Last updated: 19 มิ.ย. 2568 | 246 จำนวนผู้เข้าชม |
Shapes of Extraleganza คอลเลกชั่นเครื่องประดับจิวเวลรีชั้นสูงล่าสุด ที่จะพาคุณไปสำรวจอย่างลึกซึ้งถึงแง่มุมแห่งความกล้าหาญ ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ไปจนถึงความหรูหราที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน อันเป็นแก่นแท้ของสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเมซง โดยหลังจากเปิดตัวคอลเลกชั่น Essence of Extraleganza ไปเมื่อปีที่แล้ว คอลเลกชั่นใหม่ในชื่อ Shapes of Extraleganza นี้ จัดเป็นผลงานการสร้างสรรค์ครั้งที่สองในคอลเลกชั่นไตรภาค ที่เป็นเสมือนการสำรวจรากฐานแห่งความสร้างสรรค์ของ Piaget ในช่วงปี 1960s และ 1970s โดยเป็นการขยายขอบเขตแนวคิดและเสริมความทันสมัย ก้าวข้ามขีดจำกัดทั้งในแง่ของการออกแบบและงานหัตถศิลป์ ท้าทายแนวคิดดั้งเดิม ปลุกความอาจหาญและความฉลาดหลักแหลมของแบรนด์ขึ้นใหม่อีกครั้ง
Shapes of Extraleganza บอกเล่าความสัมพันธ์อันทรงพลังของ Piaget ที่มีต่อศิลปะและศิลปินต่างๆ เป็นการเชิดชูความร่วมมือระหว่างเมซงและศิลปินที่มีชื่อเสียง อันได้แก่ Salvador Dali, Arman หรือแม้แต่นักสะสมที่มีชื่อเสียงอย่าง Andy Warhol ซึ่งความร่วมมือทั้งหลายนั้นเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติจากมิตรภาพของ Yves Piaget ที่มีให้กับเหล่าศิลปินและบรรดาปัญญาชนผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงศิลปะในช่วงเวลานั้น ที่ได้มารวมตัวกันเป็นกลุ่มคนสนิทของเขา หรือในชื่อที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่า “Piaget Society” ซึ่งความร่วมมือทั้งหลายนี้ได้รับการผลักดันจากวิสัยทัศน์ของ Yves Piaget ผสานกับความคิดสร้างสรรค์ของทีมนักออกแบบจากสตูดิโอ Piaget นำโดย Jean-Claude Gueit นักออกแบบนาฬิกาชื่อดัง รวมถึงงานหัตถศิลป์จากบรรดาช่างฝีมือของ Piaget ที่ยกระดับให้ผลงานเครื่องประดับอัญมณีก้าวขึ้นสู่สถานะใหม่บนโลกแห่งศิลปะและการออกแบบ อย่าง คอลเลกชั่นเครื่องประดับ 21st Century ที่เป็นเสมือนหมุดหมายสำคัญของ Piaget ที่เปิดตัวครั้งแรกในงาน Basel เมื่อปี 1969 ก็สะท้อนถึงบรรยากาศการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ศิลปะ การออกแบบ แฟชั่น สถาปัตยกรรม และเสรีภาพทางความคิดในยุคนั้นได้อย่างสมบูรณ์ ในวันนี้ Shapes of Extraleganza ได้เผยโฉมออกมาด้วยพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์และความตื่นเต้นอีกครั้ง ผ่านการนำเสนอเครื่องประดับที่เปี่ยมด้วยความร่วมสมัยและมีความหมายทางวัฒนธรรม พร้อมการก้าวเข้าสู่โลกศิลปะและการออกแบบอันร่วมสมัยอย่างสง่างาม
Unexpected Encounters
Shapes of Extraleganza คอลเลกชั่นเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูงประจำปี 2025 ภายใต้ซีรีส์ Extraleganza ที่ชวนคุณดำดิ่งลึกลงไปสู่มรดกทางศิลปะของ Piaget - ความกล้าที่จะทดลอง ตลอดจนผลลัพธ์ที่ยากจะคาดเดา แต่กลับสร้างความรู้สึกแห่งความคุ้นเคยอย่างอบอุ่น คือสิ่งที่สะท้อนถึงความเป็น Shapes of Extraleganza ในทุกองค์ประกอบ
