BVLGARI Kaleidos: Colors, Cultures and Crafts

Last updated: 17 ก.ย. 2568  |  34 จำนวนผู้เข้าชม  | 

BVLGARI Kaleidos: Colors, Cultures and Crafts

ศูนย์ศิลปะแห่งชาติโตเกียว (National Art Center, Tokyo) และ Bvlgari  (บุลการี ) ภูมิใจประกาศการจัด Bvlgari Kaleidos: Colors, Cultures and Crafts นิทรรศการขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาของเมซง ที่จัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น กับการเดินทางผ่านภาพสะท้อนอันหลากหลายสู่โลกที่มีชีวิตชีวาแห่งสีสัน ซึ่งถ่ายทอดผ่านผลงานชิ้นเอกแห่งสีเกือบ 350 ชิ้น ทั้งเครื่องประดับอัญมณีไปจนถึงผลงานศิลปะร่วมสมัย

บทพิสูจน์ถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะหนึ่งเดียวด้านสีสันของ Bvlgari  ที่นิทรรศการ Bvlgari Kaleidos: Colors, Cultures and Crafts ได้สร้างปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาซึ่งจัดขึ้นโดยช่างอัญมณีชั้นสูงแห่งโรมัน (Roman High Jeweler) ในประเทศญี่ปุ่นและยังนับเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ภายใต้การสนับสนุนของ Patrocinio (ปาโตรชินิโอ) แห่งสถานเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศญี่ปุ่น


นิทรรศการครั้งนี้เตรียมจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 กันยายน ถึงวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2025 ณ ศูนย์ศิลปะแห่งชาติโตเกียว (National Art Center Tokyo (NACT)) โดยเชื้อเชิญผู้มาเยี่ยมชมสำรวจภาพสะท้อนอันหลากหลายและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาอันแสนรุ่มรวยของเหล่าเครื่องประดับอัญมณี งานศิลปะและหัตถศิลป์ ผ่านภาษาแห่งสีสันอันเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา

ด้วยชื่อนิทรรศการซึ่งได้มาจากคำในภาษากรีกว่า kalos (คาลอส แปลว่า สวยงาม) และ eidos (ไอโดส แปลว่า รูปแบบ) อันเป็นสัญลักษณ์ถึงการเดินทางที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลาและทรงพลัง ที่ซึ่งความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์ได้มาผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ผ่านผลงานชิ้นเอกแห่งสีสันเกือบ 350 ชิ้น ซึ่งรวมไปถึงผลงานสร้างสรรค์เครื่องประดับอัญมณีจากคอลเลคชั่น Bvlgari Heritage และคอลเลคชั่นส่วนตัวอันทรงคุณค่านับจากยุคเริ่มต้นของเมซงสู่ปัจจุบัน ที่ล้วนตอกย้ำความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งระหว่างอิตาลีและญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองให้กับตำนานแห่งวัฒนธรรมอันรุ่มรวยและความหลงใหลที่มีร่วมกันต่อศิลปะและงานออกแบบ ทั้งยังเสริมมิติอันลุ่มลึกแห่งห้วงอารมณ์ความรู้สึก ที่นิทรรศการนี้ได้ถ่ายทอดผลงานต่างๆ โดย 3 ศิลปินร่วมสมัยหญิงที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Lara Favaretto (ลาร่า ฟาวาเร็ตโต), Mariko Mori (มาริโกะ โมริ) และ Akiko Nakayama (อาคิโกะ นากายามะ) ผู้ร่วมนำเสนอภาพสะท้อนแห่งความคิดบนสีสันได้อย่างน่าหลงใหล

Bvlgari Kaleidos: Colors, Cultures and Crafts เผยโฉมภาพสะท้อนอันหลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอของการอ้างอิงเชิงสร้างสรรค์และประสบการณ์แห่งห้วงอารมณ์ความรู้สึกซึ่งผสมผสานไว้ด้วยเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง อันเป็นผลงานสร้างสรรค์จากคอลเลกชั่น Bvlgari  Heritage ตลอดจนงานศิลปะร่วมสมัย และวัสดุอันแสนพิเศษจากมรดกแห่ง Bvlgari Historical Archives รวมถึงศิลปะติดตั้งอันชวนให้ดื่มด่ำไปกับความหมายอันลึกซึ้ง โดยผู้มาเยือนจะได้ร่วมสำรวจถึงความเชี่ยวชาญแห่งอัญมณีและวัสดุล้ำค่าบนการเดินทางหลากหลายมิติ ที่ซึ่งวีดิทัศน์ พื้นที่แห่งสื่ออินเตอร์แอคทีฟ และการสื่อสารเชิงศิลป์ได้นำโลกแห่งสีสันของเมซงให้มีชีวิต


