Last updated: 2 ก.ค. 2568 | 35 จำนวนผู้เข้าชม |
พรรณผกาแห่งฮาวาย Fleurs d’Hawaï
คอลเลกชันเครื่องประดับ “พรรณผกาแห่งฮาวาย” หรือ Fleurs d’Hawaï (เฟลอรส์ ดาวาอิ) ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสีสันสดใสเจิดจรัสภายในสวนพฤกษาเมืองร้อน นำมาซึ่งงานออกแบบเครื่องประดับ และนาฬิกาข้อมือที่ล้วนสะกดสายตาด้วยรัตนชาติน้ำงามหลากเฉดต่างวงกลีบรายล้อมพวงเกสรเพชร ประดับโค้งใบทองคำอ่อนช้อยรองล่าง จุดประกายจินตนาการถึงความงดงามตระการตาของมวลรุกขชาติใต้ไอแสงจากดวงตะวัน
สำหรับงานออกแบบคอลเลกชันใหม่ อีกครั้งที่ Van Cleef & Arpels แสดงให้เห็นถึงรสนิยมชมชอบต่อบรรดารัตนชาติหลากสีสันดังปรากฏอย่างชัดเจนในงานสร้างสรรค์เครื่องประดับชั้นสูงมาตลอดทุกยุคสมัยด้วยการคัดสรรพลอยเลอค่าห้าชนิดมาเรียงร้อยเรื่องราวของ “พรรณผกาแห่งฮาวาย” หรือ Fleurs d’Hawaï ผ่านงานออกแบบต่างหู, แหวน, จี้สร้อยคอ และนาฬิกาข้อมือในขณะที่พลอยน้ำทอง “ซิตริน” (citrine) จุดประกายความสุขเบิกบานด้วยสีเหลืองอมส้มทอประกายเจิดจ้า ทุกสายตาพลันคล้ายต้องมนต์สะกดกับสีม่วงเรืองรองของพลอยดอกตะแบก “แอเมธิสต์” (amethyst) และความล้ำลึกของโกเมนสีชมพูหรือพลอยกุหลาบ “โรโดไลต์” (rhodolite ตั้งชื่อตามสีชมพูอมม่วงของดอกกุหลาบพันปลีโรโดเดนดรอน) ตัดเฉดกับประกายกระจ่างใสของน้ำเพชรอย่างงามสง่า ตามมาด้วยพลอยทะเล “อะความารีน” (aquamarine) สีฟ้าอ่อนสกาวแสงทอรัศมีเคียงข้างพลอยสีมะกอก “เพริด็อต” (peridot) เขียวขจี
รัตนชาติแต่ละเฉดล้วนผ่านการคัดเลือก เทียบสีอย่างพิถีพิถัน และเคร่งครัดเพื่อให้น้ำพลอยก่อวิถีแสงตกกระทบกับเนื้อทองก่อประกายสุกสว่างระยับตา ไม่ว่าจะเป็นทองคำสีกุหลาบ, ทองคำสีเหลือง หรือทองคำสีขาว ภายในแผนกรัตนชาติ (Stone Department) นักอัญมณีวิทยาผู้ชำนาญ ต่างดำเนินการพิจารณา คัดพลอยแต่ละสีตามมาตรฐานความเป็นเลิศให้ตรงกับรสนิยมของเมซงอย่างเคร่งครัด นอกจากความกระจ่างใส ไร้ตำหนิริ้วรอย เนื้อพลอยก็ต้องให้ความเข้มสีระดับสูง สม่ำเสมอ กลมกลืนกันทั้งเม็ด และเข้ากันได้กับทุกเม็ด ความพิถีพิถัน ใส่ใจในทุกรายละเอียดยังครอบคลุมถึงคุณภาพงานเจียระไน อันเป็นปัจจัยกำหนดค่าความเข้มแสง หรือประกายสว่างเรืองรองยามต้องแสงตกกระทบ ตลอดจนความงามสง่าของรูปทรง, หน้าตัด และเหลี่ยมมุม เพื่อถ่ายทอดความงดงามตามธรรมชาติของพรรณผกา เมซงได้เลือกงานเจียระไนทรงหยดน้ำหรือ “ลูกแพร์” มาใช้กับรัตนชาติทั้งห้า สำหรับเรียงร้อยเป็นวงกลีบรายรอบพวงเกสรเพชรกลางช่อก้านหนามเตยทองปลายลูกปัดโดยคำนึงถึงความสม่ำเสมอ กลมกลืน และลงตัวของสีสันทั้งชิ้นงาน
