FRÉDÉRIC ARNAULT

Last updated: 12 ก.ย. 2566  |  1621 จำนวนผู้เข้าชม  | 

FRÉDÉRIC ARNAULT

สโลแกน "Swiss Avant-Garde Since 1860" เป็นสิ่งที่บรรยายความเป็นตัวตนของ TAG Heuer ได้อย่างไม่เกินไปกว่าความเป็นจริง เพราะนับตั้งแต่การก่อตั้งแบรนด์ โดย Edouard Heuer ในปี 1860 เรื่อยมาจนถึงยุคแห่งการบริหารงานของ Jack Heuer ช่วงปี 1960s TAG Heuer ได้สร้างผลงานระดับไอคอนนิคให้เป็นที่จดจำในอุตสาหกรรมหลากหลายคอลเลกชันด้วยการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ทั้งในแง่ของเทคนิคกลไก ไปจนถึงวิสัยทัศน์อันก้าวล้ำในการออกแบบและนำเสนอนาฬิกาในทิศทางที่แตกต่าง การดำรงตำแหน่งซีอีโอของ Frédéric Arnault นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2020 เป็นอีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นกับแบรนด์ TAG Heuer โดยเขาคือบุคคลที่นำพาทุกคนให้รู้จักแบรนด์ในฐานะผู้สร้างสรรค์สมาร์ทวอทช์ระดับไฮเอนด์ ผสานนวัตกรรมการเชื่อมต่อเข้ากับศาสตร์การผลิตนาฬิกาสู่การเผยโฉมคอลเลกชัน Connected ทั้งนี้นอกจากผลิตภัณฑ์นาฬิกาอัจฉริยะแล้ว การบอกเล่าถึงตัวตนอันเปี่ยมด้วยประสบการณ์อันยาวนานที่ TAG Heuer มี ผ่านมุมมองของคนหนุ่มรุ่นใหม่เช่นเขานั้น ถือเป็นความลงตัวที่ทำให้ TAG Heuer ยังคงมีทันสมัย และได้รับการพูดถึงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และยังคงอยู่ในใจคนรุ่นเก่าอยู่เสมอ

ปีนี้ TAG Heuer ได้มีการเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีคอลเลกชัน Carrera อย่างไร?  
แน่นอนครับ ปีนี้เราได้เริ่มจากเรือนเวลารุ่นลิมิเต็ดเอดิชัน Carrera Chronograph 60th Anniversary จำนวนจำกัด 600 เรือน โดยเปิดตัวไปในช่วงงาน LVMH Watch Week 2023 ที่ผ่านมา โดยมีแรงบันดาลใจการสร้างสรรค์จากการนำเอาเรือนเวลา Carrera รุ่นไอคอนนิคในอดีตมารีเอดิชันใหม่อีกครั้ง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีอย่างยิ่ง แต่เรายังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เรายังคงเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีของ Carrera ที่งาน Watches and Wonders ปีนี้ด้วย โดยเราได้เปิดตัวเรือนเวลา 2 รุ่นใหม่ ในตัวเรือนขนาด 39.0 มิลลิเมตร รูปทรงแบบ glass box เป็นการออกแบบตัวเรือนแบบไร้ขอบทำให้มีพื้นที่บนหน้าปัดมากขึ้น  แนวคิดในการสร้างสรรค์คอลเลกชันเรือนเวลาใหม่นี้แน่นอนว่ายังคงเป็นการนำเสนอแรงบันดาลใจจากอดีตของคอลเลกชัน Carrera โดยครั้งนี้เรานำเอาเรือนเวลาจากรุ่นปี 1963 อันมีเอกลักษณ์จากรุ่นดั้งเดิมแต่เราได้เสริมสัมผัสแห่งความทันสมัยเข้าไป นั้นคือการบรรจุกลไก in-house รุ่นล่าสุดของเราคือ Cal. Heuer 02 โดยเรือนเวลาใหม่ทั้ง 2 รุ่นจะเป็นเสมือนเป็นดีไซน์หลักรูปแบบใหม่ที่จะเกิดขึ้นในทศวรรษหน้าของคอลเลกชัน Carrera ไม่เพียงเท่านั้น เรายังได้สร้างแคมเปญแนะนำเรือนเวลารุ่นใหม่ผ่านภาพยนตร์สั้นความยาว 5 นาที ที่แสดงนำโดย Ryan Gosling ซึ่งเราเปิดตัวแคมเปญนี้ในวันที่ 20 เมษายน 2023 และเรารู้สึกตื่นเต้นมากกับการเฉลิมฉลองในครั้งนี้

