BVLGARI Geneva Watch Days 2025

Last updated: 10 ก.ย. 2568  |  215 จำนวนผู้เข้าชม  | 

BVLGARI Geneva Watch Days 2025

บุลการี (BVLGARI) ได้หวนคืนสู่งานเจนีวา วอทช์ เดย์ส 2025 (Geneva Watch Days 2025) ด้วยการย้อนอดีตครั้งยิ่งใหญ่ที่ติดตามการทำลายสถิติการประดิษฐ์นาฬิกาเรือนบางพิเศษในคอลเลคชั่น ออคโต ฟินิสซิโม (Octo Finissimo) จากการผสมผสานอย่างกล้าหาญระหว่างงานออกแบบสไตล์อิตาเลียนและความเชี่ยวชาญด้านกลไกของสวิส นิทรรศการนี้ได้วาดแผนภูมิตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งทศวรรษแห่งการบุกเบิกนวัตกรรมเครื่องบอกเวลา และยังสร้างเวทีให้กับการเปิดตัวครั้งแรกของผลงานรังสรรค์ใหม่อันแสนพิเศษ ของนาฬิการุ่น ออคโต ฟินิสซิโม ลี ยูฟัน x บุลการี (Octo Finissimo Lee Ufan x Bvlgari)  ที่พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือของศิลปินชาวเกาหลี และนาฬิการุ่น ออคโต ฟินิสซิโม มาร์เบิล ทูร์บิญอง (Octo Finissimo Marble Tourbillon) ซึ่งถ่ายทอดความโดดเด่นของหน้าปัดตัดเจียรจากหินอ่อนอิตาลีสีน้ำเงินเข้ม


เจนีวา วอทช์ เดย์ส ที่ซึ่งความคิดสร้างสรรค์แห่งการประดิษฐ์นาฬิกาได้ครองเวทีอันโดดเด่น
เมื่อฤดูร้อนกำลังจะผ่านพ้นไป ผู้คนซึ่งหลงใหลในนาฬิกาต่างมารวมตัวกัน ณ ริมชายฝั่งทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva) เพื่อร่วมงานแห่งปี อย่าง เจนีวา วอทช์ เดย์ส (Geneva Watch Days) ภายใต้บรรยากาศอันใกล้ชิดและเป็นกันเองมากกว่างานจัดแสดงเรือนเวลาสำคัญอื่น ๆ ของอุตสาหกรรม นับจากการเปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2020 โดยความคิดริเริ่มของ ฌอง-คริสตอฟ บาแบง (Jean-Christophe Babin) ซีอีโอแห่ง แอลวีเอ็มเอช วอทช์ (LVMH Watches) และซีอีโอของบุลการี งานเจนีวา วอทช์ เดย์ส ได้นำเสนอมุมมองอันแปลกใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการประดิษฐ์นาฬิกาอันร่วมสมัย


“งานนี้ถือกำเนิดขึ้นจากความปรารถนาที่จะคิดวิธีและรูปแบบใหม่ในการเชื่อมโยงถึงกันภายในอุตสาหกรรม ด้วยความใกล้ชิด หลากหลาย และผสานความร่วมมือกันได้มากยิ่งขึ้น ตลอดระยะเวลา 5 ปี งานนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในการนัดพบสำคัญบนปฏิทินแห่งวงการเครื่องบอกเวลา ไม่เพียงเฉพาะสำหรับแบรนด์ที่มีชื่อเสียง แต่ยังรวมถึงผู้เล่นอิสระที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน” ฌอง-คริสตอฟ บาแบง ในฐานประธานของ เจนีวา วอทช์ เดย์ส กล่าว


งานเจนีวา วอทช์ เดย์ส เปิดประตูต้อนรับสาธารณชนให้สามารถเข้าชมได้ฟรี โดยจัดแสดงความคิดสร้างสรรค์แห่งเครื่องบอกเวลาใหม่ล่าสุด และสำหรับบุลการีแล้ว นับเป็นโอกาสในการนำเสนอการแสดงออกใหม่ ๆ ที่สะท้อนถึงความกล้าหาญอันเป็นเอกลักษณ์และภาษางานออกแบบเฉพาะตัวของแบรนด์ ในปีนี้ เมซงแห่งโรมัน (Roman Maison) ได้เผยโฉมนิทรรศการครั้งแรก ในรูปแบบของการย้อนรอยหวนคืนสู่วิวัฒนาการของ ออคโต ฟินิสซิโม นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกขึ้นในปี ค.ศ. 2014 สู่ตำนานการสร้างสรรค์สำคัญต่าง ๆ พร้อมทั้งยังเปิดตัวการตีความใหม่ภายใต้นาฬิกา 2 รุ่นพิเศษในคอลเลคชั่นสัญลักษณ์นี้อีกด้วย

