Mr. Wilhelm Schmid

Last updated: 21 ต.ค. 2568  |  69 จำนวนผู้เข้าชม  | 

Mr. Wilhelm Schmid

ก่อนที่งาน Watches & Wonders ในกรุงเจนีวาจะเปิดม่านต้อนรับสื่อและคนรักนาฬิกาจากทั่วโลก Mr. Wilhelm Schmid เดินทางมาเมืองไทยพร้อมกับผลงานใหม่หนึ่งเรือนบนนข้อมือ พร้อมเผยถึงแนวคิดของนาฬิการุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งปี 2025 นับเป็นปีครบรอบ 210 ปีสำหรับผู้ก่อตั้งแบรนด์ Ferdinand Adolph Lange และยังเป็นวาระครบรอบ 180 ปีของการก่อตั้งแบรนด์ ที่หลายคนคาดหวังว่าจะมีผลงานครบรอบมาให้เห็น แต่ผู้บริหารของแบรนด์เปิดเผยว่า

“ปีที่แล้ว A. Lange & Sohne ฉลองครบรอบ 25 ปีให้กับ DATOGRAPH และครบรอบ 30 ปีของ Lange 1 ซึ่งก็น่าจะเพียงพอแล้ว เราไม่อยากเป็นแบรนด์ที่ใช้การเฉลิมฉลองในการสร้างสรรค์ผลงาน เราเน้นวันที่เราเห็นว่ามีความสำคัญต่อความสำเร็จของบริษัทเรามากกว่า แม้ว่าวาระครบรอบ 210 ปีจะฟังดูน่าประทับใจ แต่เราก็ฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในวาระครบรอบ 200 ปีให้กับ Ferdinand Adolph Lange ไปแล้ว ปีนี้เราจึงไม่จำเป็นต้องเฉลิมฉลองอีก และแม้แต่วาระครบรอบ 180 ปีของการก่อตั้งแบรนด์เช่นกัน”


แม้จะบอกว่าไม่ได้มีการฉลองอะไร แต่ผลงานใหม่ในคอลเลกชัน 1815 ปีนี้เปิดตัวในสองเวอร์ชันก็เป็นผลงานที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการปรับขนาดให้เล็กลงมาที่ 34.0 มิลลิเมตรอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“มีเหตุผลหลายประการครับ อย่างแรกเลยคือเราไม่มีผลงานนาฬิกาขนาดเล็กมานานแล้ว เพราะเราไม่ได้มีกลไกที่มีขนาดเล็กพอจะรองรับได้ และเราก็ไม่ได้ผลิตกลไกจักรกลมาใช้กับนาฬิกาทุกขนาด ปกติเราจะออกแบบกลไกให้พอดีกับตัวเรือน เหตุผลที่สองคือ กลไกสำหรับนาฬิกา 1815 ในรุ่นก่อน ยังไม่สามารถสำรองพลังงานได้ถึง 72 ชั่วโมง เราอยากได้กลไกนาฬิการะบบไขลานที่สำรองพลังงานได้นาน 3 วัน ดังนั้น เราจึงพัฒนากลไกใหม่ขึ้นมา และเป็นเหตุผลที่เราตั้งใจผลิตนาฬิกาขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม ในเชิงเทคนิคแล้ว กลไกชุดนี้มีพลังงานสำรองและรายละเอียดทางเทคนิคไม่ต่างจากนาฬิกาเรือนใหญ่กว่าเลย”

สองผลงานจากคอลเลกชัน 1815 รุ่นใหม่ เป็นนาฬิกาสไตล์คลาสสิกที่เล็กที่สุดโดยปรับขนาดตัวเรือนเหลือเพียง 34.0 มิลลิเมตร กับสองเวอร์ชันคือตัวเรือนไวท์โกลด์และพิงค์โกลด์ นอกจากตัวเรือนขนาดเล็กแล้ว ความหนาก็ยังเพียงแค่ 6.4 มิลลิเมตร เรียกว่าบางและใส่สบายข้อมือ อันเป็นผลมาจากชุดกลไกใหม่คาลิเบอร์ L152.1 ที่สำรองพลังงานได้นาน 72 ชั่วโมง

อีกหนึ่งผลงานที่เปิดตัวในปีนี้มาพร้อมความซับซ้อนสูงและยังเป็นนาฬิกาเรือนใหญ่หรือ Giant Watch ที่บูธในงาน Watches & Wonders Geneva 2025 อีกด้วย ผลงานที่ว่าก็คือ Minute Repeater Perpetual ที่ผสานฟังก์ชันสองฟังก์ชันเข้าด้วยกัน ในตัวเรือนแพลทินัมและการผลิตจำกัด 50 เรือนเท่านั้น ผลงานที่ซับซ้อนสูงนี้ยังเป็นความท้าทายใหม่ของแบรนด์ซึ่งพัฒนากลไกชุดใหม่ คาลิเบอร์ L122.2 พร้อมนวัตกรรมใหม่ของกลไก striking mechanism ระบบที่ทำหน้าที่จับค้อนเมื่อตีบนลวดสร้างเสียงแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ค้อนดีดกลับและทำให้เสียงของการตีบอกเวลาทุ้มกังวาล ระบบหยุดชั่วคราวเมื่อเปิดใช้งานและลำดับการทำซ้ำ ผู้บริหารของ A. Lange & Söhne ให้ความเห็นว่า

