VAN CLEEF & ARPELS Alhambra

Last updated: 3 พ.ย. 2568  |  234 จำนวนผู้เข้าชม  | 

VAN CLEEF & ARPELS Alhambra

1. รังสรรค์สัญลักษณ์นำโชค
นับจากค.ศ. 1968 เป็นเวลากว่าหลายปีที่คอลเลกชัน Alhambra (อัลลองบรา) ดำรงตำแหน่ง “เครื่องประดับนำโชค” ของ Van Cleef & Arpels ด้วยสุนทรียศิลป์อันงามสง่า มอบความหลากหลายทางการรังสรรค์ใหม่ ไม่ว่าจะในแง่ของวัสดุ หรือรูปแบบใช้งาน ดังเช่นผลงานล่าสุด ซึ่งนำธรรมเนียมนิยมเครื่องประดับอำนวยต่อการดัดแปลง พลิกแพลงวิธีสวมใส่ของเมซง มาใช้กับรูปทรงโมทิฟจำลองแบบใบโคลเวอร์สี่แฉก ให้ปรากฏความโดดเด่น เป็นที่น่าปรารถนาถึงสองสไตล์ นั่นก็คือสร้อยคอยาวสองตัวเลือกวัสดุต่างโทนสี เช่นเดียวกับแหวนประดับโมทิฟหัวแหวนพลิกสลับด้านได้อีกสองอารมณ์

“นับตั้งแต่ได้รับการสรรค์สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1968 คอลเลกชัน Alhambra ยังคงแสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศทางงานออกแบบ อันอำนวยต่อการรังสรรค์ใหม่ได้อย่างไร้ขีดจำกัด และด้วยการนำลูกเล่นทางการดัดแปลง พลิกแพลงวิธีสวมใส่ เครื่องประดับนำโชครุ่นใหม่ทั้งสองสไตล์ ต่างมอบความหลากหลายทั้งในแง่ของรูปแบบใช้งาน, ขนาดมิติทรงของโมทิฟ รวมถึงสีสันของวัสดุเลอค่า ซึ่งเท่ากับมอบทางเลือกให้แก่ผู้เป็นเจ้าของได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เหนืออื่นใด ณ จุดบรรจบระหว่างความงามสง่า และลีลาจำแลงลักษณ์อย่างหลากหลาย เครื่องประดับ Alhambra รุ่นนี้ คือตัวแทนคุณค่าในการใช้ไหวพริบทางงานออกแบบสร้างสรรค์แต่แรกเริ่มได้อย่างชัดเจน”

สร้อยคอยาว Magic Alhambra ดัดแปลงรูปแบบ พลิกแพลงวิธีสวมใส่ได้
สำหรับงานออกแบบ Magic Alhambra รุ่นแรก ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปีค.ศ. 2006 จากการนำต้นแบบเครื่องประดับนำโชคของ Van Cleef & Arpels มารังสรรค์ด้วยลูกเล่นสุดท้าทายในการร้อยเรียงโมทิฟต่างขนาดเข้าด้วยกันโดยอาศัยศิลปะอสมมาตรทางการจัดตำแหน่งบนโครงสร้างตัวเรือนหลัก เอื้อต่อการทิ้งสายแกว่งไกวไปมาตามอากัปการเคลื่อนไหวของผู้สวมใส่ได้อย่างงามสง่า และเมื่อผลงานรุ่นใหม่ในปีนี้ ได้รับการสรรค์สร้างขึ้นบนครรลองของเครื่องประดับซึ่งอำนวยต่อการดัดแปลงรูปแบบ พลิกแพลงวิธีสวมใส่ จึงเป็นครั้งแรกที่สร้อยคอยาว Magic Alhambra มอบความหลากหลายทางการใช้งานได้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปรับความยาวทั้งขนาดเลยหน้าอก หรือเหนือหน้าอก นอกจากจะพันทบเป็นสร้อยคอซ้อนสองเส้นหลั่นระดับแบบเดิม ขณะเดียวกัน ระหว่างสวมเป็นสร้อยคอยาวทิ้งสายเหนือระดับอก ส่วนของสายโซ่ตัวสร้อยที่ปลดออกมา ก็สามารถประกอบเข้าด้วยกันเป็นสร้อยคอมือเข้าชุดอีกหนึ่งเส้นอย่างง่ายดาย โดยอาศัยความแยบคายของกลไกตัวกลัดซ่อนหลังท้ายทอย

