BREGUET Marine Hora Mundi 5555

Last updated: 11 ก.ย. 2568  |  274 จำนวนผู้เข้าชม  | 

BREGUET Marine Hora Mundi 5555

BREGUET (เบรเกต์) ฉลองครบรอบ 250 ปีของแบรนด์ พร้อมเผยโฉมการฉลองในบทที่ 5 ด้วยผลงานเรือนเวลาสุดเอ็กซ์คลูซีฟรุ่นใหม่ล่าสุด Marine Hora Mundi 5555  (มารีน โฮรา มุนดิ ฟิฟตีไฟว์ ฟิฟตีไฟว์) ที่รังสรรค์ในจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือนเท่านั้น ตอกย้ำถึงศิลปะงานฝีมือ ผ่านหน้าปัดดีไซน์ซ้อน 2 ระดับ ผสานความงดงามของงานสลัก guilloché (กิลโยเช่) เข้ากับความโปร่งใสของแซฟไฟร์ โดยได้รับแรงบันดาลจากภาพถ่าย “Black Marble” ขององค์การนาซ่า ที่สะท้อนภาพโลกยามราตรี เผยให้เห็นโลกในอีกมิติที่แตกต่างจากภาพ “Blue Marble” อันเลื่องชื่อ ที่บันทึกไว้โดยยาน Apollo 17 เมื่อปี ค.ศ. 1972 ซึ่งเป็นภาพโลกขณะอาบแสงอาทิตย์

Hora Mundi 5555 ถ่ายทอดโลกในมิติยามค่ำคืน ว่าโลกนั้นหมุนไปไม่เคยหยุดนิ่ง และแสงไฟระยิบระยับ จากมหานครยังบอกเราว่า โลกไม่เคยหลับใหล ดั่งนิยามของเรือนเวลาเรือนนี้ ที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อผู้ที่เดินทางอยู่เป็นนิจ

นี่เป็นครั้งแรกที่มีการนำเสนอ Hora Mundi 5555 ในตัวเรือน Breguet gold ที่มาพร้อมหน้าปัดที่ตกแต่งด้วยนวัตกรรทอีนาเมลเรืองแสงแบบ phosphorescent (ฟอสฟอเรสเซนต์) ซึ่งอยู่ในระหว่างขั้นตอนการยื่นจดสิทธิบัตร โดย 50 นักสะสมผู้ครอบครองนาฬิกาแต่ละเรือน ยังสามารถเลือกปรับแต่งนาฬิกาของตนแบบ personalized ด้วยการตั้งไทม์โซนแบบ 24 ไทม์โซนให้เป็นชื่อเมืองต่างๆได้ตามต้องการอีกด้วย

พรมแดนใหม่
สำหรับเรือนเวลาใหม่ล่าสุด Marine Hora Mundi 5555 Breguet เชื่อมผืนแผ่นดินให้มาจรดกับท้องทะเลเชิญชวนสู่การออกเดินทางที่งดงามราวกับภาพฝัน ถ่ายทอดประวัติศาสตร์อันยาวนานตามรอย Abraham-Louis Breguet (อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์) ผู้ก่อตั้งแบรนด์ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็น Watchmaker to the French Royal Navy หรือช่างนาฬิกาประจำราชนาวีฝรั่งเศส เมื่อ 210 ปีก่อน และในปี ค.ศ. 1815 กษัตริย์หลุยส์ที่ 18 ยังทรงยกย่องวิสัยทัศน์ของปรมาจารย์แห่งเรือนเวลาผู้นี้ ที่สามารถสร้างสรรค์นาฬิกาอันล้ำสมัยที่ผลักดันให้วิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์และการสำรวจโลกก้าวไกลไปอีกมาก

