AUDEMARS PIGUET Royal Oak JUMBO RD#5

Last updated: 3 ต.ค. 2568  |  224 จำนวนผู้เข้าชม  | 

AUDEMARS PIGUET Royal Oak JUMBO RD#5

Audemars Piguet แบรนด์เครื่องบอกเวลาชั้นสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ฉลองวาระครบรอบ 150 ปีด้วยการนำเสนอนาฬิการุ่น Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin Selfwinding Flying Tourbillon Chronograph RD#5 นวัตกรรมล่าสุดจากฝ่ายวิจัยและพัฒนาที่ผสานความล้ำสมัยทางเทคนิค ประสิทธิภาพ และดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ เข้ากับมาตรฐานใหม่แห่งการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ นับเป็นการเปิดศักราชใหม่แห่งประวัติศาสตร์ของนาฬิกาโครโนกราฟและวิวัฒนาการของกลไกที่ซับซ้อน ภายใต้ระยะเวลาการพัฒนาถึง 5 ปีเต็มของทีมงานจาก Audemars Piguet นาฬิกาเรือนพิเศษเรือนนี้บรรจุไว้ด้วยกลไกของคาลิเบอร์ 8100 ใหม่ล่าสุด ซึ่งกลไกภายในได้รับการปรับโฉมและจดสิทธิบัตรใหม่ทั้งหมด เพื่อตอบสนองความต้องการของนักสะสมผู้เปี่ยมด้วยรสนิยม ทุกรายละเอียดล้วนรังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ พร้อมมอบความว่องไวต่อการสัมผัสปุ่มกดของนาฬิกาโครโนกราฟเรือนนี้ นาฬิการุ่น RD#5 ยังโดดเด่นด้วยตัวนับนาทีแบบ instant jump ที่หาได้ยากยิ่ง ควบคู่ไปกับตัวนับชั่วโมง และเป็นครั้งแรกในคอลเลกชัน Royal Oak ที่ผสานกลไก ฟลายแบ็กโครโนกราฟเข้ากับกลไก flying tourbillon นาฬิการุ่นพิเศษซึ่งผลิตจำนวนจำกัดเพียง 150 เรือนนี้ รังสรรค์ขึ้นจากไทเทเนียมและกระจกเมทัลลิกบีเอ็มจี (Bulk Metallic Glass) ซึ่งมอบสมดุลของน้ำหนักที่เบา ทนทาน และ แวววาวอย่างลงตัว

RD#5 ได้รับการออกแบบมาโดยคำนึงถึงความสง่างามในเชิงกลไกและความเรียบง่ายทว่าประณีต ผสมผสานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ระดับไอคอนของนาฬิการุ่น Royal Oak “Jumbo” เข้ากับความซับซ้อนทางเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูงได้อย่างลงตัว © ภาพลิขสิทธิ์จากโอเดอมาร์ ปิเกต์

“JUMBO” ดีไซน์ระดับไอคอน
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 50 ปีที่นาฬิการุ่น Royal Oak “Jumbo” มาพร้ อมกับระบบโครโนกราฟอัตโนมัติและกลไก flying tourbillon ซึ่งเป็นกลไกคู่ขนานที่สร้างความท้าทาย ครั้งใหญ่ให้กับทีมงานของ Audemars Piguet โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงสัดส่วนอันเป็นเอกลักษณ์ของนาฬิกาเรือนนี้

นาฬิกา Royal Oak รุ่นดั้งเดิมซึ่งเปิดตัวในปี 1972 และ ออกแบบโดยเจอรัลด์ เกนตา (Gérald Genta) ได้รับฉายา ว่า “Jumbo” ด้วยสัดส่วนที่โดดเด่นและถือว่ามีขนาดใหญ่ แบบโอเวอร์ ไซส์ สำหรับยุคนั้น ปัจจุบันนอกจาก Royal Oak จะเป็นที่ต้องการของนักสะสมอย่างมากแล้ว นาฬิการุ่นนี้ยังเป็นนาฬิกาที่ออกแบบโดยผสานกับหลักสรีรศาสตร์ ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยหน้าปัดเส้นผ่านศูนย์กลาง 39 มิลลิเมตร และ ความหนา 8.1 มิลลิเมตร คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ Royal Oak เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาครั้งใหม่นี้ซึ่งมีดีไซน์เป็นหัวใจหลัก และกลไกต่าง ๆ ต้องพร้อมที่จะตอบรับกับดีไซน์นี้