การย้อนเวลาครั้งแรกของมหากาพย์แห่ง ออคโต ฟินิสซิโม
นาฬิกา ออคโต ฟินิสซิโม ทุก ๆ รุ่นคือตัวแทนของทั้งความสำเร็จทางเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ ทั้งยังเป็นการเข้าถึงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนของความสลับซับซ้อนในการรังสรรค์นาฬิกาดั้งเดิม และยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นโดยการเสาะแสวงหาซึ่งความบางสูงสุด ที่ในช่วงระยะเวลาเพียง 11 ปี คอลเลคชั่นนี้ก็ได้สร้างสถิติโลกอันน่าทึ่งมาแล้วถึง 10 ครั้ง 

ณ งานเจนีวา วอทช์ เดย์ส 2025 บุลการีได้นำเสนอนิทรรศการการย้อนรอยสู่เรื่องราวของ ออคโต ฟินิสซิโม เป็นครั้งแรก ด้วยการถ่ายทอดรายละเอียดและความรู้เชิงลึก ที่บอกเล่าถึงสไตล์อันหยั่งรากลึกของรูปทรงแปดเหลี่ยมที่ได้มาจากมหาวิหารแมกเซนเทียส (Basilica of Maxentius) ในกรุงโรม สู่งานออกแบบนาฬิกา ออคโต (Octo) อันประณีตละเอียดอ่อนในช่วงต้นทศวรรษ 2000 และนับเป็นการเปิดตัวสุนทรียะความสวยงามอันกล้าหาญและล้ำสมัยรูปแบบใหม่แห่งศตวรรษที่ 21


สืบทอดความเชี่ยวชาญของโรงงานการผลิตที่เป็นต้นตำรับของสวิส บุลการีได้ออกเดินทางสู่การสำรวจความสลับซับซ้อนแห่งเครื่องบอกเวลาอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยการคิดค้นรูปทรงและสัดส่วนขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่ได้นำทางมาสู่การสร้างสรรค์คอลเลคชั่น ออคโต ฟินิสซิโม และในเวลาต่อมายังได้ขยายพรมแดนสู่การรังสรรค์ผลงานรุ่นต่าง ๆ ของ ออคโต ฟินิสซิโม อัลตร้า (Octo Finissimo Ultra) ที่ในนิทรรศการครั้งนี้ได้นำผลงานสำคัญ ๆ มาร่วมถ่ายทอดถึงการเดินทางอันต่อเนื่องและก้าวล้ำสมัยของ ออคโต ฟินิสซิโม ตั้งแต่นาฬิกาอันน่าทึ่ง อย่าง ออคโต ฟินิสซิโม ทูร์บิญอง (Octo Finissimo Tourbillon) ปี ค.ศ. 2014 ที่มาพร้อมกลไกทูร์บิญองบางพิเศษ บีวีแอล 268 (BVL 268) ซึ่งวัดความหนาได้เพียง 1.95 มม. จนถึงเรือนเวลาอันน่าอัศจรรย์ของ ออคโต ฟินิสซิโม อัลตร้า ทูร์บิญอง (Octo Finissimo Ultra Tourbillon) ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2025 ณ งาน วอทช์ส แอนด์ วันเดอร์ส (Watches and Wonders) กับความบางพิเศษของตัวเรือนเพียง 1.85 มม. ผลงานสร้างสรรค์แต่ละก้าวอันสำคัญเหล่านี้ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวของความสำเร็จและการเข้าถึงเชิงสร้างสรรค์เพียงหนึ่งเดียว ขณะที่นิทรรศการนี้ยังได้เผยถึงความสอดคล้องและการเติมเต็มซึ่งกันและกันของคอลเลคชั่น อัลตร้า (Ultra) และฟินิสซิโม (Finissimo) ร่วมไปกับอีกหลากหลายตัวอย่างแห่งความร่วมมือเชิงศิลป์ที่มีมาอย่างต่อเนื่องของบุลการี