ทุกวันนี้ มหาสมุทรไม่ได้เป็นดินแดนอันยากจะหยั่งถึงดังเช่นในอดีตกาลอีกต่อไป และความมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามความท้าทายอย่างไม่เคยหยุดนิ่งนี้เอง คือพลังขับเคลื่อนแห่ง Marine Hora Mundi 5555 ซึ่งรังสรรค์ขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือนเท่านั้น ณ ใจกลางของเรือนเวลาเรือนนี้ คืองานหัตถศิลป์อันวิจิตรและเป็นเอกลักษณ์ ที่หลอมรวมขนบดั้งเดิมและความร่วมสมัยไว้ด้วยกันอย่างลงตัว อีกทั้งยังผสมผสานสุดยอดฝีมือหัตถ์ศิลป์กับศาสตร์แห่งวิศวกรรม ที่นำพาเส้นขอบฟ้าอันไร้ขอบเขตมาจรดกับมหาสมุทร



หน้าปัดซ้อนสองมิติ
เรือนเวลาใหม่ล่าสุด Marine Hora Mundi 5555 นี้ สืบทอดแรงบันดาลใจจากคอลเลกชันปัจจุบัน ด้วยตัวเรือนขนาด 43.9 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนด้วยกลไกคาลิเบอร์ 77F1 ที่มาพร้อมฟังก์ชันโดดเด่น อาทิ ระบบปรับเวลาสองไทม์โซนแบบ instant jump ที่สามารถตั้งล่วงหน้าได้, การแสดงวันที่, ตัวบ่งชี้กลางวัน/กลางคืน และชื่อเมืองที่แสดงอย่างแม่นยำ  ความคล้ายคลึงกับรุ่นก่อนหน้ามีเพียงเท่านี้ เพราะสำหรับ Marine Hora Mundi 5555 สิ่งอื่นล้วนสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่หน้าปัดเป็นต้นไป

สิ่งที่ทำให้เรือนเวลาเรือนนี้แตกต่างอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกเห็น คือมิติความลึกและโค้งมน อันเกิดจากการรังสรรค์ในแบบเฉพาะ ซึ่งประกอบด้วยสององค์ประกอบสำคัญ องค์ประกอบแรกคือหน้าปัดชั้นฐานที่ทำจากทองคำ ไล่เฉดสีจากฟ้าอ่อนสู่สีน้ำเงินเข้ม ดุจการบรรจบกันระหว่าง “ท้องนภาและมหาสมุทร” ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจหลักในการสร้างสรรค์เรือนเวลาเรือนนี้ ต่อด้วยการสลักลวดลายอย่างประณีตเป็นเส้นลองจิจูดและละติจูด เดินเส้นสู่สี่ทิศหลัก สร้างมิติเสมือนโลกที่โค้งมน ซึ่งเป็นที่มาของคุณสมบัติแรกของหน้าปัดนาฬิกาเรือนนี้ นั่นคือความโค้งมน

ส่วนองค์ประกอบที่สองคือมิติความลึก เพื่อให้ได้อารมณ์มุมมองจากอวกาศ ราวกับเจ้าของนาฬิกากำลังชื่นชมโลกจากชั้นบรรยากาศนอกโลก Breguet จึงนำคริสตัลแซฟไฟร์โปร่งใสมาครอบหน้าปัดอีกชั้นหนึ่ง เพื่อสร้างมิติความลึกนี้

ขนบและนวัตกรรมแห่งการรังสรรค์ศิลปะอีนาเมล
หน้าปัดแซฟไฟร์ของ Marine Hora Mundi 5555 ผสมผสานทักษะงานศิลป์ระดับสูงหลากหลาย ที่นับว่ายากจะหาใดเปรียบ โดยทุกขั้นตอนล้วนรังสรรค์ด้วยมือบนชิ้นงานทั้งสองด้านอย่างพิถีพิถัน แบ่งเป็นสามกระบวนการ เริ่มต้นจากการวาดทวีปขนาดจิ๋วต่าง ๆ ด้วยอีนาเมล ช่างศิลป์ของ Breguet จึงเลือกใช้เทคนิคจำลองเส้นโค้งของโลกลงบนแซฟไฟร์ที่เป็นแผ่นบาง โดยวาดเส้นขอบของทวีปให้ค่อย ๆ โค้งเข้าหาขอบหน้าปัดเพื่อสร้างให้ดูมิติความโค้งจากหน้าปัดสลักลายซึ่งอยู่ด้านล่าง