ทั้งนี้ ด้วยเป้าหมายในการมอบความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ และการยึดมั่นในหลักสุนทรียศาสตร์ของนาฬิการุ่นนี้นี่เอง ที่ทำให้ทีมวิจัยและพัฒนาของ Audemars Piguet ออกแบบ โครงสร้างของกลไกโครโนกราฟขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อมอบสัมผัสสุดประณีตและเหนือชั้นพร้อมลดความหนาของกลไกให้เหลือน้อยที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้คือเรือนเวลาที่ผสมผสานระหว่างความซับซ้อนทางเทคนิค ความสะดวกในการใช้งาน และความเรียบง่ายของรูปลักษณ์ที่ได้รับการยกระดับขึ้นอีกขั้น

“Audemars Piguet เผชิญกับความท้าทายมาโดยตลอดสำหรับนวัตกรรมล่าสุดอย่าง RD#5 นั้น มีจุดมุ่งหมายในการสร้างสรรค์นาฬิกาเรือนนี้คือการมอบนาฬิกาที่มีกลไกอันซับซ้อนทว่าสวมใส่ได้สะดวกสบายและใช้งานง่ายให้กับผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกา เพราะในที่สุดแล้ว เราต้องการสร้างนาฬิกาที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ยุคปัจจุบันพร้อมยกย่องความเรียบง่ายทางสุนทรียศาสตร์ที่สืบทอดต่อกันมาของ “Jumbo” รุ่นดั้งเดิม ผลงานอันยอดเยี่ยมที่ทีมงานของเราร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของทั้งทีมซึ่งหล่อหลอมแบรนด์ของเรามาตลอดระยะเวลา 150 ปีเต็ม”
อิลาเรีย เรสตา (Ilaria Resta)
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Audemars Piguet กล่าว

ตรงตามหลักสรีรศาสตร์ด้วยแรงกดแค่ปลายนิ้ว
ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการสร้างเรือนเวลารุ่น #RD5 เกิดขึ้นจากความปรารถนาที่จะสร้างนาฬิกาโครโนกราฟที่มอบความสะดวกสบายเหนือระดับ พัฒนาการของนาฬิกาเรือนนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการศึกษาหลักสรีรศาสตร์อย่างครอบคลุม ทั้งในเรื่องกลไก ตัวเรือน และดีไซน์ เพื่อทำความเข้าใจความคาดหวังของผู้ใช้และสร้างสรรค์โซลูชันที่ ตอบรับความต้องการเหล่านี้ให้ดีที่สุดแนวทางการทำงานที่สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของแบรนด์ในด้านนวัตกรรมนี้ ส่งสัญญาณบ่งบอกถึงแนวทางใหม่ในการตอบรับทั้งในเรื่องประสบการณ์ของลูกค้าและแนวคิดในการสร้างสรรค์ เรือนเวลาที่มาพร้อมกลไกอันซับซ้อน

นวัตกรรมแรกอยู่ที่ปุ่มกดซึ่งขนาบข้างเม็ดมะยมในตำแหน่ง 3 นาฬิกา ในนาฬิกาโครโนกราฟยุคใหม่ ปุ่มกดเหล่านี้มักต้องใช้แรงกดมากในการกด “ระยะการกด ซึ่งคือระยะที่ต้องกด มักจะอยู่ที่ 1 มิลลิเมตรหรือมากกว่า และต้องใช้แรงกดประมาณ 1.5 กิโลกรัม” จูลิโอ ปาปี ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบนาฬิกา อธิบายพร้อมกล่าวต่อว่า “เป้าหมายของเราคือการลดค่าเหล่านี้ลงเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า เราได้แรงบันดาลใจจากปุ่มบนสมาร์ทโฟน ซึ่งโดยทั่วไปจะมีระยะการกด 0.3 มิลลิเมตร และใช้แรงกดเพียง 300 กรัม”

แนวคิดเรื่องความสบายในการสัมผัสของปุ่มกดโครโนกราฟมีอยู่แล้วในนาฬิการุ่นต่าง ๆ ในช่วงทศวรรษ 1950 และ 1960 แม้ว่าจะต้องอาศัยการปรับแต่งอย่างพิถีพิถันจากช่างนาฬิกาก็ตาม ทว่าการมาถึงของซีลกันน้ำและการเติบโตของอุตสาหกรรมนาฬิกาในช่วงทศวรรษ 1970 ทำให้แรงที่ใช้ในการเปิดใช้งานผ่านปุ่มกดโครโนกราฟเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันนวัตกรรมของ Audemars Piguet ในด้านนี้ ช่วยมอบประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า

