Last updated: 27 มิ.ย. 2568 | 234 จำนวนผู้เข้าชม |
Breguetเผยโฉมนาฬิกาข้อมือ Classique Tourbillon Sidéral7255 (คลาสสิคทูร์บิญองซิเดราล 7255) อันเป็นลำดับที่สี่ของการเฉลิมฉลองครบรอบ 250 ปีของแบรนด์โดยการเจาะจงเลือกเปิดตัวในวันที่ 26 มิถุนายน 2025 นี้ นั้นตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน 1801 ซึ่ง Abraham-Louis Breguet (อับราฮัม-หลุยส์เบรเกต์) ได้รับสิทธิบัตร tourbillon สุดยอดกลไกที่เขาเป็นผู้คิดค้นและพัฒนาขึ้น โดยนาฬิการุ่นพิเศษนี้จะผลิตในจำนวนจากัดเพียง 50 เรือนเท่านั้น
ความเป็นมาของ Tourbillon หัวใจแห่งกลไก
Breguet มีความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวในศาสตร์แห่ง tourbillon ซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่วันที่ 7 Messidor ปี IX ตามปฏิทินฝรั่งเศส หรือก็คือวันที่ 26 มิถุนายน 1801 ซึ่งเป็นวันที่ อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ ได้รับสิทธิบัตรของสิ่งประดิษฐ์อันล้ำค่านี้
ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา Breguet มุ่งศึกษาและพัฒนากลไกอันแสนซับซ้อนนี้ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างมากมายนับไม่ถ้วน และครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่แบรนด์นำเสนอกลไก Flying Tourbillon ซึ่งออกแบบในสไตล์ “mysterious” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความเชี่ยวชาญที่ Breguet ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง มาเป็นเวลาหลายปี
นอกจากจะเป็นการยกย่องกลไกชั้นครูของผู้ก่อตั้งแล้ว ความล้ำสมัยครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความหมายที่ลึกซึ้งของคำว่า “tourbillon” โดยชื่อรุ่น “Sidéral” นั้นเจาะจงตั้งขึ้นเพื่อสื่อถึงโลกแห่งดวงดารา การโคจรอันแม่นยำของจักรวาล และการวัดเวลาโดยอิงจากฟากฟ้าเบื้องบน มิใช่การยึดตามดวงอาทิตย์ แต่เป็นการใช้ระบบการเคลื่อนที่ของดวงดาว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวคิดแห่งจักรวาลที่แม่นยำและลึกซึ้งยิ่งกว่า
Tourbillon ในเรือนเวลาสะท้อนถึงพัฒนาการทางดาราศาสตร์ของ Breguet และยังสอดคล้องกับบริบททางประวัติศาสตร์อีกด้วย หากในปัจจุบัน “tourbillon” มักหมายถึง “วัตถุที่หมุนเร็วเป็นวงกลม” แต่ในศตวรรษที่ 17 และ 18 ความหมายแตกต่างจากนั้นมาก
นักคณิตศาสตร์ชื่อดัง BlaisePascal (แบลซปัสกาล) ได้ให้นิยามความหมายของคำว่า “tourbillon” ที่กว้างขึ้น โดยหมายถึง “ระบบวัตถุที่เคลื่อนที่แบบหมุนวน” (อ้างอิงจาก Descartes –Principes Philosophiques, 1647) จากนั้นคำจำกัดความใหม่นี้ได้นำมาใช้กับระบบดาวเคราะห์ เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์โดยตรง
Breguet เป็นหนึ่งในนักคิดคนสาคัญแห่งยุค ซึ่งการประดิษฐ์ tourbillon นั้นนับว่าล้ำหน้าไปไกลเกินยุคสมัยมาก เพราะแม้เวลาจะผ่านไปแล้วถึง 224 ปี กลไกนี้ยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีสิ่งใดสามารถมาแทนที่ได้เลย