“ที่ Bvlgari เราเชื่อเสมอในพลังแห่งสีสันซึ่งจะบอกเล่าถึงเรื่องราวและการก้าวข้ามกาลเวลา นิทรรศการ Kaleidos คือการเฉลิมฉลองมรดกอันรุ่มรวยของเรา ที่ซึ่งผลงานแต่ละชิ้นล้วนเป็นตัวแทนถึงการผสมผสานแห่งวัฒนธรรม หัตถศิลป์ และความหลงใหลในสีสันอันแสนพิเศษที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เริ่มต้นด้วยอัญมณีอันงดงามที่นับเป็นของขวัญอันล้ำค่าแห่งธรรมชาติซึ่งได้สร้างชื่อเสียงให้กับ Bvlgari  พร้อมทั้งเดินรอยตามการเปิดตัวของคอลเลคชั่นเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง Polychroma High Jewelry ที่อุทิศให้กับความเชี่ยวชาญของ Bvlgari ในการจินตนาการขึ้นใหม่ของสีสันและรูปแบบ นิทรรศการครั้งนี้ได้สร้างซึ่งบทใหม่ในการเดินทางของเราผ่านโลกแห่งสีสัน โดยเผยโฉมในกรุงโตเกียว เมืองซึ่งมีความคล้ายคลึงกันกับ Bvlgari เอง กับการเฉลิมฉลองซึ่งความกลมกลืนระหว่างประเพณีอันไร้กาลเวลาและนวัตกรรมอันกล้าแกร่ง ความผูกพันเชื่อมโยงมาอย่างยาวนานของเรากับญี่ปุ่น ประเทศซึ่งชื่นชมในศิลปะ งานหัตถศิลป์ และความแม่นยำซึ่งเป็นเสมือนหัวใจของ Bvlgari มาอย่างยาวนาน ได้สร้างสรรค์ให้นิทรรศการครั้งนี้เปี่ยมไปด้วยความหมายมากยิ่งขึ้น ทั้งยังนับเป็นเกียรติอย่างยิ่งในการนำเสนอผลงานชิ้นเอกเกือบ 350 ชิ้นแด่ผู้ชมชาวญี่ปุ่นและจากสากล ซึ่งแต่ละชิ้นงานยังเป็นการเฉลิมฉลองให้กับจิตวิญญาณอันมีชีวิตชีวาและไร้กาลเวลาของ Bvlgari ” Jean-Christophe Babin (ฌอง-คริสตอฟ บาแบง) ซีอีโอแห่ง Bvlgari เผย

“นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับสถานเอกอัครราชทูตอิตาลีในกรุงโตเกียวสำหรับการสนับสนุนนิทรรศการ Bvlgari Kaleidos: Colors, Cultures and Crafts ณ ศูนย์ศิลปะแห่งชาติโตเกียว โดยโครงการอันน่าทึ่งนี้ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงความชื่นชมที่มีร่วมกันและการแลกเปลี่ยนอันเปี่ยมด้วยประสิทธิผลที่หลอมรวมเป็นหนึ่งระหว่างอิตาลีและญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน พร้อมทั้งร่วมเฉลิมฉลองซึ่งคุณค่าที่มีร่วมกันของความสวยงาม ความคิดสร้างสรรค์และงานหัตถศิลป์ผ่านภาษาอันเป็นสากลแห่งศิลปะ” Gianluigi Benedetti (จันลุยจิ เบเนดิตติ) เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศญี่ปุ่น กล่าว