โดยการวาดนี้ต้องใช้เทคนิคการวาดกลับด้าน ลงบนด้านหลังของคริสตัลแซฟไฟร์ ซึ่งถือเป็นงานที่ต้องอาศัยความประณีตบรรจงอย่างมาก เพราะช่างต้องเขียนภาพผ่านกระจกอีกต่อหนึ่ง เพื่อให้เมื่อพลิกด้านกลับมาแล้ว ภาพจะออกมาได้อย่างสวยงามและถูกต้อง จากนั้นจึงนำไปเผาด้วยความร้อนสูงด้วยเทคนิค grand feu enamel ดังที่มาของคำว่า grand feu ในภาษาฝรั่งเศส หมายถึง ไฟอันยิ่งใหญ่ นั่นเอง

ถัดมาในขั้นตอนที่สอง ช่างฝีมือ Breguet จะพลิกด้านหน้าปัดแซฟไฟร์กลับมาและวาดชั้นก้อนเมฆบางเบาที่ล่องลอยอยู่เหนือแผ่นดิน แต่งเติมให้ผืนโลกที่ปรากฏบนหน้าปัดดูมีชีวิตชีวาและมีความสมจริง ก้อนเมฆเหล่านี้จะวาดด้วยอีนาเมล และนำไปเผาไฟในอุณหภูมิสูงอีกครั้ง ในขณะที่ผืนแผ่นดินอันโค้งมนนั้นดู หนักแน่นมั่นคง ก้อนเมฆเหล่านี้จะลอยล่องเหมือนมวลเมฆในท้องนภา  ซึ่งช่างศิลป์ Breguet แต่ละคนจะรังสรรค์ผลงานในแบบเฉพาะของตน ทำให้ Hora Mundi 5555 แต่ละเรือนจึงล้วนเป็นผลงานชิ้นเอกที่มีเพียงหนึ่งเดียว แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งความลึกลับและมนต์ขลังที่ล่องลอยอยู่เหนือผืนมหาสมุทร รังสรรค์จากแรงบันดาลใจอันลึกซึ้งของช่างฝีมือแต่ละคน

และสุดท้ายคือรายละเอียดของมหานครต่าง ๆ ที่เปล่งประกายในยามค่ำคืน ซึ่งนาฬิกาโดยทั่วๆไปมักเลือกใช้ สารเรืองแสง Super-LumiNova แต่ Breguet กลับเลือกสร้างสรรค์ด้วยการวาดภาพขนาดเล็กจิ๋วด้วยเทคนิคอีนาเมลเรืองแสงแบบ phosphorescent ซึ่งเป็นทั้งงานหัตถศิลป์และผลงานที่ต้องใช้เทคนิคขั้นสูง นวัตกรรมนี้สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์ที่สืบต่อเนื่องมากว่า 250 ปีของ Breguet

เอกลักษณ์ที่เหนือระดับยิ่งกว่า
เพื่อตอกย้ำความพิเศษของเรือนเวลาที่มีจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือนเท่านั้นในโลก Breguet ได้แต่งเติมรายละเอียดมากมายให้กับ Hora Mundi 5555 ซึ่งทำให้เรือนเวลาเรือนนี้ยิ่งแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ เป็นครั้งแรกที่ตัวเรือนรังสรรค์จาก Breguet gold โดยเฉพาะในรุ่นลิมิเต็ดนี้ ส่วนตรงกลางผ่านการขัดเงาอย่างประณีต การผสานระหว่างพื้นผิวแบบขัดเงาและขัดด้านแบบ satin-brushed เผยให้เห็นความงามล้ำค่าของวัสดุใหม่อย่าง Breguet gold