Tourbillon ในรูปแบบต่างๆ
อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ได้เริ่มจินตนาการและพัฒนา tourbillonไปจนถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 18 โดยหลีกเลี่ยงที่จะนิยามรายละเอียดทางเทคนิคไว้อย่างตายตัว ด้วยจิตวิญญาณของนักประดิษฐ์ผู้ไม่เคยหยุดนิ่ง และด้วยแรงผลักดันที่จะพัฒนาวิทยาการแห่งเรือนเวลาอย่างต่อเนื่อง เขาตระหนักดีว่า สิ่งที่เขาคิดค้นขึ้นนั้นคือ “หลักการ” มิใช่อุปกรณ์ที่สำเร็จรูปหรือสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแต่งเติมได้
เขาได้ทดลองสร้าง tourbillon ในหลากหลายรูปแบบ ปรับเปลี่ยนทั้งดีไซน์ ความถี่ ความเร็วในการหมุน รวมไปถึงชนิดของเอสเคปเมนต์ (ไม่ว่าจะเป็นแบบ lever, detent หรือ natural)
Breguet ได้ตั้งชื่อนาฬิกาของตนในชื่อ “Breguet et fils” (เบรเกต์และบุตรชาย) และทุ่มเทเวลากว่า 30 ปี ในการพัฒนากลไกนี้อย่างต่อเนื่อง โดยมีการผลิตกลไก tourbillon ขึ้นประมาณกว่า 40 ชุด ในช่วงระหว่างปี 1796 ถึง 1829
และในวันนี้ Breguetได้การพัฒนากลไกแบบ Flying Tourbillon ขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นการสานต่อเจตนารมย์ของยอดนักประดิษฐ์อย่างอับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์อย่างแท้จริง ด้วยการย้อนกลับไปยังรากฐานของ tourbillon และนำเสนอมุมมองใหม่ที่แตกต่างในสองแง่มุม นั่นคือในรูปแบบ flyingและ mysterious
Flying tourbillon ต่อยอดมาจาก tourbillon แบบดั้งเดิม ซึ่งยังคงจุดประสงค์หลักของกลไกนี้ไว้ (นั่นคือการลดผลกระทบของแรงโน้มถ่วงที่มีต่อบาลานซ์วีล โดยการหมุนกรงที่บรรจุกลไก) อย่างไรก็ตาม กลไกนี้ถือกำเนิดขึ้นภายหลัง โดยสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
Flying tourbillon แตกต่างจาก tourbillon แบบดั้งเดิม ตรงที่กรงกลไกนั้นยึดอยู่ด้วยบริดจ์ด้านล่างเพียงจุดเดียวเท่านั้น โดยไม่มีบาร์ยึดจากด้านบน จึงมีแค่ฐานล่างเท่านั้นที่ทาหน้าที่รองรับกลไก ทำให้ดูราวกับลอยอยู่เหนือกลไกทั้งหมด เกิดเป็นผลงานอันน่าหลงใหล
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างและการออกแบบกลไกนี้มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เนื่องจากกรง tourbillon ไม่มีจุดหมุนรองรับด้านบน มีเฉพาะจากด้านล่างเท่านั้น จึงต้องยิ่งแข็งแรงกว่าเดิม การถ่วงสมดุลต้องแม่นยำยิ่งกว่า และสามารถปรับตั้งได้ละเอียดกว่า tourbillon แบบปรกติ ย้อนกลับไปในปี 1801 อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ มุ่งมั่นพัฒนา tourbillon ที่ทั้งทนทานและเที่ยงตรง และกว่า 200 ปีต่อมา ผู้ผลิตที่สืบทอดนามของเขาก็ยังคงเดินหน้าสู่เป้าหมายเดียวกันนั้นอย่างแน่วแน่
ดีไซน์อันลึกลับ
Breguet ได้เติมความโดดเด่นให้กับกลไก flying tourbillon แรกของแบรนด์ ด้วยการผสานกลไกขั้นสูงอย่าง mysterious complication เข้าไปด้วย