การปฏิวัติแห่งสี
ด้วยผลงานสร้างสรรค์ที่นับเป็นศิลปะชิ้นเอกแห่งสีสันอย่างแท้จริง  Bvlgari คือตัวแทนในฐานะช่างอัญมณีชั้นสูง (High Jeweler) ผู้เชี่ยวชาญในการเปลี่ยนแปลงแห่งสีสันไปสู่รูปแบบศิลปะของตนเอง นับตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของเมซงที่ได้ผูกสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับการใช้อัญมณีสีอันมีชีวิตชีวาด้วยความกล้าหาญ และจวบจนวันนี้ ยังคงเป็นต้นกำเนิดหลักของแรงบันดาลใจในผลงานสร้างสรรค์เครื่องประดับอัญมณีชั้นสูงของ Bvlgari High Jewelry ขณะที่ผลงานสร้างสรรค์ยุคแรก ๆ โดย Sotirio Bulgari (โซทีริโอ  บุลการี) ผู้ก่อตั้งนั้นได้บ่งบอกถึงความน่าหลงใหลในสีสันอันเป็นการปฏิวัติอย่างแท้จริงที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 โดยเริ่มต้นนับจากต้นทศวรรษ 1900 ท่ามกลางยุคที่เครื่องประดับอัญมณีชั้นสูงตามประเพณีส่วนใหญ่นิยมใช้วัสดุล้ำค่า อย่าง แพลทินัมและงานออกแบบในโทนสีเดียว รวมถึงแนวคิดที่จำกัดและเป็นไปตามประเพณีนิยม จากนั้น หลังยุคสงครามโลกครั้งที่สอง อิตาลีได้กลายเป็นดั่งศูนย์กลางอันยิ่งใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงแห่งสีสัน โดยในช่วงทศวรรษ 1950  Bvlgari ได้ริเริ่มบุกเบิกซึ่งการผสมผสานอย่างกล้าหาญของการใช้แซฟไฟร์ ทับทิม และมรกต ที่นำมาประดับตกแต่งบนเยลโลว์โกลด์พร้อมด้วยเพชร เมซงแห่งนี้ยังได้เลือกสรรอัญมณีที่ครั้งหนึ่งถูกมองว่าเป็นอัญมณีกึ่งล้ำค่า อาทิ แอเมทิสต์ ซิทริน และเทอร์ควอยส์ โดยถ่ายทอดถึงคุณค่าของอัญมณีเหล่านี้ที่ได้มาจากโทนสีสันอันมีชีวิตชีวาและศักยภาพด้านสุนทรียะความสวยงาม ซึ่งจับความงดงามสะกดสายตาไว้ด้วยความเข้มข้นของโทนสีและผ่านการเจียระไนแบบคาโบชองคัต (cabochon cut) อันเป็นเอกลักษณ์ของเมซง การนำมาใช้อย่างกล้าหาญนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสไตล์แห่ง Bvlgari ที่ผนึกไว้ซึ่งชื่อเสียงในฐานะผู้เชี่ยวชาญแห่งอัญมณีสี (Master of Colored Gemstones)

“ตลอดระยะเวลากว่า 140 ปี Bvlgari ได้บ่มเพาะไว้ด้วยสุนทรียะความสวยงามอันกล้าหาญที่ซึ่งสีสันไม่เพียงเป็นคุณลักษณะเฉพาะ แต่เป็นดั่งสัญลักษณ์ โดยการกำกับดูแลนิทรรศการที่อุทิศให้กับเรื่องราวแห่งสีภายในจักรวาลของ Bvlgari นี้ไม่เพียงสัมผัสได้โดยธรรมชาติ แต่ยังเป็นดั่งหัวใจที่จำเป็น ผ่านงานหัตถศิลป์อันเชี่ยวชาญและสายตาอันเปี่ยมด้วยสัญชาตญาณที่มีต่ออัญมณี เมซงแห่งนี้ได้เปลี่ยนแปลงรูปอัญมณีแต่ละชิ้นไปสู่ลายเส้นอันวิจิตรของจิตรกร เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองแห่งแสง อารมณ์ความรู้สึกและจิตวิญญาณแห่งโรมัน  Bvlgari จึงเป็นดั่งศิลปินแห่งสีสันโดยแท้” Gislan Aucremanne (จิสลัน ออเครมานน์) ผู้อำนวยการฝ่ายภัณฑารักษ์แห่งมรดกของ Bvlgari กล่าว