ด้านหลังของเรือนเวลาตกแต่งด้วยลวดลายสลักพิเศษ ที่เรียกว่า  Quai de l’Horloge  (คเว เดอ ลอจ์) ซึ่งรังสรรค์ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 250 ปีของแบรนด์ ฝาหลังคริสตัลแซฟไฟร์ อวดโฉมสัญลักษณ์โลโก้ครบรอบ 250 ปีเช่นเดียวกับทุกรุ่นในคอลเลกชันพิเศษนี้ ภายในเผยให้เห็นการทำงานอันประณีตของกลไกคาลิเบอร์ 77F1 พร้อมโรเตอร์ที่รังสรรค์จาก Breguet Gold เป็นครั้งแรก สำหรับหน้าปัด นักสะสมผู้ครอบครองเรือนใดเรือนหนึ่งจากจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือนนี้ยังสามารถสั่งปรับแต่งรายชื่อเมืองบนหน้าปัดได้ตามต้องการได้อีกด้วย 



77F1 นิยามแห่งกลไกชั้นเลิศ
หัวใจสำคัญของ Hora Mundi 5555 คือกลไก calibre 77F1 อันเปี่ยมประสิทธิภาพ กลไกชั้นครูนี้ได้ขับเคลื่อนคอลเลกชัน Hora Mundi นับตั้งแต่ถือกำเนิด (จาก calibre 77F0 สู่การการพัฒนาเป็น 77F1 ในปี 2022) นอกเหนือจากการแสดงเวลาและวันที่ 77F1 ยังสามารถแสดงเวลาและวันที่ของอีกหนึ่งไทม์โซนได้ตามต้องการ โดยสามารถเลือกจากหนึ่งใน 24 เมืองซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ละไทม์โซนทั่วโลก

สุดยอดกลไกนี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Breguet ที่ยากจะหากลไกอื่นใดเปรียบ ขับเคลื่อนโดยอาศัยหลักการ หน่วยความจำกลไก พร้อมการแสดงผลในทันที เพียงตั้งเวลาและวันที่สำหรับเมืองแรกด้วยเม็ดมะยมที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา จากนั้นตั้งไทม์โซนของเมืองที่สองโดยใช้ปุ่มกดที่ตำแหน่ง 8 นาฬิกา กลไกจะคำนวณเวลาและวันที่ผ่านระบบ cams, hammers และ integrated differential เพียงกดปุ่มที่ตำแหน่ง 8 นาฬิกา หน้าปัดจะสลับการแสดงผลระหว่างไทม์โซนได้ตามต้องการในทันที พร้อมปรับวันที่โดยอัตโนมัติตามไทม์โซนที่เลือกไว้ ขณะเดียวกัน หน้าปัดย่อยที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกาจะแสดงค่าช่วงกลางวันหรือกลางคืนของไทม์โซนนั้นๆ

กลไก calibre 77F1 มีการยื่นจดสิทธิบัตรถึงสี่ฉบับ ฉบับแรกได้แก่นาฬิกาที่มีฟังก์ชันกลไกสองไทม์โซน ฉบับสองคือการแสดงผลตามไทม์โซนผ่านชุดเข็มหลักได้ตามต้องการ ฉบับสามคือนาฬิกาที่มีระบบเฟืองความจำที่สามารถปรับตั้งและปรับตั้งใหม่ได้ในตัว และฉบับที่สี่คือกลไกการแสดงเวลาโดยใช้เข็มแบบ trailing hand

 อะไรที่ทำให้ Hora Mundi มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร?
นี่คือการสร้างประวัติศาสตร์ครั้งแรกในวงการนาฬิกา ที่กลไกสามารถสลับจากไทม์โซนหนึ่งไปสู่อีก ไทม์โซนหนึ่งได้ทันทีเพียงกดปุ่ม โดยไม่ทำให้กลไกการเดินของนาฬิกาหยุดชะงัก กลไกนี้สามารถควบคุมเวลา วันที่ (ผ่านระบบ follower calendar) และตัวบ่งชี้กลางวัน/กลางคืนได้พร้อมกัน ถือเป็นความสำเร็จที่ผสานความเรียบง่าย ความแม่นยำ และความงามเหนือกาลเวลา เข้าไว้ด้วยกัน