Mysterious complication หรือกลไกลึกลับนี้สร้างขึ้นด้วย การทำให้กลไกแต่ละชิ้นส่วนสามารถเคลื่อนไหวได้ โดยดูเหมือนไม่ได้เชื่อมต่อกับกลไกส่วนอื่นๆ ซึ่งเทคนิคนี้มักใช้กับเข็มนาฬิกาข้อมือหรือเข็มนาฬิกาอื่นๆ โดยใช้ชิ้นส่วนที่หมุนได้ รวมถึง tourbillon ด้วย ดังเช่นนาฬิกา Classique Tourbillon Sidéral 7255 นั่นเอง
Mysterious tourbillon ถือเป็นกลไกระดับสูงที่ช่างนาฬิกาของ Breguet มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ โดยสาหรับนาฬิการุ่นนี้ บริดจ์ล่างและฐานรองของกรง tourbillon ในรุ่นนี้ รังสรรค์จากกระจกแซฟไฟร์เคลือบสารกันแสงสะท้อน จึงดูโปร่งใสราวกับล่องหน
การเชื่อมต่อระหว่างเฟืองกับกรง tourbillon ถูกออกแบบให้เยื้องจากช่องเปิดของกลไก จึงซ่อนอยู่ภายใต้หน้าปัดนาฬิกาอย่างแนบเนียน ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก
ลึกลับราวกับล่องลอยในอากาศ
เรือนเวลา Classique 7255 เป็นการผสานท้ังกลไก mysterious tourbillon และ flying tourbillon เข้าด้วยกัน โดยอาศัย regulator ที่ขับเคลื่อนผ่านระบบที่มองไม่เห็น ซ่ึงซ่อนอยู่นอกเหนือชุดกลไกก่อให้เกิดเอฟเฟกต์เสมือนลอยตัวเผยให้เห็นกลไกได้ชัดเจนยิ่งข้ึน
พื้นฐานด้านดาราศาสตร์
อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ เกิดที่เมือง Neuchâtel (เนอฌาแตล) เมื่อวันที่ 10 มกราคม 1747 และได้ก่อต้ังกิจการของตนเอง ในปี 1775 โดยเปิด เวิร์กช็อปที่ถนน Quai de l’Horloge บนเกาะ Île de la Cité ใจกลางกรุงปารีส เมืองหลวงที่เปรียบเสมือนบ้าน ณ มหานครเมืองหลวงของฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงระดับโลกแห่งนี้ เบรเกต์ผู้ยังเยาว์วัยได้เข้าศึกษาที่ Collège Mazarin (วิทยาลัยมาซาแร็ง) กับบาทหลวง Abbé Marie ( อาเบ มารี) ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงระดับแนวหน้ามิตรภาพของท้ังสองดำเนินยาวนานหลายทศวรรษ โดยอาจารย์ผู้นี้ได้จุดประกายความสนใจในศาสตร์แห่งดาราศาสตร์ให้แก่เบรเกต์ในวัยเยาว์ ซึ่งต่อมากลายเป็นปรมาจารย์แห่งศาสตร์การประดิษฐ์นาฬิกา
ด้วยพ้ืนฐานด้านวิทยาศาสตร์จากวิทยาลัยมาซาแร็ง ทำให้เบรเกต์ก้าวข้ึนเป็นวิศวกรผู้ล้ายุค โดยเขาได้รับเชิญให้เข้าร่วม Académie des Sciences (สถาบันวิทยาศาสตร์ซ่ึงต้ังอยู่ในวิทยาลัยมาซาแร็ง) รวมถึง Bureau des Longitudes ในกรุงปารีส ซ่ึงเป็นสถาบัน ที่อุทิศตนเพื่อสืบสาน และพัฒนาศาสตร์แห่งดาราศาสตร์ในหลากหลายแขนง
ตลอดชีวิตของเขา เบรเกต์ ได้ร่วมงานกับนักดาราศาสตร์ ผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน อาทิ Lalande (ลาล็องด์), Biot (บีโอ), Bo u v ard (บูวาร์), Nicollet (นิโกเลต์) และ Cassini (กาสสินี) รวมถึง François Arago (ฟรองซัวส์ อาราโก) นักดาราศาสตร์ รุ่นใหม่ ที่เขาได้พบที่ Académie des Sciences ซ่ึงต่อมา เบรเกต์ได้ประดิษฐ์เคาน์เตอร์สำหรับกล้องโทรทรรศน์ดาราศาสตร์ (อุปกรณ์ที่ติดต้ังกับช่องมองของกล้องสำหรับนับการสังเกตการณ์) เพื่อมอบให้กับอาราโกเพื่อใช้งานทางดาราศาสตร์อีกด้วย