ทั้งนี้จะมีการจัดอีเวนท์เพื่อการฉลองวาระครบรอบนี้ด้วยหรือไม่?
แน่นอนครับ เราจะมีการจัดงานที่ประเทศจีน โดยจะเป็นการจัดนิทรรศการที่เกี่ยวกับไลน์คอลเลกชัน Carrera โดยจะเป็นนิทรรศการแนวบอกเล่าประวัติความเป็นมาของคอลเลกชันนี้ รวมถึงการแสดงผลงานคอลเลกชันล่าสุด โดยเราวางแผนไว้ว่าอาจจะเป็นช่วงปลายปีราวเดือนกันยายน หรือตุลาคมครับ

เราอยากให้คุณช่วยอธิบายสักเล็กน้อยสำหรับคนที่อาจจะเพิ่งได้รู้จักกับแบรนด์ TAG Heuer ว่าคอลเลกชัน Carrera มีเรื่องราวความเป็นมาอย่างไร?
Carrera เป็นหนึ่งในคอลเลกชันนาฬิกาที่สำคัญของ TAG Heuer ที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1963 ส่วนชื่อคอลเลกชันที่เป็นไอคอนนิคนี้มาจากการแข่งขันรถยนต์ในเม็กซิโกรายการ Carrera Panamericana ซึ่งเป็นการแข่งขันที่อันตรายมากๆ โดยคอลเลกชันนี้เปิดตัวในแบบโครโนกราฟในครั้งแรก ซึ่งเป็นรูปแบบฟังก์ชันเสริมที่เหมาะแก่การแข่งขันรถแข่งเช่นนี้ โดยเราได้ผลิตเรือนเวลาคอลเลกชันนี้ในหลายรุ่นที่แตกต่างออกมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นที่มีกลิ่นอายความสปอร์ตอย่างเช่นเรือนเวลาทรง glass box ขนาด 39.0 มิลลิเมตรในปีนี้ ไปจนถึงรุ่นที่มีดีไซน์ไอคอนนิคไร้กาลเวลาอย่างเช่นรุ่น 3 เข็มในขนาด 36.0 มิลลิเมตร โดยในปีนี้เรานำเสนอพื้นหน้าปัดที่มีสีสันสดใสอย่างสีเขียวมินท์ หรือสีชมพู รวมถึงสีน้ำเงิน และสีเทาอีกด้วย กล่าวได้ว่า Carrera เป็นคอลเลกชันเรือธงของแบรนด์เรา และเป็นเรือนเวลายอดนิยมของวงการนาฬิกาอีกด้วย

TAG Heuer มีแผนที่จะนำเอากลไก Solar Quartz ไปบรรจุลงในนาฬิกาคอลเลกชันอื่นๆ ของตนเองหรือไม่?
ในขณะนี้ เรามีเรือนเวลาสองรุ่นจากคอลเลกชัน Aquaracer ที่ใช้กลไก Solar Quartz อยู่ เราคาดการณ์ไว้ว่าจะนำเอากลไกชนิดนี้บรรจุลงในนาฬิกาคอลเลกชัน Aquaracer หลายๆ รุ่น ซึ่งน่าจะใช้เวลาอีกสักสองสามปีที่จะน่าจะทำได้ตามเป้าหมายนี้ แต่ตอนนี้เรายังไม่มีแผนที่จะนำเอากลไกควอทซ์ไปใช้กับคอลเลกชันอื่นๆ เคยมีการใช้กลไกควอทซ์ในคอลเลกชัน Carrera บางรุ่นที่ผู้คนชื่อนชอบ แต่สำหรับแผนในอนาคตคือ เราจะใช้กลไกอัตโนมัติเท่านั้นสำหรับคอลเลกชัน Carrera 

ปีที่แล้ว TAG Heuer ได้นำเสนอเพชรสังเคราะห์ของตนเองขึ้น อยากให้คุณช่วยอธิบายถึงการสร้างเพชรชนิดนี้ขึ้นสักเล็กน้อย?
TAG Heuer เราเป็นแบรนด์ที่มีความเกี่ยวข้องกับนวัตกรรม ทั้งในเรื่องของกลไก วัสดุต่างๆ และเรามีโอกาสได้คิดค้นนวัตกรรมในด้านอัญมณีด้วย เราได้ตัดสินใจที่จะศึกษาในเรื่องของเพชรสังเคราะห์ หรือที่เราเรียกว่า Lab Growth Diamond เราไม่ได้สร้างเพชรชนิดนี้เพื่อมาเป็นข้อเปรียบเทียบกับเพชรธรรมชาติ เราสร้างเพชรสังเคราะห์ขึ้นเพื่อจุดประสงค์ของการนำเสนอด้านนวัตกรรม เพื่อนำเสนอเทคนิคทางการผลิตใหม่ที่ทำให้เราสามารถที่จะสร้างสรรค์เพชรให้มีรูปทรง สีสัน และความใส ได้ตามที่เราต้องการ ซึ่งไม่สามารถทำได้กับเพชรธรรมชาตินั่นเอง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราได้ทำมาผ่านเรือนเวลา Plasma ในปีที่แล้ว ซึ่งเพชรแต่ละเม็ดทั้งหมดที่ประดับอยู่บนตัวเรือน บนเม็ดมะยม และบนหน้าปัด โดยเป็นเพชรที่มาจากการเลี้ยงขึ้นเป็นชิ้นเดียว สำหรับปีนี้เราได้ก้าวขึ้นมาอีกขั้นในในเรื่องของการออกแบบ ทั้งในเรื่องของการนำเพชรไปประดับบนขอบตัวเรือน และสายนาฬิกา มากไปกว่านั้นเรายังได้สร้างเพชรที่มีสีเป็นครั้งแรก โดยนำเสนอเป็นสีชมพูด้วยครับ