ในการสรรค์สร้างผลงานจริงให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของงานออกแบบรุ่นนี้ จำต้องอาศัยลูกเล่นวนซ้ำเติมเต็มศิลปะแห่งการดัดแปลง ด้วยความพิถีพิถันต่อลำดับชิ้นส่วน จัดตำแหน่งโมทิฟต่างขนาดบนโครงสร้างหลัก นั่นก็คือสายโซ่เส้นบอบบาง ซึ่งผ่านการคำนวณสมดุลระหว่างน้ำหนักยามทิ้งตัว กับสัดส่วนอสมมาตรของจังหวะโมทิฟแต่ละชิ้น ผลลัพธ์ที่ได้ในยามสวมใส่ต้องมอบความต่อเนื่อง และกลมกลืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะโมทิฟชิ้นกลางในฐานะจี้สร้อยคอทิ้งตัวอย่างงามสง่าอยู่บนหน้าอก ถ่วงดุลกับกลไกห่วงกลัดซ่อนหลังท้ายทอย ซึ่งถูกออกแบบขึ้นเพื่อมอบความสะดวกรวดเร็วทั้งเวลาปลดออก หรือประกอบใหม่เวลาดัดแปลงวิธีสวมใส่

ผลงานสร้างสรรค์รุ่นใหม่เหล่านี้ แต่ละชิ้น และทุกชิ้น ต่างสะกดสายตาด้วยความงามสง่าจากการจับคู่สีระหว่างรัตนชาติกับโลหะเลอค่า ในขณะที่ประกายโทนอบอุ่นละมุนละไมของทองคำสีกุหลาบรองรับลีลาสลับเฉดระหว่างแผ่นแม่มุก หรือมาเธอร์-ออฟ-เพิร์ลสีขาวกับสีเทา โมราพยับหมอกหรือคาลซิโดนีสีฟ้าอมเทา นำมาซึ่งการจับคู่โทนสีเย็นระหว่างทองคำขาวสกาวแสงกับแผ่นแม่มุกขาวเหลือบเรืองประกายรุ้ง นอกจากนั้น ท่ามกลางความวิจิตรประณีตในงานจับคู่สี ความเป็นเลิศเชิงหัตถศิลป์ของงานฝีมือสลักลายริ้วรัศมีตะวันหรือ guilloché (กวิโญเช) ก่อลีลาล้อแสงจรัสประกายอยู่ในวงล้อมลูกปัดทอง สัญลักษณ์ทางรายละเอียดตกแต่งประจำเมซง ทำหน้าที่สะท้อนแสงตกกระทบบนมิติร่องลาย เร่งระดับความสว่างเจิดจ้าอย่างมิอาจหาใดเปรียบ

แหวน Vintage Alhambra โมทิฟหัวแหวนพลิกกลับสลับด้านได้
นับแต่แรกเริ่ม มิติทรงของโมทิฟต้นแบบในคอลเลกชัน Alhambra นำมาซึ่งความหลากหลายทางการรังสรรค์ใหม่เพื่อเป็นเครื่องประดับสำหรับสวมใส่ได้ในทุกโอกาสของแต่ละวัน ลงตัวกับทุกรูปแบบการแต่งกาย จากชุดกลางวันถึงชุดกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นชุดทำงาน หรือชุดลำลอง เพื่อสืบสานคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์อันคำนึงถึงประโยชน์ใช้งานจริงในชีวิตประจำวันดังกล่าว ศิลปะทางการดัดแปลงจำแลงลักษณ์ นำมาซึ่งการออกแบบกลไกพลิกกลับสลับด้านแผ่นโมทิฟหัวแหวนเดินขอบลูกปัดทองคู่ขนานล้อมกรอบวัสดุต่างเฉด ต่างชนิด ในขณะที่เรือนแหวนทองคำสีกุหลาบสะกดสายตาด้วยโมทิฟหัวแหวนฝังแผ่นแม่มุกเทาเหลื่อมรุ้งประกายเงิน ซึ่งเมื่อพลิกกลับพลันเจิดจรัสเรืองรองด้วยทองคำสีกุหลาบสลักลายริ้วรัศมีตะวันรายรอบเพชรเดี่ยวตรงกึ่งกลาง เรือนแหวนทองคำสีขาวจุดประกายปรารถนาด้วยโทนสีเยือกเย็นแสนอ่อนโยนของโมราพยับหมอกบนโมทิฟหัวแหวน ซึ่งเมื่อพลิกกลับสลับด้าน เพชรเดี่ยวใจกลางงานฝีมือสลักลายริ้วบนเนื้อทองราวจรัสแถบลำแสงแผ่รัศมีละมุนละไม


งานฝังหุ้มสำหรับใช้กับเพชรเดี่ยวใจกลางโมทิฟทองคำสลักลายริ้วรัศมีตะวัน ได้รับการออกแบบใหม่ พัฒนาจากเทคนิคดั้งเดิมเพื่อเผยความกระจ่างใสของน้ำเพชรในทุกมิติ อีกทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้เหลี่ยมเจียระไนก่อความระคายเคืองผิวพรรณของผู้ใช้เวลาพลิกคว่ำหันอีกด้านขึ้นบ้างบน เช่นเดียวกับโครงสร้างเรือนแหวนประกอบงานเรียงร้อยลูกปัดทองสามแถว อาศัยงานกรุวงแหวนครึ่งโค้งรองในให้การโอบกระชับรอบข้อนิ้วอย่างหมดจด และแนบเนียน ขณะเดียวกัน งานติดตั้งกลไกเดือยหมุนมอบความราบรื่นในการสลับด้าน พร้อมกับช่วยล็อกตำแหน่งโมทิฟหัวแหวนไว้ได้อย่างมั่นคง

นาฬิกาข้อมือ Sweet Alhambra
เครื่องประดับบอกเวลา คืออีกหนึ่งธรรมเนียมนิยมของ Van Cleef & Arpels ซึ่งถูกนำมารังสรรค์กับงานออกแบบนาฬิกาข้อมือ Sweet Alhambra รุ่นใหม่ เติมเต็มความครบครันของคอลเลกชัน ท่ามกลางความงามสง่าของมิติทรง และความวิจิตรบรรจงทางเทคนิคการฝังรัตนชาติขึ้นตัวเรือน คือลีลาสลับเฉดละลานตาระหว่างโมทิฟต่างรูปแบบ ตัวแทนความเป็นเลิศทางงานฝีมือต่างแขนง ไม่ว่าจะเป็นทักษะการเทียบสี คัดเลือกวัสดุ และตัดเจียน ขัดผิวรัตนชาติ ไปจนถึงหัตถศิลป์สลักลายริ้วรัศมีตะวันบนโมทิฟทองคำขาว และงานฝังเพชรเรียงแถวเดินลายสุดประณีต

ไม่ว่าจะเป็นโมทิฟตัวเรือนหน้าปัดนาฬิกา หรือโมทิฟร้อยสลับขึ้นโครงสร้างสร้อยข้อมือ รูปทรงอ่อนช้อยของใบโคลเวอร์สี่แฉกอันเป็นหนึ่งในงานออกแบบเชิงสัญลักษณ์ประจำเมซง จรัสประกายระยับแสงท่ามกลางงานเดินขอบล้อมกรอบด้วยลูกปัดทองกลมกลึงผ่านเทคนิคขัดผิวขึ้นเงาราวกระจก ให้การสะท้อนแสงตกกระทบเร่งระดับความสว่าง ทั้งบนริ้วละอองแร่ในเนื้อหินโมราพยับหมอก, ร่องลึกสลับเหลี่ยมมุมของงานสลักลายริ้วรัศมีตะวันบนเนื้อทอง ตลอดจนโมทิฟฝังเพชร เพื่อร่วมกันเติมเต็มความหมายของการเป็น “เครื่องประดับบอกเวลา” อย่างแท้จริง