นอกจากนี้ RD#5 ยังมีเม็ดมะยมพร้อมตัวเลือกฟังก์ชันที่ผสานปุ่มกดเข้ากับตัวบ่งชี้สำหรับ 2 ตำแหน่ง ได้แก่ การไขลานและการตั้งเวลา ระบบการเลือกที่ใช้งานง่ายและเปี่ยมด้วยความรอบคอบนี้ เข้ามาแทนที่เม็ดมะยมแบบดั้งเดิมที่ สืบทอดมาจากนาฬิกาพก ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาสุนทรียศาสตร์ดั้งเดิมของความเป็นนาฬิกา Royal Oak เอาไว้

สุดท้าย เพื่อคงไว้ซึ่งความประณีตของรุ่น “Jumbo” พร้อมกับรองรับกลไกแบบคู่ วิศวกรของ Audemars Piguet จึงเลือกใช้กระจกแซฟไฟร์ หรือที่เรียกว่า “กล่องแก้ว” (glass box) บนหน้าปัดและฝาหลัง แม้ว่าด้านนอกจะแบนราบ แต่ภายในถูกฉลุให้มีช่องว่างเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับการหมุนของเข็มนาฬิกา รวมถึงกลไกและ oscillating weight

ปุ่มกดด้านข้างเม็ดมะยมของนาฬิการุ่น RD#5 มอบสัมผัสแสนสบายด้วยแรงบันดาลใจจากการออกแบบสมาร์ทโฟนด้วยหลักสรีรศาสตร์ © ภาพลิขสิทธิ์จาก Audemars Piguet

“ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมนี้ Audemars Piguet ได้ตีความนาฬิกาโครโนกราฟครั้งใหม่เพื่อยกระดับความสะดวกในการใช้งานให้เพิ่มมากขึ้น RD#5 สามารถกักเก็บพลังงานไว้ได้เมื่อเปิดใช้งานโครโนกราฟและปล่อยพลังงานออกมาเมื่อรีเซ็ต จึงนับเป็นครั้งแรกที่ปุ่มกดมีระยะการกดสั้นและใช้แรงกดต่ำมอบความนุ่มนวลและความสะดวกสบายที่เหนือชั้นและเพราะเราอยากได้ความรู้สึกที่เทียบเท่ากับการกดหน้าจอสมาร์ทโฟนเราจึงจำเป็นต้องคิดทบทวนการออกแบบฟังก์ชันโครโนกราฟใหม่ทั้งหมด”
ลูคัส แรกกี (Lucas Raggi)
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายอุตสาหกรรม Audemars Piguet กล่าว

คาลิเบอร์ 8100ขุมพลังโครโนกราฟใหม่
กว่า 150 ปีที่นาฬิกาโครโนกราฟได้พัฒนาทั้งรูปลักษณ์และฟังก์ชันการทำงาน แต่กลไกการรีเซ็ตหลัก ซึ่งพัฒนาจากกลไกค้อนและหัวใจแบบดั้งเดิม ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ทว่าสำหรับคาลิเบอร์ 8100 ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในรุ่น RD#5 Audemars Piguet ได้นำระบบการรีเซ็ตไปที่ตำแหน่งศูนย์มาปรับโฉมใหม่ทั้งหมด พร้อมทั้งแนะนำระบบ ฟลายแบ็กโครโนกราฟในตัวที่ออกแบบมาให้สอดคล้องกับหลักสรีรศาสตร์มากขึ้น ใช้งานง่ายขึ้น และแม่นยำยิ่งขึ้น

คาลิเบอร์ 8100 ได้รับการออกแบบมาภายใต้มาตรฐานทางวิศวกรรมระดับสูงสุด ด้วยเป้าหมายในการสร้างกลไกที่ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องดีไซน์และหลักสรีรศาสตร์ และสามารถประกอบเข้ากับตัวเรือน “Jumbo” ได้อย่างลงตัว พร้อมหน้าปัดย่อยเพื่อการจับเวลาแบบสมมาตรขนาดใหญ่ที่ตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกา เพื่อการบอกเวลาที่ดีที่สุด

วิศวกรภายในของ Audemars Piguet ได้พัฒนากลไกใหม่ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรแล้ว ซึ่งใช้พลังงานจากทั้งกลไกและปุ่มกดที่มีระยะการกดสั้นและใช้แรงกดต่ำนวัตกรรมนี้ใช้กลไกแบบแร็คแอนด์พีเนียน (rack and pinion) ซึ่งออกแบบมาเพื่อแทนที่กลไกหัวใจและค้อนแบบเดิม การกักเก็บพลังงานไว้ในรางฟันเฟือง (rack) ช่วยให้ชุดเฟืองหลัก (gear train) อยู่ในสภาพตึงตลอดเวลา และป้องกันไม่ให้เข็มโครโนกราฟสั่นหรือกระตุก ทั้งยังช่วยตัดความจำเป็นในการใช้สปริงเสียดทาน (friction spring) ซึ่งพบได้ในโครโนกราฟสมัยใหม่สำหรับการทำหน้าที่เป็นแรงต้านคงที่ทั้งในระหว่างการทำงานและขณะรีเซ็ต ผลลัพธ์ที่ได้คือการใช้พลังงานในระดับที่ใกล้เคียงกัน แต่พลังงานนั้นจะถูกเก็บสะสมไว้แทนที่จะถูกกระจายและสูญเสียไปโดยไม่เกิดประโยชน์