การปฏิวัติแห่งสีสันนี้จะถูกสำรวจภายในนิทรรศการผ่านสามบทอันแสนดื่มด่ำ เริ่มจากบทแรก The Science of Colors ที่ได้หยิบยกการเข้าถึงเชิงวิทยาศาสตร์มาสู่มิติและผลลัพธ์แห่งสี ซึ่งเผยผ่านการเล่นซ้อนกันของเหลือบสีสันต่างๆ ที่บรรจงคัดสรรจากอัญมณีไอคอนิกมาอย่างพิถีพิถันละเอียดอ่อน เช่น สร้อยข้อมือซิทรินประดับบนทองและแพลทินัมด้วยเพชรซึ่งย้อนกลับไปในช่วงราวปี ค.ศ. 1940 และไม่เคยจัดแสดงนอกประเทศอิตาลีมาก่อน โดยชวนให้นึกถึงโทนสีทองอันแสนอบอุ่น ณ ช่วงพระอาทิตย์อัสดงแห่งกรุงโรม ผ่านแถบสีสันอันรุ่มรวยของเหลือบสีส้มที่เปล่งประกายรัศมีโดยอัญมณีต่าง ๆ ร่วมไปกับกำไลข้อมือแพลทินัมอันโดดเด่นที่ประดับไว้ด้วยแซฟไฟร์คาโบชอง ทับทิม และเพชร (ปี ค.ศ. 1954) ซึ่งเฉลิมฉลองให้กับสัญลักษณ์ของ Bvlgari ระหว่างโทนสีแดงและสีน้ำเงินที่เป็นการผสมผสานอันเป็นไอคอนิกของสีสันอันล้ำค่า และเสริมความโดดเด่นโดยการใช้เทคนิคเจียระไนแบบคาโบชองคัตซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมซง เผยความรุ่มรวยให้กับทั้งมิติอันลุ่มลึก ความเรืองรอง และความเข้มข้นของสีสันแห่งอัญมณี ในบทนี้ยังถ่ายทอดด้วยเซ็ตอันน่าทึ่งที่ประกอบด้วยสร้อยคอและต่างหูซึ่งผสมผสานอย่างกล้าหาญระหว่างมรกต แอเมทิสต์ เทอร์ควอยส์ และเพชร ตอกย้ำถึงความหาญกล้าด้านสีสันและการจับคู่อัญมณีอันบุกเบิกสร้างสรรค์ของ Bvlgari

Color Symbolism ในบทที่สองได้ดำดิ่งสู่มิติแห่งวัฒนธรรมและเชิงสัญลักษณ์ของสี ที่ถ่ายทอดถึงความหมายและห้วงอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ผ่านตัวเลือกของเฉดสีสัน โดยท่ามกลางความโดดเด่นของบทนี้ยังรวมไปถึงอัญมณีสีหยกหายาก และสร้อยคอแพลทินัมแห่งตำนานที่ประดับด้วยเพชรและมรกตอันแสนงดงามล้ำเลิศจำนวนเจ็ดเม็ด อันเป็นที่มาของชื่อ Seven Wonders (ปี ค.ศ. 1961) ซึ่งเคยถูกสวมใส่โดยเหล่าไอคอน อาทิ Monica Vitti และ Gina Lollobrigida ชิ้นงานอันแสนพิเศษที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลคชั่นแห่ง Invernizzi และปรากฏให้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายในกรุงโตเกียวเมื่อหนึ่งทศวรรษก่อน ในวันนี้ได้หวนคืนสู่สายตาสาธารณชนในฐานะส่วนหนึ่งของ Bvlgari Heritage คอลเลคชั่น