ในอดีต Breguet เคยนำเสนอ Hora Mundi ที่ตกแต่งด้วยแผนที่โลกซึ่งเน้นทวีปต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป เอเชีย หรืออเมริกาสำหรับรุ่นใหม่นี้จะมีด้วยหรือไม่?
สำหรับครั้งนี้ เราเลือกนำเสนอเพียงรูปแบบเดียว โดยมีทวีปยุโรปเป็นศูนย์กลาง เพื่อสื่อถึงต้นกำเนิดของเรา และยังเป็นภาพแผนที่โลกที่คลาสสิกและคุ้นตากันที่สุด

ชื่อ “Hora Mundi” มีที่มาจากอะไร?
ชื่อ Hora Mundi ตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990 เมื่อเราต้องการตั้งชื่อใหม่ให้กับนาฬิการุ่นที่สามารถแสดงเวลาได้สองไทม์โซน เราอยากจะใช้ชื่ออื่น ที่ไม่ใช้ชื่อที่ใช้ทั่ว ๆ ไปอย่าง GMT หรือ World Time จึงเลือกใช้ภาษาละตินที่แปลว่า “World Time” ตั้งแต่นั้นมา Hora Mundi ก็ได้กลายเป็นชื่อที่ผูกพันกับ Breguet อย่างมาก และในปัจจุบันยังใช้เรียกนาฬิกาที่มีฟังก์ชัน dual time zone พร้อมหน่วยความจำและความสามารถในการเปลี่ยนไทม์โซนได้ในทันที

เหตุใดจึงเลือกเปิดตัวรุ่นนี้ที่ลอนดอน?
ในเชิงประวัติศาสตร์ อังกฤษถือเป็นตลาดสำคัญสำหรับ Breguet มาโดยตลอด  และเป็นสถานที่ที่บริษัทได้สร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในช่วงแรก ๆ ดังนั้น แน่นอนว่าลอนดอนต้องอยู่ในเวิลด์ทัวร์ 2025 อย่างแน่นอน อีกทั้งลอนดอนยังเหมาะสมอย่างยิ่งในการเปิดตัวเรือนเวลาที่อุทิศให้กับนักเดินทาง เพราะตั้งอยู่ใกล้กับกรีนิช ซึ่งเป็นจุดเส้นเมอริเดียนศูนย์ หรือจุดเริ่มต้นของเวลามาตรฐานโลก (World Time) การนำเสนอผลงานชิ้นนี้ที่เมืองแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนการยกย่องประวัติศาสตร์ของสิ่งที่เชื่อมโยงโลกทั้งใบเข้าไว้ด้วยกัน

ต้นกำเนิดนาฬิกา Hora Mundi ในเชิงประวัติศาสตร์มีที่มาที่ไปอย่างไร?
ตลอดชีวิตของ A.-L. Breguet (อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์) เขาได้ผสานอัจฉริยภาพด้านการประดิษฐ์นาฬิกาของ  ตนเข้ากับความปรารถนาที่จะเผยแพร่ผลงานสู่ทั่วโลก บริษัทของเขาก่อตั้งขึ้นที่ปารีส และได้ขยายสู่ประเทศอื่นๆนอกฝรั่งเศสอย่างรวดเร็ว แม้ก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศส Breguet ก็ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างชื่อเสียงในระดับนานาชาติ หลังยุคนโปเลียน เขาได้พัฒนาเครือข่ายการค้าต่างประเทศ โดยอาศัยเครือข่ายเพื่อนผู้มีวิสัยทัศน์และตัวแทนจำหน่ายที่ไว้วางใจได้ เรือนเวลาของเขาจึงได้รับความนิยมจากผู้ชื่นชอบนาฬิกาในอังกฤษ สเปน รัสเซีย รวมถึงโปแลนด์ เยอรมนี อิตาลี ตุรกี และไกลออกไปถึงสหรัฐอเมริกาด้วยจิตวิญญาณแห่งการเดินทางและการเปิดกว้างนี้เอง Breguet จึงได้สร้างสรรค์ Hora Mundi ขึ้นมา