คาลิเบอร์ 8100 ที่มาพร้อม oscillating weight แพลตินัม เผยให้เห็นความงดงามของกลไกที่ดูโดดเด่นด้วยรายละเอียดของการตกแต่งขั้นสุดท้ายสุดประณีต ทั้งการตัดมุมเอียงด้วยมือและงานขัดแบบซาติน © ภาพลิขสิทธิ์จาก Audemars Piguet

ความท้าทายอีกประการหนึ่งของโครโนกราฟแบบดั้งเดิม คือพลังงานที่ใช้ในการรีเซ็ตเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ทีมงานจึงพยายามพัฒนาโซลูชันที่จะช่วยให้การรีเซ็ตทำได้ราบรื่นยิ่งขึ้นพร้อมทั้งลดแรงเฉื่อย พลังงานที่กักเก็บไว้ในรางฟันเฟือง สามารถถูกปล่อยออกมาเพื่อนำเข็ มโครโนกราฟกลับสู่ตำแหน่งศูนย์ในการเคลื่อนที่แบบย้อนกลับ การใช้ส่วนประกอบของไทเทเนียม ทั้งในส่วนของเข็มและวงล้อโครโนกราฟ ทำให้การรีเซ็ตทำได้ทันทีโดยใช้พลังงานน้อยที่สุด “ลองนึกภาพ โครโนกราฟแบบดั้งเดิมให้เหมือนกับรถยนต์ที่ขับโดยที่เบรกมือทำงานอยู่ ทว่าสำหรับคาลิเบอร์ 8100 เบรกมือได้ถูกถอดออก และตอนนี้รถจะถูกมัดติดกับยางยืดเมื่อออกจากโรงรถ ยางยืดนี้จะถูกใช้เพื่อนำรถกลับเข้าโรงรถ และพลังงานที่เคยสูญเสียไปเนื่องจากแรงเสียดทานของเบรกมือจะถูกเก็บไว้ ในยางยืด” จูลิโอ ปาปี กล่าวและเสริมว่า “เมื่อรีเซ็ตกลไกโครโนกราฟ พลังงานที่เก็บไว้จะถูกปล่อยออกมา และเข็มจะกลับสู่ตำแหน่งเดิมภายในเวลาไม่ถึง 0.15 วิ นาที ได้มีการศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของเข็มนาฬิกา ทั้งนี้เพื่อให้การรีเซ็ตแทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ในขณะที่เข็มนาทีกระโดดอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นักสะสมต่างปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง”


คาลิเบอร์ 8100 รุ่นใหม่นี้ไม่เพียงมาพร้อมกลไก flying tourbillon เท่านั้น แต่ยังมาพร้อมระบบคลัตช์แนวตั้งที่เป็นนวัตกรรมล่าสุด ดีไซน์นี้ผสมผสานคลัตช์แบบดั้งเดิมและคลัตช์แบบเสียดทานเข้าด้วยกัน ช่วยให้คลัตช์สามารถเคลื่อนที่ในแนวตั้งได้ และช่วยลดการหมุนที่ไม่จำเป็นและจำกัดการกระโดด คาลิเบอร์ นี้ยังมาพร้อมกับ column wheel ที่ช่วยให้ฟังก์ชันเริ่มและหยุดทำงานได้อย่างราบรื่น สำหรับการรีเซ็ตระบบที่ได้รับการจดสิทธิบัตรแล้วนี้จะเก็บพลังงานไว้จนถึงจุดเปลี่ยนแล้วปล่อยพลังงานทั้งหมดออกมาในคราวเดียว ทำให้เข็มนาฬิกากลับสู่ตำแหน่งศูนย์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทางด้านหลังของนาฬิกาทีมงานของ Audemars Piguet ยังได้พัฒนา oscillating weight ที่ทำจากแพลทินัม เพื่อลดความหนาและทำให้มองเห็นรายละเอียดอันประณีตของกลไกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริดจ์โครโนกราฟที่เจียระไนด้วยมือ มุมเข้าด้านในที่เฉียบคม และผิวสัมผัสที่ผ่านการขัดแบบ ซาติน ด้วยคุณสมบัติในการ กักเก็บพลังงานสำรอง 72 ชั่วโมง กลไกโครโนกราฟที่ทนทานรุ่นนี้จึงสามารถปรับให้เข้ากับไลฟ์ สไตล์สมัยใหม่ได้อย่างง่ายดายลงตัวไม่ว่าจะใส่ไปทำกิจกรรมกีฬาต่าง ๆ ก็ยังปลอดความเสี่ยงต่อการสูญเสียการควบคุม