ซึ่งเพชรดังกล่าวนี้คุณได้สร้างสรรค์ให้เป็นเม็ดมะยมชิ้นใหญ่ อย่างนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่ในอนาคตคุณจะสามารถที่จะสร้างเพชรที่มีขนาดใหญ่กว่านี้ ซึ่งอาจจะเป็นตัวเรือนได้เลยหรือไม่?
เรากำลังพัฒนาด้านนี้อยู่ครับ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาเพื่อที่จะศึกษาในด้านนี้ให้มากขึ้น

ในความเป็นเพชรสังเคราะห์ หลายคนรู้สึกตื่นเต้นกับนวัตกรรมนี้ ในขณะที่หลายคนก็อาจจะยังไม่เข้าใจถึงคุณค่าของเพชรชนิดนี้ คุณจะสื่อสารกับคนกลุ่มนี้อย่างไรให้พวกเขาเข้าใจ?
การสร้างเพชรสังเคราะห์เป็นเรื่องที่เราต้องใช้งบประมาณในการสร้างสรรค์ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังต้องใช้เวลาหลายร้อยชั่วโมงทั้งในการศึกษาวิจัย การพัฒนา การใช้เวลาในการเพาะเลี้ยง ไปจนถึงขั้นตอนการขัดแต่งต่างๆ รวมถึงบุคลากรต่างๆ ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมนี้ขึ้นมา ทั้งหมดนี้จึงทำให้เพชรชนิดนี้มีมูลค่าสูง ซึ่งกล่าวได้เลยว่าคุณภาพหรือคุณสมบัติของเพชร Lab Growth Diamonds นี้ มีค่าเที่ยบได้กับเพชรธรรมชาติ แต่เพชรของเราสามารถที่จะเลือกรูปทรงได้ตามต้องการ ซึ่งจุดนี้คือสิ่งที่ทำให้เพชรชนิดนี้มีมูลค่าสูงด้วย

คุณคือผู้ที่มีบทบาทในการสร้างแบรนด์ TAG Heuer ให้เป็นแบรนด์ที่พูดถึงในกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทวอทช์ระดับหรูได้สำเร็จ ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของการสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ Connected อะไรเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับคุณในตอนนั้น?
มีความท้าทายมากมายในตอนนั้น สิ่งหนึ่งคือเรื่องของวัฒนธรรมภายในองค์กรที่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะสมาร์ทวอทช์เป็นสิ่งที่มีความแตกต่างค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับนาฬิกากลไกจักรกล เราจึงมีทีมงานซึ่งมีฐานอยู่ในปารีสสำหรับการบริหารงานด้านเทคโนโลยีสมาร์ทวอทช์ เรามีทีมวิศวกรที่ดูแลทั้งด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ เรามีผู้บริหารด้านผลิตภัณฑ์ที่มาจากบริษัททางเทคนิคที่ดีที่สุดในฝรั่งเศสและจากประเทศต่างๆ รวมถึงเรื่องของระยะเวลาในการพัฒนาที่มีความแตกต่างจากนาฬิกากลไกจักรกล โดยสมาร์ทวอทช์จะมีระยะเวลารอบการพัฒนาที่สั้นกว่าในเรื่องของซอฟต์แวร์ และทัศนคติของกลุ่มลูกค้าก็มีความแตกต่างกัน สิ่งที่เราต้องทำในตอนนั้นคือเราต้องแน่ใจว่าทุกคนในองค์กรจะโอบรับนาฬิกา Connected ได้และไม่รู้สึกอคติกับสิ่งนี้ จึงกล่าวได้ว่า ความท้าทายที่สุดคือวัฒนธรรมองค์กรที่เปลี่ยนแปลงครับ

