Last updated: 21 ต.ค. 2568 | 74 จำนวนผู้เข้าชม |
เขาเริ่มต้นเส้นทางร่วมกับ Jaeger-LeCoultre ตั้งแต่ปี 1996 และก้าวขึ้นสู่ CEO ในปี 2002 จนถึงปี 2013 โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาได้ฝากผลงานสำคัญไว้กับแบรนด์ ทั้งการสร้างสรรค์คอลเลกชันอันแข็งแกร่ง การให้ความสำคัญกับกลไกซับซ้อนและงานนาฬิการะดับสูง รวมถึงการยกระดับชื่อเสียงของแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก จากนั้น เขาย้ายไปสานต่อความสำเร็จที่ Montblanc และก้าวสู่ตำแหน่ง Group CEO ของ Richemont Group และหวนกลับมาที่ Jaeger-LeCoultre อีกครั้งเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ ในตำแหน่ง CEO ซึ่งการหวนกลับมาครั้งนี้มาจากความตั้งใจของเขาที่ต้องการหวนคืนสู่วงการสร้างสรรค์ เชื่อมโยงกับมรดกอันล้ำค่าของแบรนด์ และสร้างความใกล้ชิดกับชุมชนผู้หลงใหลในนาฬิกา Jaeger-LeCoultre อีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่เขาเดินทางมาเมืองไทย แต่ครั้งนี้มาพร้อมกับนาฬิการุ่นใหม่จากงาน Watches & Wonders Geneva 2025 พร้อมแบ่งปันความคิดเห็นอย่างเป็นกันเองกับเรา

ทำไม Jaeger-LeCoultre จึงตัดสินใจเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 100 ปีของงาน Exposition des Arts Décoratifs ในปีนี้? งานนี้มีความสำคัญต่อแบรนด์อย่างไร?
Reverso เกิดขึ้นเมื่อ 94 ปีก่อน และกลายมาเป็นนาฬิกาที่โดดเด่นในโลกของการผลิตนาฬิกาชั้นสูง และเป็นที่รู้กันดีว่านาฬิกาคอลเลกชันนี้ได้กลายเป็นดาวเด่นของวงการนาฬิกาชั้นสูง และเป็นผลงานระดับไอคอนอย่างแท้จริง ดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Reverso ทำให้กลายเป็นผลงานระดับไอคอน ซึ่งนาฬิกาที่ทำได้ขนาดนี้ก่อนปี 1940 มีไม่กี่รุ่น เช่น Tank, Santos, Oyster, Calatrava และแน่นอน Reverso สิ่งที่ทำให้คอลเลกชัน Reverso โดดเด่น คือการออกแบบที่ชัดเจนและกล้าหาญในสไตล์ Art Deco ซึ่งเป็นศิลปะที่ให้ความสำคัญกับความสมดุลและความเรียบง่ายแบบบริสุทธิ์ ปีนี้เราก็ถือโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปี Art Deco ในงาน Exposition Internationale des Arts Décoratifs งานที่ถือกำเนิดในปี 1925 และถือเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการศิลปะ Art Deco อันทรงคุณค่า และสไตล์ Art Deco คือเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่หล่อหลอมตัวตนของ Reverso มาตั้งแต่วันแรกของการถือกำเนิดในปี 1931 การฉลองครั้งนี้จึงมิใช่เพียงการรำลึกถึงอดีต หากแต่เป็นการสดุดีมรดกแห่งความงามอันเหนือกาลเวลาที่แบรนด์ได้สืบทอดและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การฉลองร้อยปีร่วมกับงานนี้ จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเล่าเรื่องราวความพิเศษของ Reverso
อะไรคือหัวใจสำคัญของนาฬิกาตระกูล Reverso?
สิ่งที่ทำให้ Reverso แตกต่างจริง ๆ คือความเป็นนาฬิกาที่มีมิติที่สามครับ หมายถึงมันไม่ได้มีแค่หน้าปัดเดียว แต่ตัวเรือนที่มีหน้าปัดสองด้านสามารถพลิกกลับด้านได้ บางรุ่นก็ปรับโซนเวลาเพิ่มได้ มีตัวปรับด้านข้าง หรือใส่กลไกพิเศษอื่นๆ Reverso เริ่มจากความคิดง่ายๆ คือปกป้องหน้าปัดนาฬิกาของนายทหารอังกฤษที่เล่นโปโลในอินเดียเมื่อ 94 ปีก่อน แต่ตลอดเวลา มันก็พัฒนาเป็นพื้นที่ให้เราใส่ลูกเล่น ความประณีต และความสร้างสรรค์ลงไป กลายเป็นนาฬิกาที่มีหลายบทบาท ทั้งเรื่องกลไกและงานดีไซน์