5 เจเนอเรชันของ นวัตกรรมเรือนเวลา
นาฬิกา Royal Oak ‘Jumbo’ Extra-Thin Flying Tourbillon Chronograph RD#5 ซึ่งรังสรรค์ขึ้นบนพื้นฐานของนวัตกรรม หลากหลายเจเนอเรชันในแผนกวิจัยและพัฒนาของ Audemars Piguet ยังผนวกรวมเทคโนโลยี flying tourbillon แอมพลิจูดสูง ซึ่งเปิดตัวออกมาในรุ่น RD#3 ในปี 2022 ไว้ด้วยกลไก flying tourbillon อัตโนมัตินี้ผ่านการออกแบบใหม่ทั้งหมดเพื่อลดความหนาลงแต่ยังคงสัดส่วนเดิมไว้ โดยทีมงานของ Audemars Piguet ได้ปรับเปลี่ยนตำแหน่งชิ้นส่วนและสร้างเอสเคปเมนต์ใหม่ที่ขับเคลื่อนกรงไทเทเนียมรอบนอก เพิ่มประสิทธิภาพการกระจายพลังงานทำให้มีน้ำหนักเบาและบางลง ระบบเอสเคปเมนต์ใหม่นี้ทำงานร่วมกับ oscillator ที่ทนทานต่อแอมพลิจูดสูงกว่าเอสเคปเมนต์ทั่วไป ช่วยลดผลกระทบจากแรงสะท้อนกลับ และเพิ่มความน่าเชื่อถือการจัดการพลังงาน และความแม่นยำการสร้างสรรค์นวัตกรรมนี้ขึ้น นับว่า Audemars Piguet ได้ผสานความสำเร็จทางเทคนิคเข้ากับกลไกโครโนกราฟที่บางเฉียบรุ่นใหม่ จนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นกลไกคู่ที่ไม่เคยมีมาก่อน

นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2015 ซีรีส์นาฬิการุ่น RD ได้นำเสนอโซลูชันเชิงโครงสร้างสำหรับความท้าทายที่มีมาอย่างยาวนาน ของอุตสาหกรรมการสร้างสรรค์เรือนเวลาชั้นสูงอย่างต่อเนื่องรุ่น RD#1 สร้างมาตรฐานใหม่ด้านเสียง ส่วนรุ่น RD#2 ในปี 2018 ได้คิดค้นระบบปฏิทินถาวรแบบบางเฉียบขึ้นใหม่ด้วย การรวมส่วนประกอบต่าง ๆ ไว้ในระนาบเดียว ในปี 2022 รุ่น RD#3 ได้เปิดตัวกลไก flying tourbillon แบบบางเฉียบ ซึ่งเป็นพื้นฐานของรุ่น Code 11.59 by Audemars Piguet Ultra-Complication Universelle ส่วนรุ่นRD#4 เป็นนาฬิกาข้อมือที่มาพร้อมกลไกอันซับซ้อนที่สุดและออกแบบ ตามหลักสรีรศาสตร์ มากที่สุดเท่าที่ Audemars Piguet เคยสร้างสรรค์มา และในวันนี้กับรุ่นRD#5 Audemars Piguet ได้ปฏิวัติการออกแบบกลไกตามหลักสรีรศาสตร์ของนาฬิกาโครโนกราฟ ซึ่งเป็นกลไกที่แทบไม่มีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นมานานหลายทศวรรษ

“RD#5 ได้รับการคิดค้นใหม่ทั้งหมดเพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าโดยนำคุณลักษณะเด่นทั้งหมดของนาฬิกาโครโนกราฟมาไว้ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นปุ่มกดที่ไวต่อการสัมผัสรุ่นแรกของโลกตัวนับนาทีแบบกระโดดทันที (instantaneous jump) ความบางเฉียบสุดโดดเด่น รวมถึงการออกแบบอย่างพิถีพิถันตามหลักสรีรศาสตร์และการบอกเวลาที่ดีเยี่ยม”
จูลิโอ ปาปี (Giulio Papi)
ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบนาฬิกา Audemars Piguet กล่าว

