Last updated: 15 ต.ค. 2568 | 296 จำนวนผู้เข้าชม |
บางคนอาจไม่เคยรู้ว่า Czapek & Cie เป็นหนึ่งในแบรนด์นาฬิกาสวิสที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานมาก ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี 1845 โดย François Czapek ช่างทำนาฬิกาชาวโปแลนด์ผู้ลี้ภัยที่ร่วมมือกับ Antoine Norbert de Patek ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกทางกัน จากน้้น Czapek เดินหน้าสร้างชื่อให้กับแบรนด์ของเขาในกรุงเจนีวา จนได้รับเกียรติเป็นช่างนาฬิกาประจำราชสำนักของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ผลงานของเขามีชื่อเสียงในด้านความประณีต กลไกที่เชื่อถือได้ และสไตล์ที่งดงามเหนือกาลเวลา
แต่เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 แบรนด์ค่อย ๆ เลือนหายไปจากประวัติศาสตร์ จนกระทั่งในปี 2015 Czapek & Cie ได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งภายใต้การนำของ Xavier de Roquemaurel และทีมผู้หลงใหลในศาสตร์แห่งเวลาผู้ตัดสินใจคืนชีพชื่อเก่าแก่แห่งเจนีวานี้ ด้วยแนวคิด “We collect rare people” การเชื่อมโยงช่างฝีมืออิสระทั่วสวิสเซอร์แลนด์ให้มาร่วมสร้างสรรค์เรือนเวลาแห่งศตวรรษใหม่ที่ผสานความงามดั้งเดิมเข้ากับภาษาการออกแบบร่วมสมัยอย่างกลมกลืน
ในปี 2025 เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 10 ปีแห่งการฟื้นคืนชีพ Czapek & Cie ได้รังสรรค์ผลงานพิเศษขึ้นสี่เรือน และเรือนที่สองซึ่งเพิ่งเผยโฉมคือ Antarctique Plique-à-Jour นาฬิกาที่ถ่ายทอดบทสนทนาระหว่างศาสตร์เก่าและนวัตกรรมใหม่อย่างงดงามที่สุด ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 10 เรือน พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในมหานครนิวยอร์กในงาน Watch Time New York 2025
ตั้งแต่การกลับมาสู่เวทีนาฬิกาโลกในปี 2015 Czapek & Cie ได้ยึดมั่นในแนวคิดหลักที่เรียบง่ายแต่ท้าทายอย่างยิ่ง “การเชื่อมบทสนทนาระหว่างงานช่างฝีมือดั้งเดิมกับการผลิตนาฬิกาสมัยใหม่” ซึ่ง Antarctique Plique-à-Jour ก็เป็นผลลัพธ์อันงดงามของแนวคิดนี้อย่างแท้จริง เพราะมันนำศิลปะแห่งเครื่องลงยาแบบโบราณซึ่งปกติใช้กับเครื่องประดับหรือวัตถุศิลป์ มาตีความใหม่บนเรือนสตีลร่วมสมัยที่มีบุคลิกแบบสปอร์ตหรูในสไตล์นาฬิกาชั้นสูง
“Czapek มักสำรวจขอบเขตของ métiers d’art และพยายามตีความให้ร่วมสมัยอยู่เสมอ” Xavier de Roquemaurel ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแบรนด์กล่าว “โครงการนี้จึงไม่ใช่เพียงการอนุรักษ์ศิลปะที่ใกล้สูญหาย แต่คือการมอบบทบาทใหม่ให้มันในโลกของนาฬิกาสมัยใหม่”
เทคนิค Plique-à-Jour มีรากฐานย้อนกลับไปถึงยุคไบแซนไทน์ในศตวรรษที่ 6 คำว่า plique-à-jour หมายถึง “การเปิดรับแสงสว่าง” ซึ่งอธิบายกระบวนการได้อย่างตรงตัว ศิลปินจะลงยาเคลือบสีใสทีละชั้นลงบนช่องโลหะที่เปิดทะลุโดยไม่มีพื้นรองด้านหลัง จากนั้นจึงเผาด้วยความร้อนราว 900 องศาเซลเซียส ทำให้เนื้อเคลือมหลอมติดเข้ากับโครงโลหะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโลหะมีค่าอย่างทองคำ เป็นต้น แต่ยังคงความโปร่งใสไว้เพื่อให้แสงลอดผ่าน เมื่อมองดูจะเห็นประกายสะท้อนและเฉดสีแปรเปลี่ยนไปตามมุมแสงดุจหน้าต่างกระจกสีในวิหารยุคกลาง เปี่ยมชีวิตชีวาและมีจิตวิญญาณในตัวเอง
กระบวนการนี้ถือเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ซับซ้อนที่สุดในโลกของเครื่องลงยา เนื่องจากต้องอาศัยทั้งความแม่นยำและความอดทนในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างสูตรสีให้ได้เฉดและระดับความโปร่งใสที่พอดี การเติมเนื้อเคลือบในแต่ละช่องให้สม่ำเสมอและต่อเนื่อง การควบคุมการเผาไม่ให้เคลือบแตกร้าวภายใต้อุณหภูมิสูง ไปจนถึงการขัดผิวขั้นสุดท้ายที่ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อรักษาความบางและความโปร่งแสงของเนื้อเคลือบไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด
Xavier de Roquemaurel อธิบายว่า “สิ่งที่ทำให้หน้าปัดนี้โดดเด่นอย่างแท้จริงคือความโปร่งใสของมัน ต่างจากการลงยา plique-à-jour ทั่วไปซึ่งมักมีฟองอากาศภายในทำให้สีดูขุ่นเล็กน้อย เทคนิคที่เราใช้กับ Antarctique Plique-à-Jour ช่วยให้ได้ความใสบริสุทธิ์จนสามารถมองทะลุถึงกลไกด้านในได้ และเมื่อรวมกับการไล่เฉดสีอย่างละเอียดแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นงานศิลป์ระดับ tour de force ที่งดงามทั้งในแง่เทคนิคและอารมณ์”
เบื้องหลังความสำเร็จของผลงานชิ้นนี้คือความร่วมมือระหว่างช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา โครงโลหะถูกสร้างขึ้นโดย MD’Art ขณะที่งานลงยาและการเผาด้วยอุณหภูมิสูงเป็นฝีมือของ Bagues-Masriera หนึ่งในเวิร์กช็อปเครื่องลงยาชั้นนำของยุโรป ส่วนการขัดปรับความหนาและเก็บรายละเอียดขั้นสุดท้ายที่ต้องทำทีละหน้าปัดอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันการแตกร้าวนั้นเป็นหน้าที่ของ PBMC ก่อนที่ MD’Art จะรับช่วงสุดท้ายในการพิมพ์ลาย ติดตั้งขาตัวเรือน และเก็บผิวขั้นสุดท้าย ทุกขั้นตอนเป็นการแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดระหว่างทีมพัฒนาและช่างฝีมือ ทำให้แต่ละหน้าปัดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่มีสองเรือนใดเหมือนกัน
ภายใต้ความงามอันโปร่งใสคือหัวใจกลไกอัตโนมัติ คาลิเบอร์ SXH7 ซึ่งพัฒนาและประกอบในโรงงาน Czapek & Cie. Manufacture เมืองลาโชเดอฟง กลไกนี้สืบเชื้อสายจากรุ่น SXH5 โดยคงสถาปัตยกรรมไมโครโรเตอร์ไว้เช่นเดิม ใช้โรเตอร์แพลตินัมรีไซเคิล 100% ติดตั้งบนตลับลูกปืนเพื่อลดแรงเสียดทานและเพิ่มประสิทธิภาพการขึ้นลาน ขณะเดียวกันโครงสร้างได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดในรูปแบบโครงสร้างสเกเลตันของสถาปัตยกรรมสามมิติ เผยให้เห็นสะพานจักรแบบโปร่ง ช่องลานแบบเปิด และจักรสมดุลที่มองเห็นได้เต็มตา ราวกับฉากเครื่องกลที่เปล่งแสงส่องทะลุผ่านหน้าปัดเคลือบโปร่งใส กลไกเดินด้วยความถี่ 4 เฮิรตซ์ มีพลังงานสำรอง 60 ชั่วโมง
การตกแต่งยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานสูงสุดของเครื่องบอกเวลาชั้นสูง เหลี่ยมมุมของขิ้นส่วนภายในขัดเงาด้วยมือถึง 18 จุด ขอบสะพานจักรถูกลบมุมอย่างประณีต ผิวสะพานผ่านการพ่นทราย หลุมสกรูเจียระไนแบบ diamond-cut และชุบโรเดียมเพื่อสร้างมิติและความเปล่งประกายตัดกันอย่างสง่างาม เมื่อแสงลอดผ่านหน้าปัดเคลือบใส มันจะเผยให้เห็นภูมิทัศน์กลไกเบื้องล่างอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งศิลปะและวิศวกรรมกลายเป็นสิ่งเดียวกันในความโปร่งแสงของเวลา
สำหรับวาระครบรอบสิบปีแห่งการฟื้นคืนชีพนี้ Czapek & Cie. ผลิต Antarctique Plique-à-Jour เพียงสิบเรือนเท่านั้น แต่ละเรือนมีเอกลักษณ์เล็กน้อยตามธรรมชาติของกระบวนการลงยา ฝาหลังสลักโลโก้เฉลิมฉลองครบรอบทศวรรษแห่งอิสรภาพและความมุ่งมั่น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์นับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา
Antarctique Plique-à-Jour เปรียบประดุจบทกวีแห่งแสงและกลไก การหลอมรวมระหว่างศาสตร์เก่าและเทคโนโลยีใหม่จนเกิดเป็นความงามที่โปร่งใสไร้นิรันดร์ เหมือนแสงแรกของวันใหม่ที่ลอดผ่านกระจกสี และหยุดนิ่งอยู่บนข้อมือของผู้ครอบครอง
15 ต.ค. 2568
15 ต.ค. 2568
15 ต.ค. 2568