นอกจากงานออกแบบตัวเรือนทองคำเปิดโปร่งจำลองแบบกลีบเลี้ยงรองรับการฝังรัตนชาติทรงหยดน้ำ หรือลูกแพร์ในตำแหน่งทำมุมยกสูงจะให้ความรู้สึกราวกลีบผกาบางเบา ไร้น้ำหนักต้องลมพลิ้วกระเพื่อมอย่างอ่อนช้อย ก็ยังอำนวยต่อการลำเลียงวิถีแสงส่องผ่านน้ำพลอยให้ทอประกายสุกสว่างอย่างที่สุด โมทิฟชิ้นส่วนต่างๆ ของโครงสร้างตัวเรือนเปิดโปร่งอำนวยให้วิถีแสงตกกระทบส่องผ่านน้ำพลอย เร่งระดับประกายสุกสว่าง ทวีความเจิดจ้าทางสีสันอย่างเต็มที่ ล้วนเป็นผลงานการสร้างสรรค์อย่างละเอียดอ่อน พิถีพิถันจากช่างศิลป์เครื่องประดับประจำเมซง โดยอาศัยเทคนิคหล่อแบบสูญขี้ผึ้งหรือ lost-wax casting รวมถึงวงเขี้ยวหนามเตยก้านเกสรปลายลูกปัดอันอ่อนช้อยสำหรับนำมาประกอบเป็นฐานรองโอบล้อมพวงเกสรทรงโดมฝังเพชรเจ็ดเม็ด และกลีบใบทองคำทรงโค้งเติมน้ำหนักเชิงสัณฐานในสัดส่วนอสมมาตร ถ่ายทอดความงดงามตามธรรมชาติอย่างสมจริง
ทุกรายละเอียดของชิ้นส่วนโลหะ ล้วนผ่านกระบวนการงานฝีมือขัดผิวครั้งแล้ว ครั้งเล่ากับทุกขั้นตอนเพื่อให้เนื้อทองหมดจด เกลี้ยงเกลา เป็นเงางาม มอบคุณภาพในการล้อแสงกับบรรดารัตนชาติเลอค่าได้อย่างละเมียดละไม
เครื่องประดับซ่อนเวลา “พรรณผกาแห่งฮาวาย” หรือ Fleurs d’Hawaï อาศัยศิลปะในการฝังรัตนชาติขึ้นตัวเรือนตามตำแหน่งทำมุมรับแสง ทวีประกายระยิบระยับจรัสตา ทำหน้าที่บอกเวลาอย่างหรูหราผ่านท่วงท่าละเมียดละไม ท่ามกลางความตระการตาของวงกลีบอันประกอบขึ้นจากรัตนชาติเจียระไนทรงหยดน้ำสิบสองเม็ดในขนาด, สัดส่วน, เฉดสี และความกระจ่างใสของน้ำพลอยสม่ำเสมอ กลมกลืนเข้ากันอย่างหมดจดคือตัวเรือนติดตั้งหน้าปัดทำจากแผ่นแม่มุกหรือมาเธอร์-ออฟ-เพิร์ลสีขาวเดินขอบรายล้อมด้วยเพชรลูกทรงกลม โดยมีเพชรเดี่ยวเจียระไนทรงหยดน้ำฝังลงตรงตำแหน่ง 12 นาฬิกา ในขณะที่กรอบตัวเรือนประกอบเดือยหมุนเป็นแกนยึดโมทิฟพวงเกสรเพชรท่ามกลางวงล้อมโค้งเขี้ยวหนามเตยปลายลูกปัดทอง อำนวยต่อการดันเปิด เลื่อนปิดหน้าปัดบอกเวลา แสดงถึงรสนิยมชมชอบของเมซงอันมีต่อศิลปะ “ซ่อนเวลา” อย่างชัดเจน นอกจากนั้น ตัวเรือนดอกไม้ยังสามารถปลดออกจากแถบซาตินสายคาดเพื่อนำไปดัดแปลงเป็นกำไลข้อมือ, เข็มกลัด หรือจี้สร้อยคอได้ตามความปรารถนา สำหรับเครื่องประดับซ่อนเวลาในคอลเลกชัน “พรรณผกาแห่งฮาวาย” รุ่นนี้ มอบตัวเลือกสามลูกเล่นจับคู่สี อันได้แก่ความกลมกลืนระหว่างพลอยน้ำทองซิตรินกับตัวเรือนทองคำสีเหลืองบนสายคาดซาตินประกายทอง, พลอยกุหลาบโรโดไลต์กับตัวเรือนทองคำสีกุหลาบบนสายคาดซาตินสีชมพูอมแดง และผลงานแห่งความขัดแย้งอันลงตัวระหว่างพลอยทะเลอะความารีนกับตัวเรือนทองคำขาวบนสายคาดซาตินสีฟ้าละมุน
คอลเลกชันอันบ่งบอก “สไตล์เอกลักษณ์” ของเมซง
บรรดาเครื่องประดับช่อดอกไม้อันงามวิจิตรเหล่านี้ ล้วนได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นตามครรลองของหนึ่งในผลงานสัญลักษณ์ Van Cleef & Arpels นั่นก็คือประดิษฐกรรม Passe-Partout (“ปาสส์-ปารตูต์” เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลตรงตัวว่า “กุญแจผี” ถูกนำมาใช้ตั้งชื่อเพื่อสื่อถึงคุณลักษณ์ในการพลิกแพลงรูปแบบใช้งานได้ตามความต้องการเหมือนกุญแจผีที่ไขประตูได้ทุกบาน) ซึ่งทำการจดสิทธิบัตรคุ้มครองไปเมื่อปีค.ศ. 1938 งานออกแบบโครงสร้างตัวเรือนสายโซ่ทรงหลอดแบบที่เรียกว่า “ปล้องท้องงู” (Tubogaz) ทำจากทองคำสีเหลือง เอื้อต่อการดึงยืดเหยียดตรง หรือขดม้วนเป็นวง ตลอดจนบิดเกลียว และอื่นๆ อีกทั้งยังรองรับงานประกอบโมทิฟดอกไม้รัตนชาติหลากสีได้ตามตำแหน่งต่างๆ ด้วยการใช้กลไกตัวกลัดซ่อนหลังวงกลีบ
ขณะที่ประดิษฐกรรมโครงสร้างสายโซ่ปล้องท้องงู Passe-Partout หาได้ต่างอันใดจากบทสรุปธรรมเนียมงานออกแบบเครื่องประดับอันอำนวยต่อการดัดแปลงรูปทรง พลิกแพลงวิธีสวมใส่ของเมซง ไม่ว่าจะใช้เป็นสร้อยคอเส้นสั้น หรือเส้นยาว, กำไลข้อมือ, เข็มกลัด หรือกระทั่งเข็มขัด โมทิฟดอกไม้สามวงกลีบจรัสประกายระยับแสงจากลีลาตัดเฉดระหว่างทับทิม, ไพลิน และไพลินสีบนโค้งกลีบเลี้ยงทองคำสีเหลืองเติมเต็มน้ำหนักทรงสามมิติ ก็กลายเป็นต้นแบบสำหรับการรังสรรค์ผลงานรุ่นใหม่ ร่วมสมัยอีกมากมายรวมถึง “พรรณผกาแห่งฮาวาย” ซึ่งปรากฏอยู่บนหัวแหวน, เข็มกลัด, จี้สร้อยคอ, ต่างหู รวมกระทั่งนาฬิกาข้อมือ
@vancleefarpels #VanCleefArpels #VCAfleursdhawai #VCAflora
1 ก.ค. 2568
25 มิ.ย. 2568
16 ต.ค. 2567
26 มิ.ย. 2568