สุนทรียแห่งดาราศาสตร์
สำหรับผลงานใหม่ Classique Tourbillon Sidéral 7255 Breguet ได้เลือกใช้หน้าปัดอีนาเมล aventurine (อะเวนจูรีน) เป็นคร้ังแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์เพื่อสื่อถึงศาสตร์แห่งดวงดาราและการเฝ้าสังเกตผืนฟ้ายามค่าคืนที่ เต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพรายหน้าปัดสีน้ำเงินเข้ม น้ันแต่งแต้มด้วยประกายระยิบระยับดุจดวงดาวที่ประดับประดาอยู่บนท้องนภา
ศิลปะ aventurine (การรังสรรค์แก้วชนิดพิเศษที่มีส่วนผสมของผงโลหะทำให้เกิดประกายระยิบระยับเมื่อแสงตกกระทบ ซ่ึงเป็นวัสดุที่นิยมใช้ ในงานประณีตศิลป์ และเครื่องประดับช้ันสูง) มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 และมีการ พัฒนาอย่างต่อเนื่องนับแต่น้ันมา สำหรับเรือนเวลา รุ่นนี้ Breguet เลือกใช้เทคนิคการเคลือบอีนาเมลแบบ grand feu (กรองด์ เฟอ)
Aventurine เกิดจากการนำแก้วมาบดให้เป็นผงละเอียด และส่วนผสมทั้งหมดต้องผ่านการปรับ สัดส่วนอย่างแม่นยำ โดยเฉพาะผง aventurine ที่ต้องมีขนาดเม็ดใหญ่กว่าผงอีนาเมลทั่วไปเล็กน้อย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามไร้ที่ติ
ขั้นตอนการทำหน้าปัด จะต้องสร้างเลเยอร์ aventurine อย่างน้อยถึง 5 ช้ันด้วยกัน และแต่ละชั้นต้องนำไปเผาในเตาที่อุณหภูมิสูงกว่า 800 องศาเซลเซียส ซ่ึงกระบวนการเผาแต่ละคร้ังน้ันต้องอาศัยความละเอียดอ่อน และความแม่นยำสูง เพราะหากเผานานเกินไปหรืออุณหภูมิร้อนเกินไป ก็อาจทำให้หน้าปัดเสียหายอย่างถาวรเลยได้
หน้าปัดของ Classique Tourbillon Sidéral 7255 ผสานสองคุณสมบัติอันโดดเด่นเข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่ สีน้ำเงินอันลุ่มลึกมีมิติจากอีนาเมล และประกายอย่างเป็นธรรมชาติจากผงทองแดงที่สื่อถึงดวงดาว
เนื่องจากหน้าปัดอะเวนตูรีนทุกชิ้นล้วนผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ด้วยมืออย่างประณีต จึงไม่มีเรือนไหนที่เหมือนกันอย่างแท้จริงด้วยเหตุนี้นาฬิกา Classique Tourbillon Sidéral 7255 ทั้ง 50 เรือนจึงนับเป็นผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละเรือนเสมือนเป็นผลงานระดับหน่ึงเดียวในโลก
Tourbillon ในเชิงเทคนิค
Manufacture Breguet ให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับกลไก tourbillon สำหรับเรือนเวลา Classique Tourbillon Sidéral 7255 เพื่อสืบสานความยิ่งใหญ่ของสิ่งประดิษฐ์อันล้ำค่าที่ อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ ได้คิดค้นขึ้นให้ยังคงมีความร่วมสมัยทั้งในด้านความงดงามและอัตลักษณ์ในเชิงการออกแบบวิศวกรรมกลไก
สำหรับรุ่นนี้กลไก tourbillon ออกแบบให้ยกตัวขึ้นเพื่อเน้นมิติของกลไกและให้ความรู้สึกคล้ายกำลังลอยอยู่ในอวกาศ เปรียบได้กับดวงดาวที่ล่องลอยอยู่ในห้วงจักรวาล