ในบทสุดท้าย The Power of Light ได้ให้ความสำคัญกับบทบาทแห่งแสงในมุมมองของเราที่มีต่อสี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเล่นผ่านวัสดุแห่งการสะท้อน อย่าง เงิน และทอง การเดินทางอันเรืองรองนี้ยังถูกนำมาสู่ความมีชีวิตชีวาผ่านอัญมณีหายากที่ถ่ายทอดไว้ด้วยเพชรสีแฟนซีและไข่มุก ผ่านชิ้นงานปิดท้ายนิทรรศการได้อย่างงดงาม อย่าง สร้อยคอแบบยาวเยลโลว์โกลด์เฉพาะหนึ่งเดียวที่รังสรรค์ขึ้นในปี ค.ศ. 1969 อันเป็นชิ้นงานเอกซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปสู่สร้อยข้อมือประดับด้วยแอเมทิสต์ เทอร์ควอยส์ ซิทริน ทับทิม มรกตและเพชร โดยจับไว้ด้วยจิตวิญญาณแห่งภาพสะท้อนอันหลากหลายและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาของนิทรรศการซึ่งถ่ายทอดผ่านทั้งสีสันอันแสนพิเศษและการเล่นกับหลากหลายสี ชิ้นงานเอกนี้ยังเป็นดั่งตัวแทนของความมีชีวิตชีวาแห่งสีสันของ Bvlgari  รวมถึงความรุ่มรวยในการพรรณนาเรื่องราวผ่านศิลปะแห่งสี ขณะที่เติมเต็มความสมบูรณ์ในบทสุดท้ายนี้ด้วยกระเป๋าราตรี Serpenti (เซอร์เพนติ) อันงดงามวิจิตรในทองสามสี พร้อมด้วยสายคอร์ดผ้าไหมและเพชร (ราวปี ค.ศ. 1978) ในฐานะบทพิสูจน์สู่ความสำเร็จแห่งตำนานของกระเป๋า “Melone” ของ Bvlgari ที่นับเป็นหนึ่งในผลงานสร้างสรรค์อันแสนล้ำค่าและขายดีที่สุด ณ ช่วงเวลานั้น ผลงานชิ้นเอกของทั้งงานออกแบบและงานหัตถศิลป์นี้ยังเป็นตัวอย่างถึงศิลปะงานช่างทองอันเชี่ยวชาญของเมซง ที่เป็นการผสมผสานระหว่างเยลโลว์โกลด์ โรสโกลด์ และเหลือบสีเขียว-น้ำเงินหายาก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างดีว่า acqua di mare (อควา ดิ มาเร่)


ศิลปะแห่งสี
สีได้กลายเป็นแรงบันดาลใจอันเปี่ยมด้วยพลังในงานศิลปะของเหล่าจิตรกร ประติมากร ช่างอัญมณี และศิลปินช่างฝีมือในการถ่ายทอดสัมผัสแห่งห้วงอารมณ์ความรู้สึกและเป็นตัวแทนถึงโลกใบนี้ นิทรรศการครั้งนี้ได้สร้างความโดดเด่นให้กับความหลงใหลที่มีร่วมกันต่อสีระหว่างเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูงและวิจิตรศิลป์ (Fine Arts) ด้วยงานออกแบบแห่งสีสันและความกล้าหาญอันหลากหลายของ Bvlgari ที่ได้สร้างอิทธิพลให้ไม่เพียงเฉพาะสำหรับเครื่องประดับอัญมณี แต่ยังเชื่อมโยงถึงเหล่าศิลปินในหลากหลายสาขาต่าง ๆ อีกมากมาย เช่นเดียวกับศิลปินร่วมสมัยหญิงทั้งสามท่าน ได้แก่ ลาร่า ฟาวาเร็ตโต, มาริโกะ โมริ และอาคิโกะ นากายามะ ที่ได้รับการเชื้อเชิญให้มาร่วมสร้างความรุ่มรวยแห่งภาษาศิลป์นี้ผ่านสัญชาตญาณของพวกเธอเอง โดยถ่ายทอดบนผลงานที่ได้รับมอบหมายให้สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ซึ่งต่างก็หยั่งรากลึกสู่การสะท้อนแห่งสีสันของนิทรรศการในฐานะพลังของการเปลี่ยนแปลงรูปและการรับรู้เข้าใจได้อย่างแท้จริง