น้ำหนักเบาทว่าแข็งแกร่ง
นอกจากความเพรียวบางแล้ว ทีมงานของ Audemars Piguet ยังเลือกสร้างสรรค์นาฬิกาเรือนนี้ด้วยวัสดุที่ล้ำหน้าทั้งในส่วนของตัวเรือนและสายนาฬิกา โดยผสานน้ำหนักเบาของไทเทเนียมเข้ากับความทนทานของกระจกเมทัลลิกบี เอ็มจี (Bulk Metallic Glass) สุดล้ำค่า

บีเอ็มจี ซึ่งถูกค้นพบในช่วงทศวรรษ 1960 เป็นโลหะผสมที่เมื่อ ถูกทำให้เย็นตัวลงอย่างรวดเร็วจะมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับ กระจก ทั้งในเรื่องความแข็งแรงสูงและโครงสร้างแบบอสัณฐาน บีเอ็มจี ซึ่งอยู่ในกรรมสิทธิ์ของ Audemars Piguet ประกอบขึ้นจาก แพลเลเดียมมากกว่า 50% จึงให้ความทนทานต่อการสึกหรอ และการกัดกร่อนอย่างเหนือชั้นพร้อมความแวววาวสะท้อนแสง ที่โดดเด่น วัสดุชนิดนี้ถูกเปิดตัวออกมาเป็นครั้งแรกในปี 2021 ในรุ่น Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin (ref. 15202XT) ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษสำหรับนาฬิกา Only Watch และถูกบรรจุไว้ ในคอลเลกชันในปี 2023

สำหรับรุ่นลิมิเต็ด เอดิชันนี้ ขอบตัวเรือน ปุ่มกด ปุ่มเลือกฟังก์ชัน เม็ดมะยม และหมุด ล้วนผลิตขึ้นจากบีเอ็มจี ก่อนผ่านการขัด เงากระจกเพื่อเผยความงดงามโดดเด่น ฝาหลังของตัวเรือน ผ่านการขัดแบบซาตินเป็นวงกลม ในขณะที่ตัวเรือนและส่วนเชื่อมสายนาฬิกาไทเทเนียม มาพร้อมรายละเอียดของการขัดเงาแบบซาตินและการขัดเงามุมเอียง จึงมอบรายละเอียดของการเล่นกับแสงที่น่าหลงใหล

หน้าปัดลาย Petite Tapisserie อันเป็นเอกลักษณ์ในรุ่นหน้าปัด สีน้ำเงิน “Bleu Nuit, Nuage 50” ตอกย้ำความงดงามประณีตของนาฬิกา โดดเด่นด้วยเครื่องหมายบอกหลักชั่วโมงทองคำเคลือบโรเดียมและเข็มนาฬิกาไวท์โกลด์ 18 กะรัตเคลือบวัสดุเรืองแสง หน้าปัดย่อยที่ตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกาใช้สีน้ำเงินโทนเดียวกัน พร้อมผิวสัมผัสที่ใช้เทคนิคการขัดลาย snailing ช่วยเพิ่มคุณสมบัติในการอ่านเวลาที่ง่ายขึ้น เข็มโครโนกราฟทำจากไทเทเนียมเพื่อให้มีน้ำหนักที่เบายิ่งขึ้น

และในวาระแห่งการฉลองครบรอบ 150 ปีของแบรนด์ หน้าปัดยังมาพร้อมโลโก้พิเศษของ Audemars Piguet ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากดีไซน์ในอดีต นอกจากนี้ ที่ฝาหลังยังสลักคำว่า “1 of 150 pieces” และ “150 Years” เพื่อเน้นย้ำความหายากของนาฬิกาและการผสมผสานระหว่างมรดกที่สืบสานและผลงานที่เป็นนวัตกรรมเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว

โครโนกราฟ:
กลไกที่แม่นยำ˝ˇและทรงพลัง
ความปรารถนาที่จะวัดและแบ่งส่วนเวลามีมาก่อนการผลิตนาฬิกาเสียอีก ทว่าการประดิษฐ์นาฬิกาโครโนกราฟอย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนั้นเป็นผลลัพธ์จากความชาญฉลาด และวิวัฒนาการทางกลไกที่สั่งสมมาหลายศตวรรษ ในปี 1776 ฌอง-มอยส์ ปูเซต์ (Jean-Moïse Pouzait) ช่างทำนาฬิกาจากเจนีวา ได้สร้างสรรค์นาฬิกาที่มีเข็มวินาทีซึ่งสามารถหยุด และรีสตาร์ใหม่ได้ในปี 1799 ที่ประเทศอังกฤษ ราล์ฟ กูต์ (Ralph Gout) ได้ผลิตนาฬิกานับก้าวที่ออกแบบมาเพื่อนับจำนวนก้าวของม้าในระหว่างการแข่งขัน ต่อมาในปี 1816 หลุยส์ มอยเนต์ (Louis Moinet) ได้นำเสนอตัวนับเวลาแบบ tierce ที่มีฟังก์ชันเริ่มหยุด และรีเซ็ตจากนั้นอีก 5 ปีต่อมา ในปี 1821 นิโกลัส-มาติเยอรี อูสเซค (Nicolas-Mathieu Rieussec) ช่างทำนาฬิกาชาวฝรั่งเศสได้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่เขียนเวลาด้วยหมึกที่วัดช่วงเวลาบนหน้าปัดหมุนได้ จึงเป็นที่มาของคำว่า “โครโนกราฟ” ซึ่งมาจากคำว่า chronos (เวลา) และ graph (การเขียน) ในภาษากรีก