ปี 2025 แบรนด์จะเน้นไปที่เรื่องอะไรเป็นพิเศษ?
ปีนี้เรามุ่งย้อนกลับไปยังจุดกำเนิดของ Reverso โดยเฉพาะจิตวิญญาณแห่งกีฬาโปโล ซึ่งสะท้อนเห็นจากบูธในงาน Watches and Wonders ที่เราตกแต่งบรรยากาศให้มีกลิ่นอายของ Polo Club ในปี 1931 ซึ่งเราต้องการถ่ายทอดอารมณ์ ความหลงใหล และความมีชีวิตชีวานั้นอีกครั้ง
คุณอยู่กับ Jaeger-LeCoultre มาเป็นเวลานานแล้ว และกลับมาอยู่กับแบรนด์อีกครั้งในวันนี้ ในมุมมองของคุณ แบรนด์ได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงจากอดีตถึงปัจจุบันอย่างไร?
เมซงของเราก่อตั้งมา 190 ปีแล้วครับ ตั้งแต่ปี 1833 เริ่มจากช่างฝีมือคนเดียวในหุบเขาวัลเลย์ เดอ ฌูว์ จนวันนี้เรามีช่างฝีมือกว่า 180 สาขาวิชาชีพในโรงงาน สิ่งที่ผมเห็นคือ Jaeger-LeCoultre ค่อยๆ เติบโตและยิ่งตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนาฬิกาที่มีความคิดสร้างสรรค์ลึกซึ้ง ทุกวันนี้เรากลายเป็นตัวแทนสำคัญของงานนาฬิกาชั้นสูงในแง่ของความคิดใหม่ๆ
ในปีที่ผ่านมา ตลาดนาฬิกาค่อนข้างชะลอตัวลง คุณมองปรากฏการณ์นี้อย่างไร?
มีคนเคยพูดว่า ไม่มีช่วงเวลาที่เลวร้าย สำหรับนาฬิกาที่ดี” ผมเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์ท้าทาย ยิ่งเป็นเวลาที่เราต้องกลับมาให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์ ผลักดันขีดจำกัด และสำรวจมิติใหม่ๆ ของสิ่งที่เราทำได้ สำหรับผมแล้ว นี่อาจเป็นช่วงเวลาอันแข็งแกร่งของเมซง อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นชัดคือ ความสนใจในเนื้อหาเชิงเทคนิคกลไกมีเพิ่มขึ้นมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อสิบปีก่อน เวลาที่เราพูดถึงกลไกซับซ้อน ผู้คนยังไม่เข้าใจนัก แต่วันนี้ กลายเป็นภาษาที่ทุกคนต้องรู้ และ Jaeger-LeCoultre ก็ยินดีแบ่งปันเนื้อหาทางเทคนิคเหล่านี้ เราจดสิทธิบัตรแล้วกว่า 430 ฉบับ เพราะเรามองว่าการผลิตนาฬิกาไม่ใช่แค่การจำลองอดีตอันน่าเบื่อ แต่คือการสร้างสรรค์ขอบเขตใหม่ๆ และบูรณาการความสามารถใหม่ๆ เข้าไปในเรือนเวลา


เวลาคุณได้พบและพูดคุยกับนักสะสม คุณได้อะไรจากบทสนทนาเหล่านั้น?
ผมว่ามันก็เหมือนการที่เราส่องกระจกทุกเช้า เช็กความเรียบร้อย นักสะสมก็เป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนตัวตนของเมซง เราเรียนรู้จากสายตาของพวกเขาว่าพวกเขามองเราอย่างไร สนใจอะไร สิ่งนี้ช่วยให้เราเข้าใจวิธีสื่อสารและแบ่งปันให้ดียิ่งขึ้น บางครั้งยังทำให้เราเห็นมุมใหม่ๆ ที่เราอาจมองข้ามไป ผมว่าการได้พูดคุยกับคนที่รักแบรนด์เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่ามาก
คุณพบกับนักสะสมบ่อยแค่ไหน?
ทุกทริปที่เดินทาง ผมจะพยายามนัดพบพวกเขาตลอด บางครั้งอาจหนึ่งหรือสองกลุ่มต่อทริป โดยรวมแล้วประมาณทุกๆ 15 วันก็จะได้พบกันสักครั้ง
22 ต.ค. 2568
21 ต.ค. 2568
21 ต.ค. 2568
21 ต.ค. 2568