เหตุใดผู้ผลิตนาฬิกาจึงจำเป็นต้องเกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องความยั่งยืนนี้?
ความยั่งยืนเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมนาฬิกาอาจจะดูเหมือนไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง แต่จริงๆ แล้ว นาฬิกาก็ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ด้วยความที่นาฬิกาเองเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานที่ยืนยาวด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว นาฬิกาอยู่กับเราไปได้หลายสิบปี เรียกได้ว่าไม่กระทบกับเรื่องของการสร้างขยะแน่นอน อีกทั้งความยั่งยืนยังเป็นกระแสหลักในปัจจุบัน เป็นกระแสที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมนาฬิกามากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เราให้ความใส่ใจต่อเรื่องความยั่งยืน สิ่งหนึ่งที่เราทำได้คือ การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสม และรวมถึงการเลือกใช้วัสดุที่มากจากการรีไซเคิล ทั้งที่เป็นวัสดุโลหะ หรือวัสดุที่สามารถนำมาทำสายนาฬิกาได้ เราอาจจะยังไม่มีผลงงานให้เห็นอย่างชัดเจน แต่เราเองก็จะตระหนักและนำไปพัฒนาต่อไปครับ

TAG Heuer มีท่าทีอย่างไรในเรื่องของ สกุลเงินคริปโต, NFT หรือเรื่องของการทำธุรกิจออนไลน์?
เรามีแคมเปญต่างๆ มากมายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ อย่างแรกเลยคือเราได้ประกาศการรับสกุลเงินคริปโตสำหรับซื้อผลิตภัณฑ์นาฬิกาผ่านเว็บไซต์ของเรา ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดี รวมถึงเรายังได้ลงทุนในเรื่องของ NFT แต่เราไม่ได้สร้าง NFT ที่เป็นของเราเองเนื่องด้วยอาจจะยังมีความเสี่ยงอยู่ค่อยข้างมาก แต่เรายังคงให้ความสนใจในเรื่องนี้อยู่ เช่นว่าผลิตภัณฑ์สมาร์ทวอทช์ของเราสามารถที่จะแสดง NFT ที่ผู้สวมใส่มีในครอบครองบนหน้าจอได้ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่งถึงแม้ว่า สิ่งเหล่านี้จะยังเป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่ม แต่อย่างน้อยก็เป็นการแสดงออกว่าเราเปิดรับและให้ความสำคัญกับลูกค้าในกลุ่มนี้ อีกหนึ่งสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับ NFT ที่เราสามารถนำมาปรับใช้ได้คือการนำ NFT มาใช้กับระบบการรับประกันผลิตภัณฑ์ หรือเรื่องของการติดตามประวัติของนาฬิกาเรือนนั้นๆ ในกรณีของผลิตภัณฑ์มือสอง ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราให้ความสนใจและกำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา

ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาบริหารงานของ TAG Heuer คุณมีวิสัยทัศน์ในการรักษาจิตวิญญาณของแบรนด์อย่างไร?
เรารู้ตัวอยู่เสมอว่าเราคือใคร ซึ่งเป็นเสมือนแนวคิดรากฐานสำคัญของเรา และเรายังคงมีมุมมองที่สื่อสารต่อคนรุ่นใหม่ด้วย เราอยากที่จะเป็นแบรนด์ที่ทุกคนรับรู้ถึงความทันสมัย แม้ว่าเราจะเป็นแบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน สิ่งที่เราทำคือเราพยายามที่จะปรับบุคลิกผลิตภัณฑ์ของเราให้มีความทันสมัย เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีแรงบันดาลใจจากงานศิลปะ NFT ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความทันสมัยเช่นนี้ กลุ่มลูกค้าจะรู้สึกว่าเราไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่เชย แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ร่วมสมัย เราเป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการสร้างตัวตนของเรา เราไม่ได้สนใจเพียงเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่เรายังใส่ใจถึงความมุ่งหมายของเรา คุณค่าในตัวเรา อันสอดคล้องกับยุคสมัยที่เราอยู่ในวันนี้ เรามีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับกีฬา ฟอร์มูลาวัน การแข่งขันความเร็วต่างๆ สิ่งเหล่านี้สามารถถ่ายทอดตัวตนของเราให้ชัดเจนได้ยิ่งขึ้นครับ

คุณมองตลาดนาฬิกาในเมืองไทยอย่างไร?
ประเทศไทยเป็นตลาดนาฬิกาที่มีความเคลื่อนไหวและสำคัญตลาดหนึ่งของโลก และเป็นตลาดที่เรามีความผูกพันธ์อย่างยิ่งในอดีต เรามีแผนที่จะเปิดบูติกนาฬิกาของเราโดยจะเริ่มต้นในปีนี้ และคาดว่าจะมีการขยายสาขามากขึ้นภายในประเทศไทยเพิ่มอีก เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลิตภัณฑ์ระดับไอคอนของเราจะได้รับการตอบรับจากตลาดนาฬิกาไทยได้อย่างดีครับ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้