Last updated: 17 มี.ค. 2566 | 504 จำนวนผู้เข้าชม |
MIDO แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ ในเครือ เดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) นำโดย ภาณุวัฒน์ ทองพุ่ม ผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์ MIDO ประเทศไทย อวดโฉมประสิทธิภาพเรือนเวลาหรูจาก 7 คอลเลกชั่นน่าสะสมแห่งปี! โดยมีเรือนไฮไลท์อย่าง มัลติฟอร์ท เอ็ม โครโนมิเตอร์ (Multifort M Chronometer) เรือนเวลาที่โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีเขียวสำหรับหนุ่มนักกิจกรรม รวมถึง มัลติฟอร์ท เอ็ม (Multifort M), โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น เวิลด์ไทม์เมอร์ สเปเชียล อิดิชั่น (Ocean Star Decompression Worldtimer Special Edition), บารอนเชลลี โครโนกราฟ มูนเฟส (Baroncelli Chronograph Moonphase), มัลติฟอร์ท พาวเวอร์ไวด์ (Multifort Powerwind) รวมถึงนาฬิกาสำหรับผู้หญิงอย่าง โอเชียน สตาร์ นีเรีย (Ocean Star Nerea) และคอมมานเดอร์ เลดี้ (Commander Lady)
โดยในงานได้รับเกียรติจากเหล่าคนรักนาฬิกาชื่อดังตบเท้าเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง อาทิ อัชฌา เจริญรัศมีเกียรติ, พรนภา เกียรติศรีชาติ, โอบ-โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์, มะปราง-อลิสา ขุนแขวง, วิคเตอร์-ชัชชวิศ เตชะรักษ์พงศ์, ซาบีน่า-อจิรภา ไมซิงเกอร์, แนท-อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์ และอีกมากมาย รวมถึงไฮไลท์สุดพิเศษกับการแสดง “The Superprecise Parkour Performance by Anan Anwar” จากหนุ่ม อนัน อันวา ที่จะมาร่วมนำเสนอประสิทธิภาพของเรือนเวลา มัลติฟอร์ท เอ็ม โครโนมิเตอร์ (Multifort M Chronometer) ผ่านกิจกรรม Free running สุดท้าทาย
MIDO แบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ จอร์จ แชแรน (GEORGES SCHAEREN) เริ่มก่อตั้งบริษัท MIDO G.SCHAEREN & CO. AG ขึ้นที่เมืองโซโลธูร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1918 ภายใต้ปรัชญาของการสร้างสรรค์แบรนด์ให้อยู่เหนือกาลเวลาด้วยแนวคิดการออกแบบที่ร่วมสมัย ผ่านการคัดเลือกวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่มีความหรูหรา ทนทาน และยังคงไว้ซึ่งฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบถ้วน