ความแตกต่างระหว่างนาฬิกา GMT และนาฬิกา Dual Time Zone คืออะไร?
นาฬิกา GMT ช่วยให้อ่านค่าเวลาในท้องถิ่นและเวลาอ้างอิงได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย มักใช้เข็มเฉพาะสำหรับ GMT ส่วน Dual Time Zone ก้าวไปไกลกว่านั้น โดยสามารถแสดงผลสองไทม์โซนได้พร้อมกัน โดยอาศัยสถาปัตยกรรมเชิงกลไกที่ซับซ้อนยิ่งกว่า




ความสัมพันธ์ระหว่าง Breguet และอังกฤษมีความหมายเชิงสัญลักษณ์อย่างไร?
ความสัมพันธ์ระหว่าง Breguet และอังกฤษเริ่มต้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 โดยในปี 1785 แบรนด์เป็นที่ชื่นชอบของราชสำนักอังกฤษและเหล่าชนชั้นสูง รวมถึงพระเจ้าจอร์จที่สาม และพระราชโอรส ซึ่งต่อมาคือพระเจ้าจอร์จที่สี่ นอกจากนี้ Breguet ยังมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับ John Arnold (จอห์น อาร์โนลด์)  ช่างทำนาฬิกาชื่อดังชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นมิตรภาพที่เกิดจากจากการแลกเปลี่ยนความรู้ทางเทคนิคและนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมสำคัญหลายอย่าง

เมื่อกาลเวลาผ่านไป อังกฤษได้กลายเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญที่สุดของ Breguet โดยมีสัดส่วนสูงถึง 30% ของทั้งหมด ปัจจุบัน เรายังจะได้เห็นนาฬิกา Breguet เรือนประวัติศาสตร์หลายชิ้นในคอลเลกชันของราชวงศ์อังกฤษ ซึ่งสะท้อนถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นยาวนานอันเป็นเอกลักษณ์นี้กับประเทศศูนย์กลางแห่งเวลาโลก

Breguet และสายสัมพันธ์พิเศษกับอังกฤษ ที่มีมายาวนานกว่า 250 ปี
สายสัมพันธ์ระหว่าง Breguet และอังกฤษนั้นแนบแน่นทั้งในเชิงบุคคลและเชิงพาณิชย์ อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ ปรมาจารย์แห่งเรือนเวลาผู้นี้ได้สร้างชื่อเสียงอย่างเป็นทางการในอังกฤษตั้งแต่ปี ค.ศ. 1785 โดยเป็นผู้ผลิตนาฬิกาให้แก่พระเจ้าจอร์จที่สาม, เจ้าชายแห่งเวลส์, ดยุกแห่งยอร์ก รวมถึงสมาชิกชนชั้นสูงแห่งราชสำนักอังกฤษหลายพระองค์ (ดยุกแห่งเบดฟอร์ด, ดยุกแห่งนิวคาสเซิล, ดยุคแห่งเวลลิงตัน, และดยุคแห่งเคมบริดจ์ นักฟิสิกส์ชื่อดังเจมส์ วัตต์  และ เซอร์ จอร์จ คุก) รวมถึงผู้ที่ในอนาคตจะขึ้นเป็นพระเจ้าจอร์จที่สี่  ยังเป็นลูกค้าชาวอังกฤษที่เก่าแก่ที่สุดของเวิร์กช็อปที่ปารีสอีกด้วย