2. ไหวพริบในการหลอมรวมทักษะงานฝีมือหลากแขนง
ท่ามกลางบรรดาผลงานสร้างสรรค์อันร่วมกันเป็นบทสรุปธรรมเนียมนิยมต่อความเป็นเลิศของ Van Cleef & Arpels คอลเลกชัน Alhambra สะท้อนถึงไหวพริบในการพลิกแพลงทักษะงานฝีมือหลากสาขา ซึ่งมีการพัฒนา และสั่งสมอย่างต่อเนื่องภายในเมซงมายาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษ จากงานตัดเจียน และเจียระไนรัตนชาติ สู่การหล่อแบบ และตกแต่งรายละเอียดโครงสร้างเครื่องประดับ ตลอดจนสารพันเทคนิคงานฝังอัญมณีขึ้นตัวเรือน รวมถึงงานฝีมือขัดผิว ไหวพริบในการพลิกแพลงทักษะ ความชำนาญแขนงต่างๆ เหล่านั้น ถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอยู่ในกระบวนการสร้างสรรค์เครื่องประดับ และนาฬิกาข้อมือ ขณะเดียวกัน เพื่อแสดงถึงความยึดมั่นทางมาตรฐานคุณภาพอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นรงคศิลา หรือมาเธอร์-ออฟ-เพิร์ล ซึ่งสกัดออกมาจากเคลือบในของเปลือกหอยมุก (จึงเรียกว่า “แม่มุก” สื่อถึงต้นกำเนิดของวัตถุดิบ) ล้วนอาศัยความประณีต พิถีพิถันระหว่างดำเนินงานตัดแผ่น เจียนรูปทรง และขัดผิวให้เรียบเนียน เกลี้ยงเกลา เผยประกายเงางามในเนื้อแท้ ก่อนนำมาเทียบเคียง จับคู่เฉดสี และน้ำหนักโทนเพื่อให้มั่นใจถึงความต่อเนื่อง และกลมกลืนยามประกอบชิ้นงาน เช่นเดียวกันกับแผ่นโมทิฟทองคำสลักลายริ้วรัศมีตะวัน จากนั้น ก็มาสู่ขั้นตอนติดตั้งบนตัวเรือนเดินขอบเขี้ยวหนามเตยปลายลูกปัดรอบกรอบมิติทรง สำหรับดัดโค้งลงมายึดแผ่นโมทิฟผนึกแนบอย่างแน่นหนา กว่าสิบขั้นตอนตลอดกระบวนการสรรค์สร้าง จบลงด้วยความละเอียดลออทางงานฝีมือขัดผิวทวีประกายเงางามของผลงานอย่างเต็มที่

ธรรมเนียมนิยมอันมีต่อเครื่องประดับดัดแปลงรูปแบบ พลิกแพลงวิธีสวมใส่
นับแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1920 เป็นต้นมา Van Cleef & Arpels ได้สร้างความโดดเด่นเฉพาะตัวด้วยความงามสง่าทางงานออกแบบเครื่องประดับซึ่งมอบความหลากหลายในการใช้งานผ่านผลงานอันอำนวยต่อการดัดแปลงรูปแบบ พลิกแพลงวิธีสวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นเข็มกลัดที่เอื้อต่อการแยกองค์ประกอบจากโครงสร้างตัวเรือนหลักไปเป็นเครื่องประดับชิ้นย่อยอีกมากมาย หรือสร้อยคอยาว ซึ่งมอบความเป็นไปได้นานัปการทางการปรับแปลง ทั้งแยกส่วนเป็นสร้อยคอเส้นสั้นสวมซ้อนร่วมกันหลายสาย, สร้อยสวมติดคอ, สร้อยข้อมือ เช่นเดียวกับจี้สร้อยคอที่สามารถใช้เป็นเข็มกลัด หรือเครื่องประดับสไตล์อื่นได้ตามจินตนาการของผู้เป็นเจ้าของ