Tourbillon ได้รับการออกแบบให้ยกตัวสูงขึ้นจาก แผ่นเพลทถึง 2.2 มม. และลอยเด่นเหนือหน้าปัดอีนาเมล aventurine อีก 0.9 มม. รวมความสูงทั้งหมดของชุดกลไกอยู่ที่ 7 มม . กล่าวได้ว่ากลไก tourbillon เพียงชิ้นเดียวคือองค์ประกอบที่กำหนดความสูงของกลไกโดยรวมตลอดจนความหนา ของตัวเรือน (ซึ่งอยู่ที่ 10.2 มม.) สำหรับรุ่น Classique Tourbillon Sidéral 7255 นี้ tourbillon จึงเป็นเสมือนหัวใจหลักที่เป็นตัวกำหนดทุกองค์ประกอบอื่นๆ หรื อจุดศูนย์กลางที่กำหนดทิศทางของกลไกของนาฬิกาทั้งเรือน
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สง่างามเช่นนี้ จึงได้มีการคิดค้นวิธีการออกแบบและสร้างหน้าปัดใหม่ท้ังหมด โดยประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนหลากหลายชิ้น เช่น ฐานทองคำยกขอบขึ้น และกรอบหน้าปัดทองคำล้อมรอบ tourbillon ซ่ึงดีไซน์เหล่าน้ียังมีบทบาทลับๆ ในเชิงเทคนิคอีกด้วยกล่าวคือทำหน้าที่เป็นกำแพงยกสูงบริเวณขอบหน้าปัดช่วยให้สามารถลง อีนาเมล aventurine หลายชั้นได้อย่างพิถีพิถันและสมบูรณ์แบบตลอดกระบวนการ
ด้วยองค์ประกอบอันโดดเด่นไม่ว่าจะเป็นหน้าปัดแสดงชั่วโมง ตัวอักษรแกะสลักเป็นคำว่า “Breguet” และ “Tourbillon” ตลอดจนหลักชั่วโมงที่แวววาวด้วยโทนสีทองอบอุ่นจาก Breguet gold หน้าปัดเรือนน้ี จึงทั้งงดงามและยังมีบทบาทเฉพาะตัวสำหรับกลไก “mysterious” อันซับซ้อน โดยมีกลไกที่เป็นตัวขับเคลื่อน tourbillon ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ซ่ึงให้ความรู้สึกราวกับว่ากรง tourbillon กำลังลอยอยู่ในอากาศโดยไร้จุดเชื่อมต่อใดๆ กับกลไกอื่นใดโดยสิ้นเชิง
การตกแต่ง Tourbillon Sidéral
Classique Tourbillon Sidéral 7255 ผลิตขึ้นจาก Breguet gold ซ่ึงเป็นโลหะผสมเฉพาะที่เปิดตัวคร้ังแรกในช่วง เริ่มต้นการเฉลิมฉลองครบรอบ 250 ปี ของแบรนด์สีทอง โทนอุ่นเจือชมพูอ่อนๆ นี้ได้แรงบันดาลใจมาจากทองที่ช่างนาฬิกาในศตวรรษที่ 18 มักใช้กัน รวมถึง Breguet ด้วย โดยมีส่วนประกอบของทองคำ 75% ผสมกับเงิน ทองแดง และแพลเลเดียม โลหะผสมน้ีนอกจากจะแวววาวแล้วยังมีคุณสมบัติไม่เปลี่ยนสีง่ายและคงทนยาวนาน
นับเป็นคร้ังแรกที่มีการน้ำลายแกะสลัก guilloche (กิลโยเช่) แบบ Quai de l’Horloge ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานนี้ มาตกแต่งเป็นลวดลายแบบวงกลมที่ตัวเรือน ช่วงกลางและฐานรอง tourbillon และยังมีการตกแต่งเป็นลวดลายแบบเส้นตรงบนเพลทกลไกท้ังหมด ซ่ึงสามารถมองเห็นได้ผ่านฝาหลังคริสตัลแซฟไฟร์
แรงบันดาลใจในการออกแบบลวดลาย guilloche นี้ มาจากเส้นสายอ่อนช้อยของแม่น้ำ Seine (แซน) ขณะ ไหลโค้งล้อมรอบ Île de la Cité และ Île Saint-Louis
สำหรับหน้าปัดทุกเรือนประดับด้วยลายเซ็นลับของ Breguet พร้อมด้วยรายละเอียดสไตล์ด้ังเดิมอื่นๆ ของ แบรนด์ เช่น ตัวเรือนช่วงกลางที่ตกแต่งด้วยลาย flute (ลายเซาะร่อง) ขาสายนาฬิกาแบบตรง และเข็มนาฬิกาทรง “hollowed apple” อันเป็นเอกลักษณ์ ด้านหลังของแต่ละเรือนจะระบุหมายเลขประจำตัวเรือนไว้ตั้งแต่ 1/50 ถึง 50/50
26 มิ.ย. 2568
27 มิ.ย. 2568
27 มิ.ย. 2568
27 มิ.ย. 2568