นาฬิกา ออคโต ฟินิสซิโม แต่ละรุ่นล้วนสะท้อนถึงการเสาะหาซึ่งการแสดงออกอันบริสุทธิ์และความเป็นเลิศทางเทคนิค โดยเรือนเวลาเหล่านี้ยังคงเดินหน้าผลักดันพรมแดนใหม่ ๆ ไม่เพียงเฉพาะในแง่ของโครงสร้างกลไก สถาปัตยกรรมตัวเรือน และศิลปะแห่งการรังสรรค์แบบเปลือยโปร่งหรือสเกเลตัน (skeletonisation) แต่ยังรวมไปถึงการมองหาตัวเลือกใหม่ ๆ ของวัสดุ นับจากทองและแพลทินัมที่เป็นสองโลหะล้ำค่าซึ่งเป็นดั่งหัวใจของเอกลักษณ์เฉพาะตัวของบุลการี และสตีลซึ่งเป็นเสาหลักของการประดิษฐ์นาฬิกา เช่นเดียวกับวัสดุอันล้ำสมัยอื่น ๆ อาทิ ไทเทเนียม คาร์บอน เซรามิก และทังสเตนคาร์ไบด์ โดยแต่ละตัวเลือกล้วนเป็นความท้าทายและได้สร้างนิยามใหม่ให้กับโอกาสในการรังสรรค์เรือนเวลาด้วยความบางพิเศษของเมซงเช่นกัน คอลเลคชั่น ออคโต ฟินิสซิโม จึงเป็นดั่งตัวแทนของนวัตกรรมอันล้ำสมัยในรูปแบบที่สามารถจับต้องได้ 


ผู้เยี่ยมชมนิทรรศการจะได้ค้นพบกับหลากหลายเรื่องราวความสำเร็จที่มีบทบาทสำคัญสูงสุดต่อคอลเลคชั่นนี้ ซึ่งรวมไปถึงผลงาน ออคโต ฟินิสซิโม ออโตเมติก (Octo Finissimo Automatic) ปี ค.ศ. 2017 ด้วยความบางเพียง 5.15 มม. เป็นดั่งรุ่นตัวอย่างแห่งการผสมผสานความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างงานออกแบบสไตล์อิตาเลียนและความเชี่ยวชาญทางจักรกลของสวิส ซึ่งถ่ายทอดผ่านสุนทรียะความสวยงามอันเรียบง่ายหรือสไตล์มินิมัลลิสต์ได้อย่างลงตัว  

นอกจากนี้ ผู้เยี่ยมชมจะได้พบกับเรือนเวลาอันทรงเกียรติ อย่าง ออคโต ฟินิสซิโม เพอร์เพทชวล คาเลนดาร์ (Octo Finissimo Perpetual Calendar) ในตัวเรือนไทเทเนียม ซึ่งชนะรางวัลเข็มทอง (Aiguille d’Or) ในงานกรังด์ปรีซ์ เดอ’ออร์โลเฌอรี เดอ เฌแนฟ (Grand Prix d’Horlogerie de Genève) ปี ค.ศ. 2021 และยังคงเป็นนาฬิกาปฏิทินถาวรหรือเพอร์เพทชวล คาเลนดาร์ (perpetual calendar) ที่บางที่สุดในโลกด้วยความบางเพียง 5.80 มม.



เช่นเดียวกับการจัดแสดงผลงานรุ่น ออคโต ฟินิสซิโม มินิท รีพีทเตอร์ (Octo Finissimo Minute Repeater) จากปี ค.ศ. 2016 ซึ่งสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับนาฬิกาตีเสียงบอกเวลา หรือมินิท รีพีทเตอร์ (minute repeater) ตลอดจนผลงานอันกล้าหาญของ ออคโต ฟินิสซิโม สเกเลตัน 8 เดย์ส (Octo Finissimo Skeleton 8 Days) จากปี ค.ศ. 2022 ที่ผสมผสานงานเปลือยโปร่งหรือโอเพนเวิร์ก (openwork) อันประณีตเข้ากับการสำรองพลังงานได้นานถึง 8 วัน ภายใต้ความสง่างามของตัวเรือนโรสโกลด์ที่บางเพียง 5.95 มม. และนาฬิกา ออคโต ฟินิสซิโม มินิท รีพีทเตอร์ ในตัวเรือนคาร์บอนและไทเทเนียมซึ่งเปิดตัวในปี ค.ศ. 2024