สำหรับรุ่นไฮไลท์ มัลติฟอร์ท เอ็ม โครโนมิเตอร์ (Multifort M Chronometer) นับเป็นเรือนเวลาชิ้นเยี่ยมที่สามารถการันตีถึงฝีมือของช่างทำนาฬิกาแบรนด์ “มิโด” (MIDO) ได้เป็นอย่างดี ผ่านการรับรองโดยสถาบันทดสอบความเที่ยงตรงของนาฬิกาแห่งสวิตเซอร์แลนด์ (Official Swiss Chronometer Testing Institute หรือ COSC) โดยตัวเรือนถูกขับเคลื่อนด้วยกลไก อัตโนมัติคาลิเบอร์ 80 (Caliber 80) ที่สามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 80 ชั่วโมง พร้อมซิลิคอน บาลานซ์สปริง (Silicon Balance Spring) ที่มีคุณสมบัติด้านความแม่นยำทนทานต่อสนามแม่เหล็ก โดยมีการสลักคำว่า ‘Chronometer’ บนหน้าปัด เพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงความแม่นยำที่เกินกว่าค่ามาตรฐาน โดยมาพร้อมกับรูปลักษณ์อันแข็งแกร่งและดุดัน ด้วยตัวเรือนและสายจากสแตนเลสสตีลที่มีความทนทานเป็นพิเศษ มาพร้อมหน้าปัดทรงกลมสีเขียวที่มีการไล่ระดับสีเขียวบริเวณตรงกลางกระจายออกไปด้านข้างกระทั่งกลายเป็นสีดำบริเวณรอบหน้าปัด และเทคนิคการขัดลายซาตินในแนวตั้งอย่างประณีต อีกทั้งยังเคลือบสารเรืองแสงซูเปอร์-ลูมิโนวา (Super-LumiNova®) สีเบจที่ตัวเข็มนาฬิกาและบริเวณอินเด็กซ์โดยรอบเพื่อช่วยให้อ่านค่าเวลาได้อย่างแม่นยำเมื่อตัดกับพื้นหลังสีเข้ม พร้อมเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนทั้งสองด้าน และมีช่องระบุวันที่ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา รวมถึงดีไซน์ฝาหลังแบบเปลือยที่สามารถมองเห็นกลไกการขับเคลื่อนของนาฬิกาได้อย่างงดงาม โดย “มัลติฟอร์ท เอ็ม โครโนมิเตอร์” (Multifort M Chronometer) สามารถกันน้ำลึกในระดับ 100 เมตร
ถัดมาที่ มัลติฟอร์ท เอ็ม (Multifort M) ที่สุดแห่งพละกำลังที่ “มิโด” (MIDO) ได้ถ่ายทอดเอกลักษณ์ของความแข็งแกร่งและความทันสมัยด้วยการเผยโฉมเรือนเวลาหน้าปัดขัดซาตินแนวตั้งพร้อมพื้นผิวไล่ระดับจากสีน้ำเงินไปจนถึงสีดำ มาพร้อมพรายน้ำเรืองแสงสีเขียวอมฟ้า และมีช่องแสดงวันและวันที่ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ประกอบกับกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ที่มีการป้องกันแสงสะท้อนทั้งสองด้านช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจน ซึ่งรูปลักษณ์ที่โดดเด่นได้ถูกจับคู่มาอย่างชาญฉลาดกับกลไกที่ทนทานและทันสมัย ด้วยระบบการขับเคลื่อนคาลิเบอร์ 80 (Caliber 80) ที่สำรองพลังงานได้นานถึง 80 ชั่วโมง พร้อมบาลานซ์สปริงนิวาครอง (Nivachron™) สัญลักษณ์แห่งความทนทาน จึงส่งผลใหม่ มัลติฟอร์ท เอ็ม (Multifort M) เป็นเรือนเวลาที่สมบูรณ์แบบและเหมาะกับทุกสถานการณ์