ศิลปะติดตั้งเฉพาะสถานที่ของฟาวาเร็ตโต อย่าง เลเวล ไฟว์ (Level Five) ได้ถ่ายทอดผ่านแปรงล้างรถหลากหลายสีสัน กับรูปแบบเคลื่อนไหวของการปั่นหมุนที่ย้ายออกจากบริบทเชิงอุตสาหกรรมกลายมาเป็นการปรากฏโฉมเชิงประติมากรรมอันแสนอ่อนโยน ซึ่งผสมผสานไว้ทั้งการเคลื่อนไหว จังหวะ และพลังแห่งสีสันสู่ความเห็นแจ้งเชิงภาพราวดั่งกำลังร่ายซึ่งมนตร์สะกดที่พาเราออกสำรวจถึงพรมแดนต่าง ๆ ระหว่างจักรกลและองค์ประกอบ ขณะที่ผลงาน Onogoro Stone III ของโมริได้วาดไว้ด้วยตำนานของญี่ปุ่นโบราณ เพื่อเชื้อชวนให้นึกถึงเรื่องราวดั้งเดิมอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งหลอมรวมระหว่างวัสดุแห่งอนาคตเข้ากับความเรียบน้อยแบบมินิมัลลิสม์เชิงจิตวิญญาณ นำมาสู่การสร้างสรรค์พื้นที่เชิงความคิดอันลึกซึ้งแห่งจักรวาลอันกว้างใหญ่ และมอบประสบการณ์อันแสนดื่มด่ำของต้นกำเนิดดั้งเดิมที่เป็นทั้งเรื่องราวส่วนตัวและเป็นสากล ที่ได้ถ่ายทอดผ่านพลังเชิงสัญลักษณ์ของสีสันและรูปแบบ ส่งท้ายกับศิลปะติดตั้งอันเปี่ยมด้วยพลังที่มีชื่อว่า เอคโค่ (Echo) ของอาคิโกะ นากายามะ ที่น้ำ เสียง และสีย้อมจากแร่ธาตุได้มาบรรจบกันแบบเรียลไทม์ และถ่ายทอดเป็นรูปแบบอันลื่นไหล ณ ชั่วขณะของการเคลื่อนย้ายและประกายแสงอันแวววาว เป็นดั่ง “ภาพวาดที่มีชีวิต” ที่ซึ่งศิลปะ ธรรมชาติ และกายภาพได้มาพบกันภายใต้แสงที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล พร้อมทั้งบทสนทนาผ่านชิ้นงานเอกอย่างสร้อยข้อมือ-สร้อยคอแบบยาวอันเปล่งประกายระยิบระยับ (ราวปี ค.ศ. 1969) จาก Bvlgari  เฮอริเทจ คอลเลคชั่น โดยผลงานของเธอนั้นได้หล่อหลอมไว้ด้วยความสวยงาม ณ ​ชั่วขณะของสีสันภายใต้การเปลี่ยนแปลงรูปไปอย่างต่อเนื่อง



เส้นทางเชิงศิลป์ ที่อิตาลีได้เดินทางมาบรรจบกับญี่ปุ่น
สำหรับฉากทัศน์ของนิทรรศการครั้งนี้ Bvlgari ได้ร่วมมือกับ คาซูโยะ เซจิมะ (Kazuyo Sejima) และเรียว นิชิซาว่า (Ryue Nishizawa) แห่งสตูดิโอ ซานา (SANAA) ของญี่ปุ่น และสตูดิโอ ฟอร์มาฟานทัสมา (Formafantasma) จากอิตาลี ในการตอกย้ำถึงความหลงใหลที่มีร่วมกันของศิลปะและงานออกแบบที่ผนึกรวมเป็นหนึ่งระหว่างสองประเทศ โดยวาดจินตนาการมาจากศิลปะโมเสกโบราณของ บาธส์ (Baths) แห่งจักรพรรดิโรมัน คาราคัลลา (Roman emperor Caracalla) พร้อมถ่ายทอดสู่แนวคิดงานออกแบบที่สะท้อนถึงมรดกเชิงวัฒนธรรมของเมซงผ่านรูปทรงโค้ง ความกึ่งโปร่งแสงอันประณีต และมิติแห่งสีสันที่จะนำพาผู้เยี่ยมชมสู่การเดินทางแห่งสัมผัสและห้วงอารมณ์ความรู้สึกในโลกแห่งสี นอกจากนี้ ฟอร์มาฟานทัสมา ยังได้เผยศิลปะติดตั้งอิสระพิเศษที่แสดงออกถึงชิ้นงานเอกอันโดดเด่นจาก  Bvlgari  เฮอริเทจ คอลเลคชั่น โดยเส้นทางเชิงศิลป์สู่หัวใจอันเป็นแก่นแท้แห่งความคิดสร้างสรรค์ของ Bvlgari นี้ได้ผสมผสานอย่างกลมกลืนเข้ากับเอกลักษณ์เฉพาะแห่งโรมันของเมซง และสุนทรียะความสวยงามอันสง่างามของญี่ปุ่นได้อย่างแท้จริง