Breguet ยังเคารพในตัว John Arnold (จอห์น อาร์โนลด์) (1736–1799) อย่างมาก เพื่อนและผู้ร่วมวิชาชีพทั้งสองได้แลกเปลี่ยนความรู้ด้านศาสตร์แห่งการประดิษฐ์นาฬิกาในเชิงลึก ซึ่งเชื่อกันว่าได้จุดประกายให้อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ คิดค้นนาฬิกา Perpetual (นาฬิการะบบปฏิทินถาวร) ที่เขาเฝ้าครุ่นคิดมาเป็นเวลานานหลายปี  อาร์โนลด์ถึงกับส่งบุตรชายตนเองไปฝึกงานกับ Breguet เป็นเวลาร่วม 2 ปี และหลุยส์ บุตรชายของอับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ ก็ยังได้เดินทางไปอังกฤษเพื่อฝึกปรือฝีมือด้านการประดิษฐ์นาฬิกาเช่นกัน

Breguet เดินทางไปอังกฤษหลายครั้ง รวมถึงสามครั้งติดต่อกันในช่วงปี 1789, 1790 และ 1791 ระหว่างการเดินทางครั้งหลังสุด เขาเผชิญอุปสรรคทางการเมืองและด้านการขนส่งชิ้นส่วนจนถึงขั้นพิจารณาจะเปิดกิจการที่ลอนดอน แม้ท้ายที่สุดใบอนุญาตที่ยื่นขอจะไม่ได้รับการอนุมัติ แต่เวิร์กช็อปในปารีสยังคงให้บริการซ่อมบำรุงชิ้นส่วนนาฬิกาของอังกฤษจำนวนมาก รวมถึงเรือนเวลาของ John Arnold เพื่อนสนิทของเขาด้วย

จนถึงปี 1792 Breguet มีเครือข่ายผู้ค้าปลีกในอังกฤษอย่างเป็นระบบ หลังจากนั้น ด้วยความรู้ที่เขามีและความสัมพันธ์โดยตรงช่วยให้เขายังคงดำเนินธุรกิจจากระยะไกลได้ เมื่อจักรวรรดิล่มสลาย เขาก็กลับมาค้าขายกับอังกฤษอย่างจริงจังอีกครั้ง ผ่านตัวแทนช่างนาฬิกาในท้องถิ่นอย่าง Recordon และ Dumergue ในช่วงรุ่งเรืองที่สุด อังกฤษมีสัดส่วนการนำเข้าเรือนเวลาจาก Breguet สูงถึง 30% ของการผลิตต่อปี และเมื่อเขาเสียชีวิตลงในปี 1823 ตลาดอังกฤษก็ยังคงมีเสถียรภาพ ด้วยยอดขายเฉลี่ยปีละ 22 เรือน หรือราว 15% ของยอดขายทั้งหมดของบริษัท

เรือนเวลา Breguet อันทรงเกียรติหลายเรือนยังคงเป็นส่วนหนึ่งของมรดกการประดิษฐ์นาฬิกาของอังกฤษ เช่น Pendule Sympathique n°666 และนาฬิกา 721/507 ซึ่งยังคงได้รับการเก็บรักษาไว้ในคอลเลกชันของสมเด็จพระราชินีนาถ ณ พระราชวังบักกิงแฮม

เกี่ยวกับ Montres Breguet
ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1775 โดย อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ บริษัท Breguet สร้างชื่อเสียงจากนวัตกรรมและความเชี่ยวชาญด้านการประดิษฐ์นาฬิกา ด้วยการคิดค้นกลไก Tourbillon (ทูร์บิญง) และนาฬิกาข้อมือเรือนแรกของโลก Breguet ได้ฝากร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์แห่งเวลาผ่านผลงานที่ผสานความเที่ยงตรงเข้ากับความงดงามอย่างไร้กาลเวลา

ตลอด 250 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้สืบสานมรดกนี้อย่างมั่นคง ด้วยการผสมผสานระหว่างขนบธรรมเนียมและนวัตกรรม ปีนี้ถือเป็นวาระครบรอบ 250 ปี หรือหนึ่งในสี่ของสหัสวรรษแห่งความเป็นเลิศ ซึ่ง Breguet ได้ใช้โอกาสนี้เพื่อนำเสนอทั้งประวัติศาสตร์อันทรงเกียรติ พร้อมเดินหน้าสร้างสรรค์อนาคตแห่งศิลปะแห่งการประดิษฐ์นาฬิกา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้