ผลงานรังสรรค์เหล่านี้ล้วนตอกย้ำถึงพรมแดนการสร้างสรรค์อันน่าทึ่ง ผ่านความสามารถอันหลากหลายของเรือนเวลาที่นับเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของบุลการี โดยเฉพาะการถ่ายทอดถึงการตีความเชิงจินตนาการและความกล้าหาญอันเป็นธรรมชาติของเมซง เฉกเช่นในนาฬิการุ่นล่าสุด อย่าง ออคโต ฟินิสซิโม ลี ยูฟัน x บุลการี

ออคโต ฟินิสซิโม ผืนผ้าใบแห่งความไม่มีที่สิ้นสุด
แม้ว่าจะมีชื่อเสียงด้านความสลับซับซ้อนและมิติความสง่างามอันลุ่มลึก กระนั้น ออคโต ฟินิสซิโม ก็ยังคงสื่อสารถึงความบริสุทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ กับความงดงามของตัวเรือนทั้งในเชิงสถาปัตยกรรมและเชิงภาพกราฟิกที่ไม่เหมือนใครในอุตสาหกรรมการประดิษฐ์นาฬิกา โดยได้รับแรงบันดาลใจอันภาคภูมิมาจากผลงานอ้างอิงอันแสนคลาสสิกต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรูปทรงแปดเหลี่ยมของมหาวิหารแมกเซนเทียสในกรุงโรม ขณะเดียวกันก็ยังคงหล่อหลอมไว้ด้วยรหัสแห่งงานออกแบบอันร่วมสมัยได้อย่างสมดุลและกลมกลืน 

โดยตลอดระยะเวลาหลายปี บุลการียังได้เชื้อเชิญเหล่าศิลปินและสถาปนิกมาร่วมตีความใหม่ให้กับตัวเรือนไอคอนิกนี้ เช่นในปี ค.ศ. 2020 ที่ทาดาโอะ อันโด (Tadao Ando) ได้แสดงออกถึงวิสัยทัศน์แห่งเวลาของเขาไว้บนนาฬิกาซึ่งมีตัวเรือนทำจากเซรามิกสีดำ และฝาหลังแบบโปร่งใสที่ประทับไปด้วยลายเซ็นของสถาปนิกท่านนี้ ขณะที่ในปี ค.ศ. 2024 โลรองต์ กราสโซ (Laurent Grasso) ได้ออกสำรวจถึงการรับรู้ของเวลาผ่านมิติแห่งภาพอันลึกซึ้ง โดยการตกแต่งที่สร้างสรรค์กลายเป็นมุมมองแห่งความลุ่มลึกและนำมาสู่ชีวิตผ่านก้อนเมฆแห่งสีสัน ซึ่งใช้กระบวนการพิมพ์สกรีนหรือพิมพ์ลายฉลุและการใช้เม็ดสีโลหะ ราวกับการสาดสีลงบนผืนผ้าใบเปล่า ที่ความมหัศจรรย์ของปรากฏการณ์แห่งช่วงเวลาได้ถูกบันทึกไว้ตลอดกาลบนพื้นผิวของเรือนเวลา



ขยายพรมแดนด้านเรือนเวลาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ด้วยผลงาน ออคโต ฟินิสซิโม สเก็ตช์ (Octo Finissimo Sketch) ที่แสดงออกถึงความซับซ้อนของกลไกภายใน ผ่านภาพร่างที่วาดไว้โดย ฟาบริซิโอ บัวนามาสซา สติกลิอานี (Fabrizio Buonamassa Stigliani) ด้วยลายเส้นธรรมชาติ มีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยจังหวะ ซึ่งตอกย้ำคุณลักษณะสำคัญของไอคอน อย่าง ฟินิสซิโม โดยการผสมผสานความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเข้ากับการแสดงออกเชิงศิลป์ ด้วยหน้าปัดที่เปรียบดั่งผืนผ้าใบเปล่าที่กลายเป็นอาณาจักรแห่งการสำรวจเชิงศิลป์อย่างไม่มีสิ้นสุด เช่นเดียวกับความมุ่งมั่นที่แสดงออกโดย ออคโต ฟินิสซิโม ออโตเมติก ไทเทเนียม (Octo Finissimo Automatic Titanium) กับความร่วมมือของ ฮิโรชิ เซนจู (Hiroshi Senju) โดยงานศิลปะอันเปี่ยมด้วยห้วงอารมณ์ความรู้สึกของเซนจูนี้ ได้เปลี่ยนหน้าปัดเรือนเวลาให้กลายเป็นงานศิลปะย่อส่วนชิ้นเอก สะกดไว้ด้วยความสวยงามเหนือจินตนาการของภูมิทัศน์ใต้น้ำอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา

ออคโต ฟินิสซิโม ลี ยูฟัน x บุลการี
ในปีนี้ เมซงได้ต้อนรับศิลปินชาวเกาหลีใต้จากประเทศญี่ปุ่น อย่าง ลี ยูฟัน (Lee Ufan) สู่ความร่วมมือในการสื่อสารถึงศิลปะผ่านเรือนเวลา โดยในฐานะจิตรกร กวี และนักปรัชญา ลี ยูฟัน ได้สำรวจความเชื่อมโยงมากมายระหว่างจิตใต้สำนึกของมนุษย์ ธรรมชาติ และจักรวาล ผสมผสานกับศิลปะของเขาเองที่มีศูนย์กลางอยู่บนการรับรู้และการมีอยู่ บนเสียงสะท้อนทางอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อวัตถุสิ่งของมากกว่าเพียงภาพที่แสดงออกให้เห็น 

โดยในนาฬิกา ออคโต ฟินิสซิโม ลี ยูฟัน x บุลการี นับเป็นผลลัพธ์แห่งการแลกเปลี่ยนอันรุ่มรวยและเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจระหว่าง ฟาบริซิโอ บัวนามาสซา สติกลิอานี ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ของบุลการี และศิลปินชาวเกาหลี ลี ยูฟัน งานออกแบบนี้ยังมีพื้นฐานมาจากหนึ่งในแนวคิดหลักของศิลปิน นั่นคือ ความแตกต่างกันระหว่างหินซึ่งมีความคงที่และจำกัด และการสะท้อนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของกระจกเงา “ผมรู้จักลี ยูฟัน จากภาพวาดอันน่าอัศจรรย์ของเขา หลังจากนั้น ผมยังได้ค้นพบงานประติมากรรมอีกหลายชิ้นของเขา ที่มีหินตั้งอยู่บนกระจกเงา ซึ่งทำให้ผมรู้สึกสนใจมากขึ้น เพราะในตอนแรกคุณอาจจะคิดว่าองค์ประกอบทั้งสองอย่างนี้ไม่น่ามาอยู่รวมกันได้ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว มันกลับทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ” ฟาบริซิโอ บัวนามาสซา สติกลิอานี เผย


มากไปกว่าการบรรจุไว้ด้วยหน้าปัดแบบกระจกเงา และตอกย้ำความโดดเด่นอันประณีตละเอียดอ่อนด้วยเข็มนาฬิกาสีดำ แต่ด้วยตัวเรือน ออคโต ฟินิสซิโม เองก็ช่วยขยายความสง่างามนี้ได้อย่างดี ผลลัพธ์อันน่าทึ่งภายในนาฬิกาตัวเรือนและสายที่ทำจากไทเทเนียมและผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 150 เรือน โดยแต่ละเรือนล้วนตกแต่งด้วยมือ พร้อมทั้งการเคลือบพื้นผิวไทเทเนียมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ


สำหรับเรือนเวลารุ่นนี้บรรจุไว้ด้วยกลไกจักรกลผลิตในโรงงาน คาลิเบอร์ บีวีแอล 138 (calibre BVL 138) พร้อมทั้งไมโครโรเตอร์และด้วยความหนาของกลไกเพียง 2.23 มม. กับความหนาโดยรวมของตัวเรือนนาฬิกาที่เพียง 5.5 มม. เท่านั้น ขณะที่บนฝาหลังประทับไว้ด้วยลายมือชื่อของลี ยูฟัน ซึ่งสะท้อนถึงสัญลักษณ์ในฐานะงานศิลปะชิ้นเอกของเรือนเวลานี้ และเป็นดั่งตัวแทนถึงจินตนาการที่เป็นหัวใจแห่งความประณีตโดยแท้จริง