“ด้วยนิทรรศการ  Bvlgari  คาไลโดส์: คัลเลอร์ส, คัลเจอร์ส แอนด์ คราฟต์ส เราต้องการที่จะสร้างสรรค์พื้นที่ที่ซึ่งแสง สี และการสะท้อนอันหลากหลายได้นำทางผู้มาเยี่ยมชมสู่การเดินทางแห่งการค้นพบ ซึ่งเป็นสิ่งที่เผยให้เห็นถึงงานหัตถศิลป์และมิติเชิงวัฒนธรรมของ Bvlgari  ขณะเดียวกันก็สร้างสรรค์เป็นดั่งสะพานเชื่อมโยงเชิงกวีระหว่างอิตาลีและญี่ปุ่น โดยได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะโมเสกโบราณแห่งคาราคัลลาของโรมันและใบแปะก๊วยแห่งโตเกียว ที่นิทรรศการนี้ได้กลายเป็นภาพสะท้อนอันหลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาที่มีชีวิตของทั้งเรื่องราว สัญลักษณ์ และห้วงอารมณ์ความรู้สึก” –สตูดิโอ ซานา เผย

สุนทรียะความสวยงามและวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้มาอยู่รวมกันเพื่อแสดงออกถึงคุณค่าที่มีร่วมกัน ซึ่งเสริมความรุ่มรวยแห่งเสน่ห์ให้กับการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศ นิทรรศการครั้งนี้เปิดด้วยชิ้นงานอันแสนพิเศษสองชิ้นจากคอลเลคชั่น เฮอริเทจ อันเป็นสัญลักษณ์ถึงการอุทิศที่มีร่วมกันให้กับงานหัตถศิลป์ ความเอาใจใส่ในรายละเอียด และความรักความหลงใหลอันมั่นคงต่อความสวยงาม ผ่านที่ทับกระดาษอันล้ำค่าด้วยรูปทรงคล้ายกับฟาซาดของอารามแห่งโรมันและรังสรรค์จากเยลโลว์โกลด์ซึ่งประดับตกแต่งด้วยลาพิสลาซูลี ออนิกซ์ และเพชร พร้อมทั้งสร้างความสมดุลเข้ากับเข็มกลัดทรงกลมทำจากเยลโลว์โกลด์และประดับด้วยเปลือกหอยมุก ร่วมกับงานตกแต่งด้วยศิลปะลงยาหรืออีนาเมลแบบหลายสีและเพชร

“หยั่งรากลึกในกรุงโรม  Bvlgari ได้ดึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์อันยาวนานมาจากเมืองเป็นนิจนิรันดร์ (Eternal City) และในเวลาเดียวกันก็ได้มองก้าวข้ามพรมแดนเหล่านั้น ด้วยการหล่อหลอมไว้ซึ่งความเคารพในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันหลากหลายของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งรวมไปถึงประเทศญี่ปุ่น ที่ร่วมถักทอสิ่งเหล่านี้ลงสู่จิตวิญญาณการสร้างสรรค์เครื่องประดับอัญมณีอันล้ำค่าของแบรนด์ได้อย่างงดงามวิจิตร นิทรรศการครั้งนี้จึงนำเสนอโอกาสอันลึกซึ้งสู่การมาพบกันของความคิดสร้างสรรค์เฉพาะหนึ่งเดียวของเมซง ซึ่งได้เปิดกว้างไปสู่ความหลากหลายอันแสนรุ่มรวยแห่งวัฒนธรรม ผ่านสีสัน และเลนส์แห่งการแสดงออกและการถ่ายทอดเชิงสัญลักษณ์อันโดดเด่นสูงสุด” อายาโกะ มิยาจิมะ (Ayako Miyajima) ภัณฑารักษ์อาวุโสของศูนย์ศิลปะแห่งชาติโตเกียว กล่าว

@bvlgari #Bvlgari #BvlgariHeritage #BvlgariExhibition #Kaleidos

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้