ตลอดทศวรรษ 1930 นำมาซึ่งวิวัฒนาการกลไกอำนวยให้เข็มกลัดมอบความหลากหลายในการใช้งาน สู่การขยายผลระดับปรากฏการณ์ หลอมรวมความแยบคายทางเทคนิคเข้ากับไหวพริบในการใช้ความคิดสร้างสรรค์ จาก Passe-Partout (“ปาสส์-ปารตูต์” แปลตรงตัวตามศัพท์ภาษาฝรั่งเศสคือ “กุญแจผี” เพื่อสื่อถึงคุณลักษณ์ในการพลิกแพลงการใช้งานได้ตามความต้องการจากโครงสร้างตัวเรือนสายโซ่ทรงหลอด “ปล้องท้องงู”) เมื่อปีค.ศ. 1938 สู่สร้อยคอสายซิป (Zip necklace) ระหว่างค.ศ. 1950 ต่างเป็นประดิษฐกรรมเครื่องประดับ ตัวแทนความเป็นเลิศด้านกลไกของเมซง

ล่าสุด ธรรมเนียมนิยมในการสร้างสรรค์เครื่องประดับอันอำนวยต่อการดัดแปลงรูปแบบ พลิกแพลงวิธีสวมใส่ ได้รับการขยายผลมาสู่คอลลเลกชัน Alhambra ผ่านการพัฒนาตัวกลัดแบบห่วงตะขอสองปลาย (English blade clasps) ขนาดจิ๋วจำนวนมากสำหรับสอดเข้าไปติดตั้งไว้ในตัวเรือนโมทิฟทรงใบโคลเวอร์สี่แฉกชิ้นซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวซ่อนกลไก มอบความกลมกลืน และต่อเนื่องของชิ้นงาน คงความหมดจดแบบไร้รอยต่อ

หลังการทดสอบหลายต่อหลายครั้งจนมั่นใจในความแข็งแรง ทนทาน สามารถยึดองค์ประกอบต่างชิ้นส่วนไว้ด้วยกันอย่างแน่นหนา ขณะเดียวกันก็มอบความสะดวก รวดเร็ว และคล่องตัวในการปลดออก หรือประกอบเข้า ผลงานสร้างสรรค์ครั้งนี้จึงทรงคุณค่าของการเป็นเครื่องประดับ ซึ่งอยู่เหนือกระแสผันเปลี่ยนของวันเวลาตามกาลสมัยอย่างแท้จริง

กระบวนการคัดสรร และหัตถกรรมวัสดุ
นอกจากธรรมชาติจะสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ Van Cleef & Arpels มาเสมออย่างไม่มีวันหมดสิ้น ก็ยังเป็นแหล่งกำเนิดวัสดุเลอค่า งดงามอย่างที่สุดสำหรับใช้สรรค์สร้างผลงานได้อย่างหลากหลาย จากโมราสีเพลิง หรือคาร์เนเลียนไปจนถึงแม่มุก หรือมาเธอร์-ออฟ-เพิร์ล, หินไข่นกการเวก หรือเทอร์คอยซ์, นิลกาฬ หรือออนิกซ์, โมราพยับหมอก หรือคาลซิโดนี และพลอยนกยูงหรือ มาลาไคต์...กระนั้น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุธาตุประเภทใดก็ตาม ต่างอาศัยมาตรฐานคุณภาพระดับสูงในการพิจารณาคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน และเคร่งครัดเช่นเดียวกับบรรดาเพชรน้ำงาม