ไม่ว่าจะเป็น การศึกษาถึงรูปทรง สีสัน ผิวสัมผัส ความเข้มของแสง รวมไปถึงวิวัฒนาการอันซับซ้อนแห่งการเล่นกับรูปทรงอย่างทรงพลังของเมซง ผลงานแต่ละชิ้นถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยหยิบเอาความหลากหลายทางด้านรูปทรงและเส้นสาย ตั้งแต่ สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม เส้นซิกแซก ลายคลื่น วงกลม มาเชื่อมโยง ซ้อนทับกันอย่างมีสไตล์ อีกทั้งมอบความรู้สึกสนุกสนานในคราวเดียว โดยผลงานทั้ง 51 ชิ้น ได้แสดงให้เห็นถึงการที่ Piaget เล่นกับลายเส้นกราฟฟิก รูปทรงเรขาคณิต สามเหลี่ยมที่เฉียบคม ไปจนถึงรูปทรงอิสระตามธรรมชาติ รวมถึงการอ้างอิงถึงศิลปะแนว Pop Art, Op Art ลวดลายก้นหอยที่มักพบในแฟชั่นยุค 70 หรือเส้นโค้งมนอันเป็นดีไซน์เฉพาะตัวของยุค 60 เรียกได้ว่าเป็นการพบกันระหว่างโลกแห่งไฮจิวเวลรีและวัฒนธรรมป็อปที่ลงตัว
เครื่องประดับแต่ละชุดได้ถ่ายทอดแนวคิดทางศิลปะที่แตกต่างกัน ซึ่งได้หลอมรวมกาลเวลาสู่การบรรจบกันของอดีตและปัจจุบัน ประวัติศาสตร์และความทันสมัย ทั้งยังมีความเย้ายวนและยากที่จะคาดเดาในแบบฉบับของ Piaget
ชุดผลงานส่วนใหญ่ประกอบด้วย นาฬิกา ที่เผยความเชี่ยวชาญอันโดดเด่นของเมซง ทั้งในด้านการสร้างสรรค์เครื่องประดับอัญมณีชั้นสูงและการประดิษฐ์นาฬิกาชั้นสูงที่ผสมผสานกันอย่างสมดุลและสมบูรณ์แบบ
ด้วยจิตวิญญาณแห่งความสนุกสนานต่อการฉีกกฎเกณฑ์เดิม Shapes of Extraleganza ได้ผสมผสานเทคนิคและวัสดุอันเป็นเอกลักษณ์ของ Piaget ไว้อย่างมีชีวิตชีวาเช่นกัน โดยเฉพาะหินล้ำค่าที่เคยถูกนำมาใช้ตกแต่งเป็นพื้นหน้าปัดนาฬิกาครั้งแรกเมื่อช่วงปี 60 ในวันนี้ได้หวนกลับมาอีกครั้งในรูปแบบโมเสกลายเส้นสีสันสดใสซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะ Op Art อันเห็นได้จากชุดเครื่องประดับ Kaleidoscope Lights ที่ประกอบด้วย สร้อยคอลายเส้นขนาดใหญ่ ต่างหูระย้ายาว แหวน ไปจนถึงนาฬิกาพร้อมหน้าปัดแต่งลายรัศมีดวงอาทิตย์ โดยความพิเศษของเครื่องประดับชุดนี้ คือ การเลือกใช้หินแร่อันล้ำค่าต่างชนิด รวมถึงหินหายาก อย่าง โรโดโครไซต์ ซูจิไลต์ และเวอร์ไดต์ โดยนำมาผ่านการเจียระไนอย่างพิถีพิถันให้เป็นแผ่นโค้งที่มีความหนาต่างกัน จากนั้นจึงนำมาจัดวางเรียงกันจนเกิดเป็นลวดลายที่สวยงามน่าอัศจรรย์
ขณะที่กระแส “หวนคืนสู่ธรรมชาติ” จากยุค 1970 ได้รับการถ่ายทอดผ่านเครื่องประดับชุด Flowing Curves อันมีการออกแบบรูปทรงอิสระที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งประกอบด้วยโอปอลสีดำหายาก ประดับฝังลงบนตัวเรือนไวท์โกลด์ที่ตีขึ้นรูปด้วยมืออย่างประณีต เป็นเทคนิคเฉพาะจาก House of Gold เกิดเป็นลวดลาย Decor Palace อันโด่งดัง ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องประดับชุดนี้ยังเป็นผลงานที่แสดงความเคารพต่อความหลงใหลในโอปอลของ Yves Piaget อีกด้วย ดังคำที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า เขาสามารถมองเห็น “โลกทั้งใบที่สร้างขึ้นด้วยรสนิยมและความรู้สึกที่หลากหลาย”
อัญมณีล้ำค่าทั้งหลายที่ผ่านการคัดสรรด้วยความเชี่ยวชาญ ไม่เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งความสวยงามและความหาได้ยากยิ่งเท่านั้น แต่หัวใจสำคัญไม่แพ้กัน คือ เพื่อให้ได้มาซึ่งอัญมณีที่มีคุณค่าทางศิลปะ เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับธีมของเครื่องประดับแต่ละชุด ไปจนถึงมีบทบาทในการจัดองค์ประกอบที่สำคัญ ทั้งในแง่ของสีสัน แสง และรูปทรง ดังเช่น
