ULYSSE NARDIN Freak S Enamel

Last updated: 19 ต.ค. 2568  |  211 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ULYSSE NARDIN Freak S Enamel

สำหรับ Ulysse Nardin เราเชื่อว่าการพัฒนามาจากความคิดต่างและก้าวข้ามขีดจำกัด ตั้งแต่ปี 1846 เราได้ยกระดับการผลิตนาฬิกาด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและงานฝีมือชั้นเลิศ
ท้าทายกรอบเดิม ๆ เพื่อรังสรรค์ผลงานนาฬิกาแห่งอนาคต

จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมได้รับการถ่ายทอดในปี 2001 เมื่อ Ulysse Nardin เปิดตัว Freak นาฬิกาที่ท้าทายทุกกฎเกณฑ์ — ไม่มีหน้าปัด ไม่มีเข็ม ไม่มีเม็ดมะยม แต่ขับเคลื่อนด้วยกลไกหมุนบอกเวลา ออกแบบโดย Dr. Ludwig Oechslin นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และช่างทำนาฬิกาผู้เปี่ยมวิสัยทัศน์ Freak ยังเป็นผู้บุกเบิกการใช้ซิลิคอนในฐานะโครงสร้างหลัก เปลี่ยนวิศวกรรมล้ำสมัยเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพทางความคิด การปฏิวัติแท้จริงในศตวรรษที่ 21 ที่ยังคงโดดเด่นและพลิกโฉมวงการนาฬิกาชั้นสูงยุคใหม่เกือบ 25 ปีต่อมา จุดประกายการเปลี่ยนแปลงที่นิยามใหม่ในวงการนาฬิการ่วมสมัย และเปิดยุคทองแห่งความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ด้วยสิทธิบัตรกว่า 20 รายการ Freak กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นอิสระของ Ulysse Nardin และจิตวิญญาณแห่งการท้าทายนี้ยังสร้างแรงบันดาลใจต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน


วิสัยทัศน์นี้ถูกยกระดับสู่จุดสูงสุดด้วย Freak S สุดยอดนาฬิกาบอกเวลาที่ซับซ้อนที่สุด ผลงานที่ท้าทายขีดจำกัดของศาสตร์การผลิตนาฬิกาชั้นสูง  ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี ด้วยออสซิลเลเตอร์คู่ เทคโนโลยีซิลิคอนและ DIAMonSIL ดิฟเฟอเรนเชียลที่เล็กที่สุดในโลก โครงสร้าง 3 มิติที่โดดเด่นที่ขยายออกไปในหกมิติ และระบบไขลานอัตโนมัติ Grinder® ที่มาปฎิวัติวงการ

ในวันนี้ Ulysse Nardin ได้เปิดบทใหม่ในตำนานของ Freak ด้วยการผสมผสานระหว่างนวัตกรรมล้ำสมัยและศิลปะช่างฝีมือดั้งเดิม การตีความใหม่ของ Freak S รุ่นไอคอนได้รับการสร้างสรรค์ผ่านความเชี่ยวชาญจากเวิร์กช็อปอีนาเมลในเครือ โดยนำเสนอในสองรุ่นใหม่ที่โดดเด่นด้วยดิสก์อีนาเมลสีฟ้าเทอร์ควอยซ์และแดงทับทิม ผลงานที่เป็นการสะท้อนการผสมผสานระหว่างศาสตร์การทำนาฬิกาชั้นสูงและศิลปะชั้นยอด โดยแต่ละรุ่นผลิตจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือน

A HIGH HOROLOGY MARVEL
THE MOST COMPLEX TIME-ONLY WATCH
Freak S คือผลงานชิ้นเอก นาฬิกากลไกที่แสดงเวลาเพียงอย่างเดียวและเป็นนาฬิกาอัตโนมัติเรือนแรกของโลกที่มาพร้อม double oscillator จึงทำงานแตกต่างจากนาฬิกาเรือนอื่นๆ ทั้งในด้านกลไก แนวคิด และดีไซน์ สิ่งที่ทำให้ Freak S โดดเด่น คือสถาปัตยกรรมที่ปฏิวัติวงการ กลไก Manufacture calibre UN-251 ถูกออกแบบในหกมิติเฟืองแยกกันชัดเจน เพื่อรองรับบาลานว์ซิลิคอนคู่ที่เอียง 20 องศา พร้อมระบบเฟืองแนวตั้ง (vertical differential) กลไกนี้ยังเป็นเรือนแรกที่ใช้เฟืองแตกต่างแบบลูกปืน (ball bearings) ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญไมโครเมคานิกส์ที่ผลิตชิ้นส่วนสำหรับอุปกรณ์ไฮเทคอย่างหัวใจเทียม จึงมั่นใจได้ถึงความแม่นยำและประสิทธิภาพในการใช้พลังงานที่เหนือชั้น