นาฬิกาโครโนกราฟสมัยใหม่เรื อนแรกถือกำเนิดขึ้นในปี 1862 เมื่อ Nicole & Capt. ซึ่งตั้งอยู่ในวัลเลย์ เดอ ฌูซ์ และลอนดอน ได้เปิดตัวนาฬิกาพกพาที่สามารถแสดงเวลาท้องถิ่นและจับเวลาที่ผ่านไปด้วยเข็มนาฬิกาอิสระที่ควบคุมด้วยปุ่มกดสำหรับการเริ่มต้น หยุด และรีเซ็ต เมื่อสังคมพัฒนาและความต้องการด้านประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นตามยุคอุตสาหกรรมและความเป็นประชาธิปไตยของการแข่งกีฬา นาฬิกาโครโนกราฟก็ได้รับความ นิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี 1913 แบรนด์ Longines ได้เปิดตัวนาฬิกาข้อมือโครโนกราฟเรือนแรกที่ ออกแบบมาสำหรับนักบินในภารกิจทางอากาศนับจากนั้นเป็นต้นมา นาฬิกาโครโนกราฟก็ได้พัฒนาจากการเป็นเครื่องมือวัดประสิทธิภาพไปสู่สัญลักษณ์แห่งสไตล์และความล้ำสมัยทางเทคนิค

Audemars Piguet เปิดตัวนาฬิกาข้อมือโครโนกราฟเรือนแรกใน ช่วงทศวรรษ 1930 นาฬิการุ่นนี้ผลิตในจำนวนจำกัดมาก โดย มีเพียง 307 เรือนก่อนปี 1980 และกลายเป็นนาฬิกากลุ่มที่หายากที่สุดในโลก ในเวลานั้นนาฬิกาที่ผลิตโดย Audemars Piguet เหล่านี้ถือเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยแนวคิดเรื่องโมเดลมาตรฐานเพิ่งจะมีออกมาครั้งแรกใน ช่วงทศวรรษ 1950 เท่านั้น

โครโนกราฟ:
กลไกที่แม่นยำและทรงพลัง
ความปรารถนาที่จะวัดและแบ่งส่วนเวลามีมาก่อนการผลิตนาฬิกาเสียอีก ทว่าการประดิษฐ์นาฬิกาโครโนกราฟอย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนั้น เป็นผลลัพธ์จากความชาญฉลาด และวิวัฒนาการทางกลไกที่สั่งสมมาหลายศตวรรษ ในปี 1776 ฌอง-มอยส์ ปูเซต์ (Jean-Moïse Pouzait) ช่างทำนาฬิกาจากเจนีวา ได้สร้างสรรค์นาฬิกาที่มีเข็มวินาทีซึ่งสามารถหยุด และรีสตาร์ทใหม่ได้ ในปี 1799 ที่ประเทศอังกฤษ ราล์ฟ กูต์ (Ralph Gout) ได้ผลิตนาฬิกานับก้าวที่ออกแบบมาเพื่อนับจำนวนก้าวของม้าในระหว่างการแข่งขันต่อมาในปี 1816 หลุยส์ มอยเนต์ (Louis Moinet) ได้นำเสนอตัวนับเวลาแบบ tierce ที่มีฟังก์ชันเริ่มหยุด และรีเซ็ตจากนั้นอีก 5 ปี ต่อมา ในปี 1821 นิโกลัส-มาติเยอรี อูสเซค (Nicolas-Mathieu Rieussec) ช่างทำนาฬิกาชาวฝรั่งเศสได้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่เขียนเวลาด้วยหมึกที่วัดช่วงเวลาบนหน้าปัดหมุนได้ จึงเป็นที่มาของคำ “ว่าโครโนกราฟ” ซึ่งมาจากคำว่า chronos (เวลา) และ graph (การเขียน) ในภาษากรีก