ออคโต ฟินิสซิโม มาร์เบิล ทูร์บิญอง ความท้าทายของการตัดเจียรหน้าปัดจากหินแข็งอิตาลี
พลังแห่งหินอ่อนอันเปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึกและสุนทรียะความงดงาม ได้สร้างสรรค์ความหมายซึ่งอยู่เหนือกาลเวลาและความเป็นนิรันดร์ให้กับเรือนเวลารุ่นนี้ ทั้งยังเป็นตัวแทนของการถักทอเข้ากับวัฒนธรรมโรมันได้อย่างแนบแน่นอีกด้วย การก่อตัวผ่านกาลเวลาหลายช่วงศตวรรษ หินอ่อนเหล่านี้ได้ถ่ายทอดทั้งความประณีตและความยิ่งใหญ่ กระนั้น แม้ว่าจะมีความโดดเด่นด้านความงดงามแห่งธรรมชาติ แต่หินอ่อนก็ไม่ได้ปรากฏหรือเชื่อมโยงกับการประดิษฐ์นาฬิกาเท่าใดนัก ด้วยเพราะข้อจำกัดทั้งเรื่องของน้ำหนักและความเปราะบางซึ่งทำให้ยากต่อรังสรรค์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการในการผลิตเครื่องบอกเวลา

แต่ด้วยความมุ่งมั่นของบุลการีที่ยังคงเดินหน้าผลักดันพรมแดนใหม่ ๆ ในการใช้วัสดุ หล่อหลอมเข้ากับความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์รูปร่างของสิ่งประดิษฐ์ขึ้นจากทองและแพลทินัม จนถึงนวัตกรรมวัสดุ อย่าง ไทเทเนียม คาร์บอน เซรามิก และพลอย ช่างอัญมณีแห่งโรมันนี้จึงกล้าที่จะก้าวสู่ความท้าทายครั้งใหม่ในการผสานหินอ่อนไว้ในเรือนเวลาคอลเลคชั่น ออคโต ฟินิสซิโม โดยการสลักหน้าปัดที่นับเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนที่บางที่สุดของการรังสรรค์นาฬิกาจากหินอ่อน ซึ่งเป็นดั่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ขณะที่หินซึ่งมีความแข็งเมื่ออยู่ในรูปวัสดุตามธรรมชาติได้ถูกสลัก กลายเป็นชิ้นส่วนอันละเอียดอ่อนและเปราะเมื่อถูกตัดเจียรเป็นแผ่นบาง ๆ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยความประณีตทางเทคนิคและความเชี่ยวชาญขั้นสูงจากช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะของเมซง ทั้งยังควรคู่อย่างสมเกียรติเมื่อจับคู่เข้ากับความเที่ยงตรงและแม่นยำที่จำเป็นต้องใช้ในการสร้างสรรค์จักรกลฟลายอิ้งทูร์บิญอง


หลังการเปิดตัวครั้งแรกของหน้าปัดหินอ่อนสีเขียว “เวิร์ด อัลปิ” (“Verde Alpi”) ที่จับคู่มากับตัวเรือนนาฬิกาเยลโลว์โกลด์เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ในวันนี้ บุลการีได้เผยโฉมเวอร์ชันใหม่ของ ออคโต ฟินิสซิโม ทูร์บิญอง ในงานเจนีวา วอทช์ เดย์ส โดยมาพร้อมความบางเพียง 4.85 มม. และมีขนาดตัวเรือน 40 มม. ซึ่งห้อมล้อมหน้าปัดตัดเจียรจากหินอ่อนสีน้ำเงินเข้มอันทรงเสน่ห์ที่ได้มาจากเหมืองหินชั้นดีของอิตาลี

ขณะที่ภายในทำงานด้วยกลไกจักรกลไขลานด้วยมือ คาลิเบอร์ บีวีแอล 268 (BVL 268) ที่บางเพียง 1.95 มม. และสำรองพลังงานได้นาน 52 ชั่วโมง หลอมรวมไว้ด้วยสุนทรียะความสวยงามแห่งโรมันและความประณีตอันมิอาจเทียบเคียงได้ ที่เรือนเวลาหินอ่อนสีน้ำเงินของ ออคโต ฟินิสซิโม นี้ถือเป็นตัวแทนของทั้งชัยชนะทางเทคนิคและสุนทรียะแห่งห้วงอารมณ์ความรู้สึกอย่างแท้จริง

@bvlgari #Bvlgari #BvlgariWatches #OctoFinissimo #GenevaWatchDays

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้