ลูกปืนเซรามิก 17 ตัว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนของระบบพลังงาน ลดแรงเสียดทาน และเสริมประสิทธิภาพการทำงาน ทำให้กลไกแสดงเวลาเรือนนี้เป็นหนึ่งในกลไกที่มีประสิทธิภาพ พร้อมระบบลูกปืนสองระดับที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับสมรรถนะและความน่าเชื่อถือ ระบบขึ้นลานอัตโนมัติ Grinder® ที่จดสิทธิบัตร ขับเคลื่อนนาฬิกาด้วยประสิทธิภาพยอดเยี่ยม ตอบโจทย์การทำงานของกลไกซับซ้อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

กลไกประกอบด้วยชิ้นส่วน 373 ชิ้นและอัญมณี 33 เม็ด ประกอบโดยช่างฝีมือคนเดียว กลไกซับซ้อนนี้โดดเด่นด้วยออสซิลเลเตอร์เอียงขนาดใหญ่สองชุด พร้อมบาลานซ์วีลซิลิคอน และชุดเอสเคปเมนต์เคลือบด้วย DIAMonSIL เทคโนโลยีเฉพาะของ Ulysse Nardin ที่ช่วยเพิ่มทั้งความทนทานและความแม่นยำ และรูปลักษณ์ที่ดูมีชีวิตชีวา

ชิ้นส่วนกว่า 95% ของนาฬิกาหมุนเคลื่อนที่ รวมทั้งสะพานนาทีทองคำที่ติดตั้งออสซิลเลเตอร์ แผ่นแสดงชั่วโมง ขอบหน้าปัดสำหรับตั้งเวลา และฝาหลังสำหรับขึ้นลาน สร้างสรรค์การเคลื่อนไหวที่สอดประสานอย่างกลมกลืน

สถาปัตยกรรมโดดเด่นทรงสามมิติ พร้อมเอกลักษณ์เฉพาะแบบ Freak ถ่ายทอดความล้ำสมัยและศิลปะชั้นสูงแห่งเครื่องบอกเวลาชัดเจนทุกมิติ

HIGH TECH ENGINE
A LABORATORY ON THE WRIST

SILICON :
FIRST AND LEADING
การใช้ซิลิคอนในวงการนาฬิกาถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกโดย Ulysse Nardin ในปี 2001 กับรุ่นระดับตำนานอย่าง Freak นับเป็นเวลากว่าสองทศวรรษที่ผ่านมาก่อนที่แบรนด์ชั้นนำอื่น ๆ จะเริ่มนำวัสดุสุดล้ำนี้มาใช้ แม้เทคโนโลยีซิลิคอนจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ Freak ยังคงยืนหยัดในฐานะผู้นำแห่งการปฏิวัติครั้งสำคัญของวงการ ซิลิคอนเป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบา ยืดหยุ่นสูง ลดแรงเสียดทาน และทนทานต่อสนามแม่เหล็กได้อย่างสมบูรณ์แบบ มอบข้อได้เปรียบเหนือกว่าวัสดุทั่วไป ทั้งในด้านความแม่นยำ ความทนทาน และความน่าเชื่อถือในระยะยาว


ภายในกลไกประกอบด้วยชิ้นส่วนซิลิคอนทั้งหมดสิบชิ้น รวมทั้งบาลานซ์วีลและสปริงบาลานซ์ พร้อมเอสเคปเมนท์ DIAMonSIL ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างซิลิคอนกับการเคลือบเพชร ที่ Ulysse Nardin จดสิทธิบัตรไว้ในปี 2007 ความแข็งแกร่งจากชั้นเพชรที่เคลือบบนเอสเคปเมนท์นี้ช่วยทำให้ทนทานต่อแรงกระแทกได้มากกว่า 150 ล้านครั้งต่อปี วัสดุขั้นสูงนี้ยังช่วยเพิ่มความต้านทานแรงเสียดทานและแรงกระแทก ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อเอสเคปเมนท์ของ Freak S ทำงานด้วยความถี่ 18,000 ครั้งต่อชั่วโมง