ต่อมาที่ โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น เวิลด์ไทม์เมอร์ สเปเชียล อิดิชั่น (Ocean Star Decompression Worldtimer Special Edition) นาฬิกาดำน้ำที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เด่นของหน้าปัดแบบดั้งเดิม ที่มาพร้อมฟังก์ชั่น GMT และขอบหน้าปัดที่แสดงเวลาจากทั่วโลกผ่าน 2 ดีไซน์ประสิทธิภาพสูง ที่ถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อทุกสภาวะด้วยตัวเรือนสแตนเลสสตีลขัดเงาที่แข็งแรงทนทาน บนหน้าปัดพื้นหลังสีน้ำเงินเข้ม สลักโลโก้ ‘Mido’ แบบดั้งเดิม โดยนาฬิกาเรือนนี้จะแสดงเวลาการบีบอัดของน้ำที่ระดับความลึก 6 เมตร ซึ่งบ่งบอกจากมาตรวัดวงกลมสีเหลือง สีเขียว สีชมพู และสีน้ำเงิน ที่อยู่บนหน้าปัด พร้อมขอบหน้าปัดแบบหมุนได้จากวงแหวนอะลูมิเนียมสีน้ำเงิน และมีลูกศรสีแดงเพื่อระบุเขตเวลาในการเดินทาง รวมถึงเข็มชั่วโมง นาที และวินาที ที่ได้รับการเจียระไนเป็นทรงเหลี่ยมเพชร พร้อมเคลือบสารเรืองแสง Super-LumiNova® โดยมีการอ่านค่าวันที่อยู่ตรงตำแหน่ง 3 นาฬิกา ครอบด้วยคริสตัลแซฟไฟร์ในรูปทรงกล่องแก้ว พร้อมสายถักสแตนเลสสตีลและสายสีน้ำเงินที่ผลิตจากยางสำหรับเปลี่ยน ประกอบกับกลไกอัตโนมัติที่มาพร้อมฟังก์ชัน GMT อีกทั้งยังสามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 80 ชั่วโมง และบาลานซ์สปริงนิวาครอง (Nivachron™) ที่มีคุณสมบัติในการต้านทานต่อสนามแม่เหล็กและแรงกระแทกที่ยอดเยี่ยม และสามารถกันน้ำได้ในระดับสูงสุดถึง 200 เมตร นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งรุ่นดีไซน์พิเศษที่มีตารางดีคอมเพรสชั่น สเกล (Decompression Scale) ไล่ระดับสีจากสีเหลืองไปสีส้ม ซึ่งเป็นสีประจำแบรนด์ของ “มิโด” (MIDO) บนผิวหน้าปัดสีดำที่มาพร้อมวงแหวนอะลูมิเนียมและสายยางที่เข้าคู่กัน
สำหรับ บารอนเชลลี โครโนกราฟ มูนเฟส (Baroncelli Chronograph Moonphase) เรือนเวลาที่มาพร้อมความสง่างามสุดคลาสสิกในขนาดหน้าปัด 42 มม. พร้อมฟังก์ชันโครโนกราฟ มูนเฟส จากเครื่องคาลิเบอร์ A05.221 (Caliber A05.221) ที่สำรองพลังงานสูงสุดได้ 60 ชั่วโมง ในฝาหลังแบบเปลือย และบาลานซ์สปริงนิวาครอง (Nivachron™) ที่มีคุณสมบัติในการต้านทานต่อสนามแม่เหล็กและแรงกระแทก ที่มาใน 2 ดีไซน์บนตัวเรือนสแตนเลสสตีลขัดเงา หน้าปัดซันเรย์ขัดซาตินสีน้ำเงิน ที่เข้าคู่กับสายยางสีน้ำเงิน และตัวเรือนเคลือบ PVD สีโรสโกล์ด จับคู่มากับสายยางสีดำ พร้อมครอบกระจกแซฟไฟร์เคลือบสารกันแสงสะท้อนแบบสองชั้นสองด้าน
คอลเลกชั่นต่อมา มัลติฟอร์ท พาวเวอร์ไวด์ (Multifort Powerwind) จากตำนานความวินเทจอันเลื่องชื่อ “มิโด” (MIDO) ได้รังสรรค์การกลับมาของเรือนเวลาสไตล์วินเทจเรือนใหม่ที่ยังคงกลิ่นอายความย้อนยุคเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ พร้อมผสานกลไกคาลิเบอร์ 80 (Caliber 80) สำรองพลังงานสูงสุดถึง 80 ชั่วโมง และบาลานซ์สปริงนิวาครอง (Nivachron™) พร้อมตำแหน่งบอกเวลาที่บริเวณ 6 นาฬิกา โดยดีไซน์หน้าปัดแบบซันเรย์ขัดซาตินทรงโดม ในขนาด 40 มม. โดดเด่นด้วยตัวเลขอารบิกที่ใช้ในการอ่านค่าเวลาพร้อมเคลือบสารเรืองแสงซูเปอร์-ลูมิโนวา (Super-LumiNova®) และอินเด็กซ์ทรงเหลี่ยมเพชร บนตัวเรือนสแตนเลสสตีลขัดเงาสลับซาตินครอบด้วยกระจกแซฟไฟร์ มาพร้อมสายสแตนเลสแบบจูบิลีที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ และสามารถกันน้ำได้ในระดับความลึก 50 เมตร
