกายอดเยี่ยมแห่งปี โดยในปี  ค.ศ. 2022 แอลเอ็ม ซีเควนเชียล อีโว (LM Sequential EVO) ได้รับรางวัลเข็มทองคำ (Aiguille d’Or) ขณะที่ แมดวัน เรด (M.A.D.1 RED) คว้ารางวัลประเภทชาเลนจ์ (‘Challenge’) มาได้สำเร็จ เช่นเดียวกับใน ค.ศ. 2021 ที่ MB&F ได้รับสองรางวัลอันทรงเกียรติ โดยรางวัลหนึ่งสำหรับผลงานรุ่น แอลเอ็มเอ็กซ์ (LMX) ในฐานะนาฬิกาสลับซับซ้อนสำหรับสุภาพบุรุษยอดเยี่ยม (Best Men’s Complication) และอีกหนึ่งรางวัลจาก แอลเอ็ม เอสอี เอ็ดดี้ ฌาเกต์ ‘อะราวนด์ เดอะ เวิลด์ อิน เอจตี้ เดย์ส’ (LM SE Eddy Jaquet ‘Around The World in Eighty Days’) ในประเภท ‘งานหัตถศิลป์’ (‘Artistic Crafts’) ขณะที่ในปี ค.ศ. 2019 จากรางวัลนาฬิกาสลับซับซ้อนสำหรับสุภาพสตรียอดเยี่ยม (Best Ladies Complication) ที่มอบให้กับ แอลเอ็ม ฟลายอิ้งที (LM FlyingT) และในปี ค.ศ. 2016 จาก แอลเอ็ม เพอร์เพทชวล (LM Perpetual) ที่ชนะรางวัลนาฬิกาปฏิทินยอดเยี่ยม (Best Calendar Watch) หรือเช่นในปี ค.ศ. 2012 ที่ เลกาซี แมชชีน นัมเบอร์ 1 (Legacy Machine No.1) ได้คว้ารางวัลทั้งในสาขารางวัลสาธารณชน (Public Prize) (ซึ่งโหวตโดยเหล่าคนรักเรือนเวลา) และรางวัลนาฬิกาสุภาพบุรุษยอดเยี่ยม (Best Men’s Watch Prize) (โหวตให้โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ) และในปี ค.ศ. 2010 MB&F ชนะรางวัลนาฬิกาคอนเซปต์และงานออกแบบยอดเยี่ยม (Best Concept and Design Watch) จากผลงานรุ่น เอชเอ็ม4 ธันเดอร์โบลต์ (HM4 Thunderbolt) ส่วนในปี ค.ศ. 2015 MB&F ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมของ เรด ดอท (Red Dot: Best of the Best) ซึ่งนับเป็นรางวัลสูงสุดของการมอบรางวัลระดับสากล เรด ดอท อวอร์ดส (Red Dot Awards) จากผลงานรุ่น   เอชเอ็ม6 สเปซ ไพเรท (HM6 Space Pirate)

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้