โดยผลิตที่ Sigatec ห้องปฏิบัติการซิลิคอนของแบรนด์ ณ เมือง Sion ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ชิ้นส่วนเหล่านี้สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมเฉพาะตัวกว่า 20

THE WORLD’S SMALLEST
DIFFERENTIAL:
A BREAKTHROUGH IN MECHANICAL WATCHMAKING

หัวใจของ Freak S คือดิฟเฟอเรนเชียลแนวตั้งที่เล็กที่สุดในโลก ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในวงการนาฬิกา ประกอบด้วยชิ้นส่วนที่ออกแบบอย่างแม่นยำ 47 ชิ้น รวมถึงลูกปืนเซรามิก 6 ลูก ผลิตด้วยความละเอียดระดับไมครอน หน้าที่ของชิ้นส่วนนี้คือการคำนวณค่าเฉลี่ยของจังหวะการสั่นสะเทือนของออสซิลเลเตอร์เอียงทั้งสอง เพื่อมอบความแม่นยำและความเสถียร

ดิฟเฟอเรนเชียลถูกคิดค้นครั้งแรกในปี 1827 โดยช่างทำนาฬิกา Onésiphore Pecqueur เพื่อควบคุมยานพาหนะไอน้ำในยุคแรก ๆ ซึ่งเดิมไม่ได้มีไว้สำหรับนาฬิกา แต่เกือบสองศตวรรษต่อมา Ulysse Nardin ได้ตีความแนวคิดนี้ใหม่ ด้วยการนำเกียร์ดิฟเฟอเรนเชียลที่ใช้ลูกปืนแบบบอลทั้งหมดมาใช้ในกลไกนาฬิกา ถือเป็นความสำเร็จอันไร้ที่ติในวงการนาฬิกา วิศวกรรมขนาดเล็กนี้พัฒนาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญไมโครเมคานิกส์ระดับแนวหน้า ที่มีส่วนร่วมในการออกแบบหัวใจเทียมและนวัตกรรมอื่น ๆ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนาฬิกากลไกสมัยใหม่


GRINDER®:
A PULSE OF ENERGY
การส่งพลังงานสู่ออสซิลเลเตอร์สองชุดเป็นความท้าทายที่ Ulysse Nardin พลิกโฉมด้วยระบบ Grinder® เปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 ผ่านนาฬิกา Freak InnoVision 2 ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการพลังงานสูงของกลไกออสซิลเลเตอร์คู่โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพ ผลลัพธ์คือพลังงานสำรองยาวนานถึง 72 ชั่วโมง จากระบบที่แปลงค่าการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของข้อมือเป็นพลังงาน

ระบบ Grinder® สะท้อนแนวคิดเทคโนโลยียานยนต์ไฮบริด ด้วยการเก็บพลังงานจลน์จากการเคลื่อนไหว เพื่อรักษาประสิทธิภาพสูงสุดของ Freak S โดยใช้การเคลื่อนไหวความถี่ต่ำที่ 2.5 เฮิรตซ์ ร่วมกับลูกปืนเซรามิกลดแรงเสียดทาน ทำให้การส่งผ่านพลังงานเป็นไปอย่างราบรื่นและคงที่

ADVANCED HOUSING
Freak S บรรจุในตัวเรือนขนาด 45 มม. ผลิตจากไทเทเนียม วัสดุล้ำสมัยในวงการนาฬิกาชั้นสูง ไทเทเนียมน้ำหนักเบากว่าเหล็กประมาณ 45% แต่แข็งแกร่งเหนือชั้น โดดเด่นด้วยความต้านทานการกัดกร่อน ปลอดภัยต่อผิวหนัง และทนทาน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนาฬิกาที่ออกแบบมาให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมสุดขั้ว พร้อมมอบความสบายในการสวมใส่บนข้อมือ

โครงสร้างตัวเรือนทั้งหมด ทั้งตัวเรือนหลัก ขอบตัวเรือน กลไกล็อก และฝาหลัง ผลิตจากไทเทเนียม เพื่อคงความแข็งแกร่งโดยไม่เพิ่มน้ำหนัก ส่งผลให้ตัวเรือนมีความทนทานและน้ำหนักเบา ปกป้องกลไกภายใน พร้อมมอบความสบายในการสวมใส่และประสิทธิภาพระยะยาว สายนาฬิกาทำจากยางสีแอนทราไซต์หรือสีขาว พร้อมผิวสัมผัสแบบบอลลิสติก จับคู่กับบานพับไทเทเนียมดีไซน์ทันสมัยและใช้งานได้จริง เติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับนาฬิกาที่ออกแบบเพื่อความแม่นยำ ความทนทาน และการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง

HIGH ARTISTRY MASTERPIECE
AN HYPNOTIC HIGH-TECH WATCH
Freak S ผสานนวัตกรรมกลไกล้ำสมัยกับเทคนิคตกแต่งอย่างการเคลือบลงยา

ในบรรดาศิลปะชั้นสูงที่ยังคงได้รับการสืบสานมาจนถึงปัจจุบัน การลงยานับเป็นหนึ่งในงานฝีมืออันโดดเด่นของ Ulysse Nardin ศิลปะโบราณแขนงนี้มีรากฐานย้อนกลับไปนับพันปี ตั้งแต่อารยธรรมอียิปต์โบราณสู่ราชวงศ์จีน ก่อนจะผสานเข้ากับโลกของการประดิษฐ์นาฬิกาในศตวรรษที่ 17 เสน่ห์ของการลงยาอยู่ที่เฉดสีสดใสและทนทานเป็นพิเศษ สีสันที่ได้มีความคมชัดไม่ซีดจางตามกาลเวลา แตกต่างอย่างชัดเจนจากการตกแต่งพื้นผิวแบบทั่วไป ทำให้การลงยากลายเป็นศิลปะที่สะท้อนถึงความประณีต

รุ่นใหม่ทั้งสองของ Freak S มาพร้อมดิสก์บอกชั่วโมงหมุนได้ ลงยาในสีฟ้าเทอร์ควอยซ์และแดงทับทิม ผลิตที่ Donzé Cadrans เวิร์กช็อปลงยาซึ่งตั้งอยู่ใกล้โรงงาน Ulysse Nardin ในเลอล็อกก์ ก่อตั้งในปี 1972 โดยช่างลงยามือหนึ่ง Francis Donzé ทำให้เป็นเวิร์กช็อปเก่าแก่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ เริ่มร่วมงานกับ Ulysse Nardin ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 และถูกซื้อกิจการในปี 2011 เพื่อสืบสานความชำนาญ Donzé Cadrans คือมาตรฐานแห่งวงการ เชี่ยวชาญเทคนิคลงยาอย่าง Grand Feu, Cloisonné, Champlevé และ Guilloché-Flinqué

แม้ Donzé Cadrans จะมีชื่อเสียงด้านหน้าปัดลงยาแบบดั้งเดิม แต่ Freak S เผชิญความท้าทายใหม่ ดิสก์บอกชั่วโมงหมุนได้ที่ทำด้วยมือด้วยเทคนิค Guilloché-Flinqué ไม่ใช่แค่องค์ประกอบตกแต่ง แต่เป็นชิ้นส่วนกลไกที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ผลิตด้วยประณีตและยึดด้วยสกรูหลายจุด ทุกขั้นตอนต้องคำนึงถึงการทำงานจองกลไก ความสมดุล และความแข็งแกร่งของโครงสร้าง โดยไม่ลดทอนความงดงามในทุกมุมมอง

เพื่อตอบโจทย์นี้ Ulysse Nardin เลือกใช้ไวท์โกลด์ 18K  (ผสมแพลเลเดียม 130 เงิน 120 และทองคำ 750) เพื่อความทนทานต่อความร้อนสูง ส่วนผสมนี้ทำให้ดิสก์บอกชั่วโมงทนความร้อนจากการเผาซ้ำๆ หลายครั้งโดยไม่บิดงอ ก่อนลงยา ดิสก์จะถูกปั๊มลวดลายที่มีเอกลักษณ์ เพื่อเพิ่มลูกเล่นที่สามารถมองเห็นได้ของคารูเซลหมุนและออสซิลเลเตอร์ซิลิคอนคู่

กระบวนการลงยาถือเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ วัตถุดิบแข็งถูกล้างและบดด้วยครกและสากแบบดั้งเดิมจนกลายเป็นผงละเอียด จากนั้นผงสีจะถูกผสมอย่างพิถีพิถัน โดยอาศัยความรู้ทางด้านเคมี ปฏิกิริยา และทฤษฎีสี เติมน้ำให้เป็นเนื้อสีที่ทาบนจาน และเผาที่อุณหภูมิประมาณ 800°C ทำซ้ำ 3-4 ครั้ง เพื่อเสริมโทนสี เนื้อสัมผัส และความเข้มข้นของสีที่เคลือบ หลังเผาครบตามขั้นตอน ผิวลงยาจะถูกขัดมืออย่างประณีตนานกว่าหนึ่งชั่วโมง เพื่อเผยความสีสันที่เปล่งประกาย

ทุกขั้นตอนของการลงยาล้วนมีความเสี่ยง เช่น การเกิดฟอง การแตกร้าว หรือการเผาที่ไม่สม่ำเสมอ อาจทำให้ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด งานฝีมือนี้จึงไร้ทางลัด ต้องใช้ความอดทน ความแม่นยำ และเวลา จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการลงยาจึงถือเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ท้าทายที่สุดในวงการนาฬิกาชั้นสูง อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์คือพื้นผิวลงยาที่งดงามและทนทาน ด้วยเหตุนี้ Freak S จึงมิใช่เพียงความสำเร็จทางเทคนิค แต่คือผลงานที่ผสานวิศวกรรมล้ำสมัยกับศิลปะโบราณ สร้างมาตรฐานใหม่ที่เหนือจินตนาการ

ULYSSE NARDIN
NO BOUNDARIES. SINCE 1846.
Ulysse Nardin คือแบรนด์นาฬิกาอิสระสัญชาติสวิสที่มาปฏิวัติวงการนาฬิกาชั้นสูง เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตนาฬิกาผ่านนวัตกรรมและงานฝีมือของช่างนาฬิกาที่ไม่มีใครเทียบได้ ก่อตั้งขึ้นในปี 1846 ที่เมือง Le Locle ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แบรนด์นี้ได้กลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วสำหรับเครื่องมือบอกเวลาที่แม่นยำ ซึ่งมีความสำคัญต่อการสำรวจมหาสมุทร ตลอดระยะเวลาห้าชั่วอายุคน ครอบครัว Nardin ได้ผลิตโครโนมิเตอร์ทางทะเลที่มีความน่าเชื่อถือสูงที่สุด ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากกองทัพเรือ และถูกใช้โดยนักวิทยาศาสตร์ในสาขาต่างๆ เช่น ธรณีศาสตร์, ดาราศาสตร์, และวิทยาศาสตร์โลก

Ulysse Nardin เป็นผู้นำในการนำนวัตกรรมในด้านการแสดงเวลา กลไกที่ผลิตขึ้นเอง การวิจัยและพัฒนาวัสดุศาตร์ โดยสะสมรางวัลทางเทคนิคและการออกแบบมากกว่า 4,300 รางวัล แบรนด์ได้เปิดตัวผลงานอันล้ำสมัย เช่น นาฬิกาเสียงแรกที่มีกลไก Jacquemarts automatons, Astrolabium Galileo Galilei, และปฏิทินถาวรเรือนแรกที่สามารถตั้งเวลาได้ทั้งข้างหน้าและข้างหลังผ่านเม็ดมะยม ปูทางในการใช้ซิลิคอนในวงการนาฬิกา นอกจากนั้น Ulysse Nardin ยังได้พัฒนา DiamonSil® ซึ่งเป็นการรักษาพื้นผิวของกลไกที่มาปฏิวัติวงการนาฬิกา

นาฬิกา Freak เปิดตัวในปี 2001 ได้สะท้อนถึงแนวทางเฉพาะของ Ulysse Nardin ที่ผสมผสานเทคโนโลยีระดับสูงและฝีมือของช่างนาฬิกาได้อย่างลงตัว โดย 20 ปีหลังจากนั้น Freak [ONE] ได้รับรางวัล "Most Iconic Watch" จาก Grand Prix d’Horlogerie de Genève

โดยทางแบรนด์เป็นส่วนหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาอิสระร่วมกับ Girard-Perregaux โดย Ulysse Nardin ยังคงพลักดันขอบเขตของศาสตร์การผลิตนาฬิกา มากำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับแบรนด์ที่มีประวัติยาวนาน พร้อมทั้งมีบูติกจำหน่ายนาฬิกาทั่วโลก รวมถึงแฟล็กชิพที่ตั้งอยู่ในเจนีวา ซิลิคอนวัลเลย์ ดูไบ และเซี่ยงไฮ้

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้