สปิเนลสีแดงและสีชมพูอมส้มอันหายาก ที่งดงามโดดเด่นเป็นจุดศูนย์กลางของเครื่องประดับชุด Wave Illusion
ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากสีสันสดใส เส้นเรขาคณิตอันบริสุทธิ์ และความเบิกบานอย่างไร้เดียงสาแบบเด็กน้อย จากกระแส Memphis ในปี 1980
ขณะที่แซฟไฟร์สีเหลืองอร่ามราวกับประกายแสงแดด เป็นหัวใจของเครื่องประดับชุด Curved Artistry อันเต็มไปด้วยโทนสีลูกกวาด ประกอบด้วยชิ้นงานไฮไลท์ อย่าง แหวนซ่อนนาฬิกา (Secret Ring Watch) อันเป็นผลงานเอกลักษณ์จากการสร้างสรรค์ของ Piaget ในยุค 1940s โดยหน้าปัดนาฬิกาฝังเพชรจะถูกซ่อนไว้ภายใต้อความารีนทรงหลังเบี้ยใสที่ส่องประกาย ส่วนมรกตโคลอมเบียอันน่าหลงใหลและเปี่ยมด้วยความเย้ายวน ถูกนำมาประดับลงบนเครื่องประดับชุด Gleaming Shapes และ Arty Pop
ในส่วนของนาฬิกากำไลข้อมือสองเรือนจากชุด Joyful Twirls ที่มีสายกำไลข้อมืออันพริ้วไหวอ่อนนุ่มและลวดลายแวววาว เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาจากสีสันของอัญมณีที่ปูประดับด้วยเทคนิค Pavé โดยนาฬิการุ่นแรกประดับด้วยแซฟไฟร์สีน้ำเงินเข้มในสองเฉดที่ให้ความรู้สึกลึกลับ ในขณะที่นาฬิกาอีกรุ่นแต่งแต้มในโทนสีส้มจัดจ้านจากสเปซซาร์ไทต์การ์เนตและแซฟไฟร์สีชมพูที่ตัดกันอย่างเจิดจ้า กำไลข้อมือได้รับการตกแต่งพื้นผิวอย่างประณีตให้มีความคล้ายกับผ้าไหมได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งเป็นผลจากศิลปะการฝังอัญมณีขั้นสูง และที่สำคัญไม่แพ้กันคือการทำงานด้วยกลไก
ขึ้นลานอัตโนมัติที่มีความบางเป็นพิเศษ
Art in Motion
ปิดท้ายด้วยผลงานชิ้นเอกของคอลเลกชั่นนี้ที่สร้างความตื่นตะลึง นั่นคือ Endless Motion นาฬิกาตั้งโต๊ะที่ออกแบบและประดิษฐ์ขึ้นให้เสมือนเป็นงานประติมากรรมที่เคลื่อนไหวได้ (Mobile Sculpture) ผลงานชิ้นนี้เป็นตัวแทนแห่ง
สายสัมพันธ์ของ Piaget ที่มีให้กับโลกศิลปะและศิลปินทั้งหลาย อีกทั้งยังเป็นผลงานที่รังสรรค์เพื่อยกย่องอัจฉริยภาพของ Alexander Calder และผลงานศิลปะแนวจลศาสตร์จากยุค 1970 กล่าวได้ว่าเป็นการเฉลิมฉลองให้กับการสร้างสรรค์บนแนวทาง “Play of Shape” หรือการเล่นกับรูปทรงที่เมซงยึดมั่นมาอย่างยาวนาน
เพื่อการสร้างสรรค์ที่ทลายขนบสู่ความล้ำสมัย Piaget จึงได้มอบหมายให้ Alex Palenski ศิลปินชาวฝรั่งเศสผู้เชี่ยวชาญในงานประติมากรรมเคลื่อนไหว และยังเป็นสหายของเมซง มารับหน้าที่ในการออกแบบและผลิตผลงานชิ้นดังกล่าว โดยนาฬิกาตั้งโต๊ะนี้ประกอบด้วยหน้าปัดโอปอลสีดำขนาดใหญ่รูปทรงรีแนวนอน ประดับด้วยทองที่ตกแต่ง
ในลวดลาย Decor Palace พร้อมด้วยกิ่งก้านของโครงสร้างโมบายที่แผ่ขยายออก ซึ่งแต่ละกิ่งประดับด้วยหินล้ำค่าที่มีรูปร่างตามธรรมชาติในเฉดสีน้ำเงินและเขียว เพื่อให้สะท้อนแสงวาบของโอปอลสีดำ
นาฬิกาตั้งโต๊ะ Endless Motion แสดงถึงจุดสูงสุดของความเป็น Extraleganza อันเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งความขบถของ Piaget ความรู้สึกของการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องที่ก่อเกิดพลังแห่งความสร้างสรรค์ของเมซง พร้อมร่ายรำระบำแห่งแสงและเงาอย่างงดงาม
@Piaget #Piaget #MaisonOfExtraleganza #HouseOfGold #PiagetHighJewellery #ShapesOfExtraleganza #DPromptCommunication
18 มิ.ย. 2568
17 มิ.ย. 2568
15 มิ.ย. 2568
18 มิ.ย. 2568