Mother-of-pearl
หรือ “แม่มุก” คือหนึ่งในอินทรีย์วัตถุอันเป็นที่รักยิ่งของเมซง ถือกำเนิดจากผลึกแคลเซียมคาร์บอเนตกลุ่มเดียวกับไข่มุก ซึ่งหอยมุก หรือหอยนางรมขับออกมาเคลือบผิวด้านในของเปลือกหอยเพื่อบรรเทาความระคายเคืองเพราะการเสียดสีกับสิ่งแปลกปลอมที่หลุดปะปนเข้ามากับน้ำทะเล ผลจากการเรียงซ้อนของผลึกธาตุสารประกอบเหล่านี้ ก่อประกายเหลือบรุ้งเงางาม เป็นคุณลักษณ์สำคัญยามพิจารณาคัดเลือกมาใช้งาน รวมถึงความกลมกลืน สม่ำเสมอทางเฉดโทน

ในขณะที่เมซงเลือกมาเธอร์-ออฟ-เพิร์ลสีขาวโดยพิจารณาจากประกายระยับแสงเหลือบรุ้งไล่โทนสีขาวอย่างกลมกลืน สม่ำเสมอ พื้นผิวของเนื้อวัสดุโปร่งแสงต้องเรียบเนียน หมดจด เกลี้ยงเกลา เป็นเงางาม มาเธอร์-ออฟ-เพิร์ลสีเทา ซึ่งถือว่าเลอค่า และหายากเป็นอย่างยิ่ง ก็ต้องมอบมิติล้ำลึกทางโทนสีจากเทาถึงเงิน ให้การสะท้อนแสงทอประกายเหลือบรุ้งผันเปลี่ยนไปมาอย่างงดงาม

Chalcedony
หรือ “โมราพยับหมอก” เป็นแร่ควอร์ตซ์โครงสร้างจุลผลึก (microcrystalline quartz) ประกอบไปด้วยใยเสี้ยนขนาดเล็กมากมายอยู่ภายในเนื้อวัตถุธาตุโปร่งแสงทอประกายเหลือบขาวเป็นเงางามวามวาว

Van Cleef & Arpels เลือกคาลซิโดนีสำหรับนำมาตัดเจียนเป็นโมทิฟเครื่องประดับ Alhambra โดยพิจารณาคุณลักษณ์ทางโทนสีจากเทาถึงฟ้าเข้ม และม่วงอ่อน อันเป็นที่มาของชื่อเฉด “พยับหมอก” รวมถึงพื้นผิวที่เกลี้ยงเกลา หมดจด และเรียบเนียน ขณะเดียวกัน ริ้วเส้นใยภายในก็ต้องเรียงตัวกันอย่างสม่ำเสมอดุจเกลียวคลื่นไล่ระลอกอย่างต่อเนื่องบนผืนน้ำ

3. ประวัติศาสตร์ทางการสร้างสรรค์นับแต่ปีค.ศ. 1968
“ถ้าอยากมีโชค เราก็ต้องเชื่อในโชค” เป็นคำกล่าวติดปากของฌาคส์ อารเปลส์ หลานชายของเอสแต็ลล์ อารเปลส์ ด้วยค่านิยมนี้ เขามักเด็ดใบโคลเวอร์สี่แฉกที่พบเจอในสวนหลังบ้านพักของตนย่านแฌร์มิญี-ลีเวค ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนครปารีสมาให้แก่สมาชิกในทีมของตนพร้อมแนบบทกวี “อย่าหยุดยั้ง” (Don’t Quit) เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคนมีความหวังตลอดไป

ความเชื่อในโชคคือหนึ่งค่านิยมหลักของเมซงมาตลอดนับแต่เริ่มก่อตั้ง อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นคอลเลกชันเครื่องประดับนำโชคอย่างแท้จริงเมื่อปีค.ศ. 1968 กับสร้อยคอยาว Alhambra เส้นแรก ด้วยแรงบันดาลใจจากรูปทรงใบโคลเวอร์สี่แฉก สัญลักษณ์นำโชคตามวัฒนธรรมสากล ความลงตัวของงานออกแบบสร้อยคอสายโซ่ร้อยโมทิฟ 20 แผ่นทำจากทองคำสีเหลืองอัดลายริ้วประดับงานเดินขอบรอบด้วยลูกปัดทองประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วด้วยรูปแบบโดดเด่นไม่ซ้ำใคร เป็นที่รู้จัก และจดจำได้ในฉับพลัน ก่อนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผลงานสัญลักษณ์ประจำเมซง สะท้อนถึงสไตล์เหนือกระแสความนิยมทางยุคสมัยของ Van Cleef & Arpels รวมถึงไหวพริบชั้นเลิศในการพลิกแพลงทักษะความชำนาญด้านต่างๆ เชิงหัตถศิลป์ เป็นเวลากว่าหลายทศวรรษที่คอลเลกชัน Alhambra ไม่เคยหยุดยั้งในการพัฒนารูปแบบให้รุดหน้า ก่อกำเนิดผลงานต่างรุ่นมากมาย ให้ความหลากหลายทางตัวเลือกทั้งในแง่ของขนาด และวัสดุ ขณะเดียวกัน ก็ยังดำรงลักษณะเฉพาะตัวจากผลงานรุ่นต้นแบบไว้ได้อย่างเป็นเลิศ และด้วยลูกเล่นทางการดัดแปลง พลิกแพลงวิธีสวมใส่ใช้งานของผลงานรุ่นใหม่ครั้งนี้ คืออีกครั้งซึ่งคอลเลกชัน Alhambra ได้จารึกบทใหม่ลงในหน้าประวัติศาสตร์ของตัวเอง

4. เกี่ยวกับ Van Cleef & Arpels
Van Cleef & Arpels ก่อตั้งขึ้น ณ อาคารเลขที่ 22 ของจัตุรัสว็องโดมแห่งกรุงปารีสเมื่อปีค.ศ. 1906 หลังการสมรสระหว่างอัลเฟร็ด แวน คลีฟกับเอสเธอร์ (หรือเป็นที่รู้จักในชื่อฝรั่งเศสว่า “เอสแต็ลล์”) อารเปลส์ในปีค.ศ. 1895 เป็นเวลากว่าหลายทศวรรษที่ความเป็นเลิศทางการสร้างสรรค์ของเมซงผู้ผลิตเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง และนาฬิกาข้อมือได้นำมาซึ่งชื่อเสียงอันเป็นที่กล่าวขวัญและยอมรับไปทั่วโลก ณ จุดบรรจบระหว่างประดิษฐกรรมกับความฝัน  Van Cleef & Arpels สืบทอดความเป็นนิรันดร์ให้แก่บรรดางานออกแบบ อันมีความโดดเด่นเป็นหนึ่ง ควรค่าแก่การเป็นสัญลักษณ์ประจำเมซงมาจวบจนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคฝังอัญมณีขึ้นตัวเรือนแบบซ่อนหนามเตย (Mystery Set), กระเป๋าเครื่องประดับมิโนดิเอร (Minaudière), สร้อยคอสายซิปซึ่งดัดแปลงวิธีสวมใส่ได้ ตลอดจนแผ่นโมทิฟอัลลองบรา (Alhambra) การเลือกใช้แต่เพียงรัตนชาติอันมีความพิเศษเป็นเลิศในการจุดประกายอารมณ์ ร่วมกับไหวพริบในการพลิกแพลงทักษะความชำนาญแขนงต่างๆ ทางงานหัตถศิลปจากแผนกห้องปฏิบัติการผลิตงานสร้างสรรค์ ได้ก่อกำเนิดคอลเลกชันเครื่องประดับอัญมณี และเครื่องบอกเวลาสุดวิจิตรบรรจงในการจุดประกายความฝัน และความสุขได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ, แฟชัน, นาฏกรรม หรือกระทั่งในโลกแห่งจินตนาการ บรรดาผลงานสร้างสรรค์ของเมซงล้วนใบเบิกทางให้ก้าวเข้าสู่อาณาจักรแห่งความงาม และความกลมกลืนซึ่งอยู่เหนือกระแสความนิยมของยุคสมัย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้