“สำหรับ A. Lange & Söhne ก็ไม่ใช่ระบบตีบอกเวลาธรรมดา แต่เรายังมีกลไก outsize date การแสดงวันที่ขนาดใหญ่พิเศษ ที่ผมคิดว่าเป็นฟังก์ชันสำคัญสำหรับ Perpetual Calendar ด้วย แตกต่างจากนาฬิกาปฏิทินร้อยปีอื่นๆ ที่แสดงวันที่บนหน้าปัดย่อยที่ตัวเลขจะเล็กมาก ความยากที่สุดอีกประการหนึ่งคือการจัดวางหน้าปัดของ Grand Complication ที่จะต้องมีหน้าปัดย่อย 4 หน้าปัด ที่คล้ายกับผลงาน Minute Repeater Perpetual แต่เรามีหน้าปัดย่อย 3 หน้าปัดกับหน้าต่างแสดงวันที่ของฟังก์ชัน outsize date ซึ่งการผลิตหน้าปัดแบบนี้เป็นความท้าทายอย่างยิ่ง”


ความท้าทายของผลงานสุดซับซ้อนนี้จึงไม่ใช่แค่การพัฒนาชุดกลไกใหม่ที่สุดซับซ้อนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหน้าปัดที่แสดงค่าต่างๆ ก็ต้องอ่านค่าได้ชัดเจนง่ายดาย ที่สำคัญคือขนาดนาฬิกาก็ไม่ใหญ่หรือหนาเกินไป และนี่ยังเป็นครั้งแรกของการผสานกลไกตีบอกเวลาและกลไกปฏิทินร้อยปีของแบรนด์อีกด้วย

นอกจากนี้ เราแอบเห็นนาฬิกาบนข้อมือของ Mr. Wilhelm Schmid ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลงานใหม่ในปีนี้คือ Odysseus Honeygold เหตุผลของการเลือกวัสดุนี้ก็คือ

“ลูกค้าเราหลายคนอยากได้นาฬิกาสายโลหะจากแบรนด์ ซึ่งเราเคยผลิตนาฬิกาที่มาพร้อมสายโลหะมาแล้ว แต่ถ้าพูดถึงนาฬิกาที่มาพร้อมตัวเรือนและสายทอง ไม่ใช่เรื่องที่เราคุ้นเคย แต่สำหรับทองที่เราพัฒนาขึ้นอย่าง Honeygold ซึ่งอยู่ระหว่างพิงค์โกลด์และไวท์โกลด์นั้น เป็นวัสดุที่น่าสนใจ เพราะสีที่แตกต่างตามองศาของแสง ในบางมุมจะเห็นเป็นไวท์โกลด์ แต่บางมุมก็ให้เฉดสีของพิงค์โกลด์ ซึ่งเหมาะกับการนำมาใช้ผลิตนาฬิกา Odysseus ที่ให้ความเป็นนาฬิกาทองทั้งเรือนนั่นเอง”


จากการทำงานร่วมกับแบรนด์มานานกว่า 15 ปี Mr. Wilhelm Schmid ให้ความเห็นว่า “ผมเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน และสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็คือวิถีการออกแบบและการผลิตนาฬิกาของเราที่ไม่เคยเปลี่ยน แน่นอน เราเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอ และแน่นอน เราเพิ่มความสามารถให้กับช่างนาฬิกาของเรา เราเรียนรู้ศาสตร์และศิลป์หลายแขนงทั้งการเคลือบสีลงยา การพริ้นท์ การทำตัวเรือน การทำหน้าปัด นั่นเป็นการพัฒนาที่เราไม่เคยห่างจากสิ่งที่เรียกว่า DNA ในการผลิตของเรา ทั้งงานฝีมือที่ประณีตและการทำงานที่เน้นรายละเอียด สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยนแลง

“แต่นอกจากนั้น ก็ล้วนมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจำหน่ายของเรา เราเคยมีจุดขายกว่า 250 แห่งทั่วโลก ตอนนี้เราลดลงเหลือเพียง 50 จุด หรือการทำการตลาดในปัจจุบันของเรา วิธีการสื่อสารกับลูกค้าของเรา การทำความเข้าใจกับความต้องการของลูกค้าเรา สิ่งเหล่านี้ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงและอัปเดตให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยหัวใจของเรายังคงเป็นช่างนาฬิกา และเรายังคงเชื่อว่าเราไม่ใช่สินค้าหรูหรา แต่เป็นนาฬิกาที่ดีไซน์ยอดเยี่ยมและประกอบมาเป็นอย่างดีที่สุด”

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้