นาฬิกาโครโนกราฟสมัยใหม่เรือนแรกถือกำเนิดขึ้นในปี 1862 เมื่อ Nicole & Capt. ซึ่งตั้งอยู่ในวัลเลย์ เดอ ฌูซ์ และลอนดอน ได้เปิดตัวนาฬิกาพกพาที่สามารถแสดงเวลาท้องถิ่นและจับเวลาที่ ผ่านไปด้วยเข็มนาฬิกาอิสระที่ ควบคุมด้วยปุ่มกดสำหรับการเริ่มต้นหยุด และรีเซ็ต เมื่อสังคมพัฒนาและความต้องการด้านประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นตามยุคอุตสาหกรรมและความเป็น ประชาธิปไตยของการแข่งกีฬา นาฬิกาโครโนกราฟก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี 1913 แบรนด์ Longines ได้เปิดตัวนาฬิกาข้อมือโครโนกราฟเรือนแรกที่ออกแบบมาสำหรับนักบินในภารกิจทางอากาศ นับจากนั้นเป็นต้นมานาฬิกาโครโนกราฟก็ได้ พัฒนาจากการเป็นเครื่องมือวัดประสิทธิภาพ ไปสู่สัญลักษณ์แห่งสไตล์และความล้ำสมัยทางเทคนิค

Audemars Piguet เปิดตัวนาฬิกาข้อมือโครโนกราฟเรือนแรกใน ช่วงทศวรรษ 1930 นาฬิการุ่นนี้ผลิตในจำนวนจำกัดมาก โดยมีเพียง 307 เรือนก่อนปี 1980 และกลายเป็นนาฬิกากลุ่มที่หายากที่สุดในโลก ในเวลานั้นนาฬิกาที่ผลิตโดย Audemars Piguet เหล่านี้ถือเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยแนวคิดเรื่องโมเดลมาตรฐานเพิ่งจะมีออกมาครั้งแรกใน ช่วงทศวรรษ 1950 เท่านั้น

Join the discussion       @Audemars Piguet

Follow us on        #AudemarsPiguet
Facebook             https://www.facebook.com/audemarspiguet
Instagram            https://www.instagram.com/audemarspiguet
Line:                       https://aplb.ch/Line
LinkedIn               https://www.linkedin.com/company/audemars-piguet
Pinterest              https://www.pinterest.com/audemarspiguet/
TikTok                   https://www.tiktok.com/@audemarspiguet
WeChat:               https://aplb.ch/WeChat
Weibo                   https://www.weibo.com/audemarspiguetchina
X                             https://www.x.com/AudemarsPiguet
Youku                   https://www.youku.com/profile/index/?uid=UNDMwNjcyODQ4
YouTube               https://www.youtube.com/c/audemarspiguet

About Audemars Piguet
Audemars Piguet แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องบอกเวลาชั้นสูงที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งยังคง ดําเนินธุรกิจสืบทอดกันในครอบครัวผู้ก่อตั้งมาจวบจนปัจจุบัน (ตระกูลโอเดอมาร์และตระกูลปิเกต์) นับตั้งแต่ปี 1875 Audemars Piguet ยังคงผลิตเครื่องบอกเวลาที่เมืองเลอ บราซูส์ (Le Brassus) โดยสืบสานฝีมือการทํางานของช่างผู้เชี่ยวชาญจากรุ่นสู่รุ่น พร้อมทั้งพัฒนาทักษะและเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อขยายขอบเขตความชํานาญที่มีอยู่เดิม พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถอันนําไปสู่การก้าวข้าม ขีดจํากัดที่เคยมีอย่างต่อเนื่อง Audemars Piguet ได้สร้างสรรค์เรือนเวลาหรูหราแห่งประวัติศาสตร์มากมาย ณ วัลเลย์ เดอ ฌูซ์ (Vallée de Joux) หนึ่งในต้นกําเนิดของศาสตร์การผลิตนาฬิกาข้อมือชั้นนําใจกลางสวิตเซอร์แลนด์ และสถานที่ซึ่งเผยให้เห็น เอกลักษณ์ความเชี่ยวชาญของคนรุ่นก่อนซึ่งสะท้อนจิตวิญญาณอันก้าวหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง Audemars Piguet พร้อมแบ่งปัน ความหลงใหลและความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์ผลงานให้กับผู้ที่รักเครื่องบอกเวลาทั่วโลกภายใต้ภาษาแห่งอารมณ์ ผ่านการ แลกเปลี่ยนคุณค่าที่หลากหลายในสายงานสร้างสรรค์ที่มีความแตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจออกไปยังผู้คนทั่วทุกมุมโลก The beat goes on. - www.audemarspiguet.com

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้