ส่วนนาฬิกาสำหรับผู้หญิง “มิโด” (MIDO) ได้เปิดตัวมา 2 คอลเลกชั่นด้วยกัน ได้แก่ โอเชียน สตาร์ นีเรีย (Ocean Star Nerea) นาฬิกาดีไซน์สปอร์ตสำหรับสุภาพสตรีเรือนแรกในคอลเลกชั่นโอเชียน สตาร์ ที่มาพร้อมระบบคาลิเบอร์ 80.611 (Caliber 80.611) ที่สามารถสำรองพลังงานได้ 80 ชั่วโมง บนขนาดหน้าปัด 36.5 มม. โดยมีตำแหน่งบอกเวลาบริเวณ 6 นาฬิกา ที่มาพร้อมขอบเบเซลทรงโดมแบบหมุนได้ ผลิตจากวัสดุที่ทนทานต่อรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี โดยมีทั้งแบบหน้าปัดสีน้ำเงินและสีดำซันเรย์ขัดซาติน เคลือบสารเรืองแสงซูเปอร์-ลูมิโนวา (Super-LumiNova®) บริเวณเข็ม และตัวเรือนมีทั้งแบบที่ผลิตจากสแตนเลสสตีลพร้อมสายสแตนเลสสตีล และตัวเรือนแบบ PVD เคลือบโรสโกลด์ ประดับด้วยเพชรแท้ 11 เม็ด บริเวณอินเด็กซ์ ซึ่งมาพร้อมสายยางลายคลื่นแบบเปลี่ยนได้ง่ายสะท้อนงดงามตามแบบฉบับสุภาพสตรีผู้ชื่นชอบในความโก้หรู พร้อมฟังก์ชั่นหลักจากตระกูลโอเชียน สตาร์ ที่สามารถกันน้ำได้ 200 เมตร
และคอมมานเดอร์ เลดี้ (Commander Lady) เรือนเวลาสำหรับหญิงสาวที่ชื่นชอบความเฟมินีน ที่มาพร้อมหน้าปัดขนาด 35 มม. ด้วยระบบคาลิเบอร์ 72 (Caliber 72) ที่สามารถสำรองพลังงานสูงถึง 72 ชั่วโมง และบาลานซ์สปริงนิวาครอง (Nivachron™) ด้วยตัวเรือนเหล็กสแตนเลสขัดซาตินและขอบตัวเรือนขัดเงา ครอบด้วยกระจกแซฟไฟร์แบบเหลี่ยมเพชร บนหน้าปัดสีอ่อนซันเรย์แบบทวิสต์ ที่ประดับด้วยอินเด็กซ์แบบขีดหรือแบบเพชร 11 เม็ด โดยมีอีกหนึ่งดีไซน์พิเศษบนหน้าปัดสีขาวมุก (Mother of Pearl) พร้อมประดับเพชร 11 เม็ด ตัวสายมีทั้งสายเหล็กสแตนเลสอันเป็นเอกลักษณ์และสายหนังสุดคลาสสิก โดยสามารถกันน้ำได้ในระดับความลึก 50 เมตร
พบกับเรือนเวลาหรูจากแบรนด์ MIDO คุณภาพมาตรฐานตามแบบฉบับ Swiss made ได้แล้ววันนี้ที่เคาน์เตอร์ “มิโด” (MIDO) เซ็นทรัล, โรบินสัน, เดอะมอลล์ และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ หรือผ่านช่องทางออนไลน์ MIDO Official Store ใน Shopee และ Lazada และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติ่มได้ที่เว็บไซต์ www.midowatches.com Facebook: Mido Watches และ LINE Official Account: @midothailand หรือติดต่อได้ที่เบอร์ 02-610-0200
7 ต.ค. 2567
16 ต.ค. 2567
26 ก.ย. 2567
8 ต.ค. 2567